ชีวิตในเทวโลก ตอนที่ ๒

วันที่ 21 กพ. พ.ศ.2565

650221_B.jpg

ชีวิตในเทวโลก ตอนที่ ๒

ท่องสวรรค์ ตอน มารู้จักรุกขเทวากัน

650221_p01.jpg

          รุกขเทวา คือ เทพที่สิงสถิตย์อยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ เป็นทิพยวิมานที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ ส่วนมาก วิมานอยู่บนต้นไม้ใหญ่ มีใบดกหนา หากถูกมนุษย์ไปตัดทำลาย หรือถูกภัยธรรมชาติพัดทำลาย วิมานก็จะถูกทำลายไปด้วย รุกขเทวาก็ต้องไปแสวงหาวิมานใหม่

            ทุกๆ ถึงเดือน พวกรุกขเทวาจะมีการประชุมกัน ณ รุกขเทวาสันนิบาตสถาน และจะหมั่นสอบถามถึงรุกขธรรม คือ ธรรมที่รุกขเทวาต้องยึดมั่นรักษา เพื่อรักษาสถานภาพ และชีวิตเอาไว้ ถ้าไม่รักษา รุกขธรรม อาจจะต้องตกนรก หรือถูกห้ามไม่ให้เข้ามหาเทวสันนิบาต อันนี้เป็นกฎระเบียบของรุกขเทวา เพื่อควบคุมไม่ให้มาทำร้ายมนุษย์

          รุกขธรรม คือ ความอดทน อดกลั้น เมื่อถูกมนุษย์มาตัดต้นไม้ ไม่โกรธ ไม่น้อยใจที่ถูกทำลายวิมาน ต้องไปแสวงหารุกขวิมานแห่งใหม่ อาการเหล่านี้ คือ มีรุกขธรรม
ส่วนเทวดาตนใด เมื่อวิมานถูกทำลายแล้วโกรธเคือง ทำร้ายมนุษย์ที่มาโค่นต้นไม้ ชื่อว่า ไม่มีรุกขธรรม เทวดาผู้ขาดรุกขธรรม ถ้าฉุนเฉียว จะถูกห้ามไม่ให้เข้าประชุมในมหาเทวสันนิบาต ถ้าไป ฆ่ามนุษย์ที่มาตัดต้นไม้ กรรมจะบีบคั้นให้ไปเกิดในนรกทันที การฆ่ามนุษย์ของรุกขเทวาถือเป็นบาปหนัก เทวดาจึงต้องคอยตักเตือนกันเสมอๆ เพื่อยับยั้งความโกรธเอาไว้ มนุษย์ที่ตัดต้นไม้จึงไม่ถูกรุกขเทวาทำร้าย

          ในสมัยพุทธกาล ภิกษุรูปหนึ่งถือขวานเข้าไปในป่า เพื่อตัดต้นไม้มาทำกุฏิ เมื่อเลือกต้นไม้ได้แล้ว ก็ลงมือตัด เทพนารีในต้นไม้ก็มาแสดงตัวอ้อนวอน แต่ภิกษุก็ไม่ฟัง เธอจึงส่งบุตรมาอ้อนวอน คิดว่าจะห้ามภิกษุนั้นได้ ภิกษุไม่ทันระวังตัดโดนต้นแขนบุตรขาด ภิกษุตกตะลึง เทพนารีก็โกรธสุดขีดเงื้อมือจะทำร้าย แต่นึกถึงรุกขธรรมได้ กลัวตกนรก จึงไปเข้าเฝ้า และกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทรงทราบ

           พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญและแสดงธรรม จบพระคาถา เทพนารีได้บรรลุเป็นโสดาบันบุคคล พระพุทธองค์ทรงตรวจดูต้นไม้ภายในกำแพงวัดพระเชตวัน ซึ่งเทพบุตรได้จุติไปแล้ว ได้แนะนำให้เทพนารีเข้าไปอยู่ในต้นไม้นั้น ตั้งแต่นั้นมา เทพนารีก็ได้รับความคุ้มครองจากพระพุทธองค์ ได้เป็นพุทธอุปัฏฐายิกา ได้ฟังธรรมอยู่ใกล้พระพุทธองค์ ซึ่งแตกต่างจากเทพเหล่าอื่นที่มาฟังธรรม ต้องเลื่อนออกไปตามกำลังบุญจนถึงขอบมหาสมุทร หรือขอบจักรวาล

           การจะได้เป็นรุกขเทวา เกิดจากการสั่งสมบุญ แล้วหมั่นอธิษฐานจิต เมื่อตายไป ก็สามารถมาเกิดเป็นรุกขเทวาได้ หรือทำบุญมาไม่มากพอที่จะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นสูงๆ ขึ้นไป

           อีกพวกหนึ่งมีบุญมากพอจะไปอยู่สวรรค์ชั้นสูง แต่ในใจยังมีห่วงกังวลอยู่ หมดห่วงเมื่อไหร่จึงสามารถไปเกิดบนสวรรค์ชั้นสูงๆ ได้ !!!

 

ท่องสวรรค์ ตอน สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

650221_p02.jpg

           ได้ฟังคุณครูไม่ใหญ่เล่าธรรมะในรายการ ธรรมะเพื่อประชาชน ถ่ายทอดทางสถานีวิทยุ AM ๑๕๒๑ ตอน ท่องสวรรค์ และในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ถ่ายทอดทาง DMC เอาไว้ว่า...

              การไปสู่เทวโลกแต่ละชั้นมีวิธีการไปที่คล้ายกัน คือ ต้องสั่งสมบุญเป็นหลัก จะต่างกันก็คือ ใครมีบุญมากก็ไปอยู่สวรรค์ชั้นสูงๆ อีกทั้งแรงอธิษฐานด้วยว่า ทำบุญแล้วอยากไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน ถ้าบุญถึง ก็ไปอยู่ได้ตามที่ใจปรารถนา

            สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีท้าวมหาราช ๔ องค์ ช่วยปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ทุกองค์ทรงเป็นพุทธศาสนิกชน จึงปกครองเหล่าเทวดา นาค ยักษ์ ครุฑ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์ ให้อยู่ร่วมกันอย่างผาสุกได้

             ถ้าต่ำลงมา มีเทวดาที่มีความหลากหลาย อยู่รวมกันเป็นเผ่าพันธุ์ เช่น นาค ยักษ์ ครุฑ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์ เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีเทวดาชั้นต่ำที่ยังถือว่า เป็นเทวดาชั้นนี้ อาศัยอยู่ในสถานที่ต่างๆ เช่น มีวิมานบนยอดเขา บนอากาศ บนต้นไม้ ที่เรียกว่า ภุมมเทวา รุกขเทวา อากาศเทวา

           ทางด้านทิศตะวันออกของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีท้าวธตรฐมหาราช เป็นจอมเทพปกครองหมู่คนธรรพ์ วิทยาธร และกุมภัณฑ์ คนธรรพ์เป็นเทพที่ถนัดในศิลปดนตรี ขับร้องฟ้อนรำ และชำนาญในเพลงขับ เวลามีเทวสันนิบาต จะมีคนธรรพ์ไปร่วม ทำหน้าที่ขับกล่อม เริงระบำรำฟ้อน ให้ปวงเทพได้รับความสุขสำราญใจ

         ทางด้านทิศใต้ มีท้าววิรุฬหกมหาราช เป็นจอมเทพปกครองพวกครุฑ มีตัวและมือเหมือนคน แต่มีปากเหมือนนก มีร่างกายกำยำน่าเกรงขาม มีปีก และเท้าเหมือนนก จึงได้นามว่า ครุฑ

          ทางด้านทิศตะวันตก มีท้าววิรุฬปักษ์ เป็นจอมเทพปกครองนาค พวกนาคที่มีฤทธิ์มาก พิษสามารถตัดผิวคนให้ตายได้ในพริบตาเหมือนคมดาบ พวกนาคเนรมิตตนได้ เมื่อจะเที่ยวไปในทิศต่างๆ บางคราวแปลงเป็นงู หรือแปลงเป็นชายหนุ่มก็ได้

          ทางด้านทิศเหนือ มีท้าวเวสสุวรรณมหาราช เป็นจอมเทพปกครองยักษ์ พวกยักษ์มีหลายประเภท ตั้งแต่ยักษ์ในโลกมนุษย์ มีฤทธิ์น้อย จนถึงยักษ์ที่มีอานุภาพมาก พระองค์ต้องคอยสอดส่องดูแลไม่ให้ยักษ์ไปทำร้ายมนุษย์ หรือไม่ให้รุกล้ำเขตแดนของกันและกัน ถ้ายักษ์ทำผิด ก็จะถูกลงโทษเหมือนในโลกมนุษย์

        ใครสนใจสวรรค์ชั้นนี้ ให้สั่งสมบุญแล้วอธิษฐานให้ดี

ทำบุญ และมีนิสัยเจ้าโทสะ ไปเกิดเป็นยักษ์

ทำบุญ และมีนิสัยเจ้าราคะ ไปเกิดเป็นนาค

ทำบุญ และมีนิสัยถือตัวจัด (โมหะ) ไปเกิดเป็นครุฑ

ทำบุญ และมีนิสัยชอบกามคุณ ไปเกิดเป็นคนธรรพ์ แบบคุณไมเคิล แจ็คสัน

ทำบุญ และมีนิสัยชอบวิทยาการ ไปเกิดเป็นวิทยาธร

          แต่ถ้ามีนิสัยหลายอย่าง เช่น ทำบุญ และมีนิสัยชอบศึกษาค้นคว้าวิทยาการ แต่เจ้าโทสะ โมโห หงุดหงิดง่าย ไปเกิดเป็น ภุมมเทวาระดับกลาง สายวิทยาธรกิ่งยักษ์ แบบคุณ สตีฟ จอบส์....

            สรุปว่า จะไปเป็นยักษ์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ หรือวิทยาธรอยู่ที่นิสัย แต่จะไปเป็นเทวดาไฮโซชั้นสูง หรือโลโซชั้นล่าง อยู่ที่กำลังบุญ !!!

 

ท่องสวรรค์ ตอน ยักษ์ใจดี

650221_p03.jpg

          ได้ฟังคุณครูไม่ใหญ่เล่าธรรมะ ในรายการธรรมะเพื่อประชาชน ถ่ายทอดทางสถานีวิทยุ AM ๑๕๒๑ ตอน ท่องสวรรค์เอาไว้ว่า...

          ระบบสังคมของยักษ์แบ่งออกเป็น ๓ ประเภทใหญ่ๆ คือ ยักษ์ชั้นสูง ชั้นกลางและชั้นล่าง ถ้ายักษ์ชั้นสูงจะยินดีในการรักษาศีล แต่งชุดขาว ผิวพรรณวรรณะผ่องใส มีรัศมีกายสว่างไสว ละเอียดประณีตกว่ายักษ์ที่ไม่รักษาศีล หน้าตาไม่น่ากลัว เป็นยักษ์ใจดี ยักษ์พวกนี้ เมื่อละจากสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาแล้ว ถ้ามีบุญมากพอก็จะเลื่อนไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นสูงๆ ขึ้นไปได้

            ยักษ์มีหลากหลายความเชื่อ บางพวกเป็นพุทธศาสนิกชน เป็นยักษ์ใจดี ไม่ยินดีในการเบียดเบียน บางพวกก็ชอบไสยศาสตร์เวทมนต์ คาถา อาคม เอาไว้ต่อสู้กัน เป็นมิจฉาทิฏฐิก็มี ยักษ์พวกนี้ที่ท้าวเวสสุวรรณต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะไม่ต้องการให้มาทำร้ายมนุษย์

           ยักษ์บังเกิดขึ้นได้ ๔ แบบ ดังนี้

๑. เกิดแบบโอปปาติกะ คือ เกิดแบบโตเต็มที่ทันที

๒. เกิดแบบชลาพุชะ คือ เกิดแบบในครรภ์ มีพ่อมีแม่เป็นแดนเกิด ยักษากับยักษี พอใจก็แต่งงานอยู่ร่วมกัน ตั้งครรภ์ให้กำเนิดลูกเหมือนมนุษย์

๓. เกิดแบบสังเสทชะ คือ เกิดจากเหงื่อไคล ยักษ์จะเอามือถูกเหงื่อไคล พอถูกส่วนปฏิสนธิวิญญาณที่มีวิบากกรรมร่วมกันมา ก็จะมาอุบัติเกิดเป็นยักษ์ทันที

๔. เกิดแบบอัณฑชะ คือ คลอดออกมาเป็นไข่ และฟักเป็นตัวในภายหลัง เป็นกำเนิดที่ต่ำกว่ายักษ์ทั้งปวง

            ยักษ์มีการปกครองเป็นแบบหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด คล้ายในโลกมนุษย์แต่ซับซ้อนกว่า โดยมีท้าวเวสสุวรรณจัดแบ่งพื้นที่ให้เป็นเขตๆ จะได้ไม่ทะเลาะกัน บางพวกเสวยบุญ บางพวกเสวยกรรม ถ้าไม่มีฤทธิ์ ก็จะทะเลาะกันเหมือนมนุษย์ ถ้ามีฤทธิ์ เช่น มีเวทมนต์คาถา ก็จะเนรมิตกายเข้าประทุษร้ายกัน

            อาวุธประจำกายของยักษ์ชั้นสูง เป็นกระบองเพชร มีรัศมีสว่าง บางที่เหมือนสากตำข้าว บางที่เป็นหอก เป็นพระขรรค์ทองคำฝังรัตนชาติ ถ้าชั้นกลางเป็นเพียงอาวุธประจำกาย อานุภาพก็ลดลง ส่วนยักษ์ชั้นล่าง ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ

           เมื่อทะเลาะกัน หัวหน้าเขตจะเข้ามาไกล่เกลี่ย ใครทำผิดก็ถูกลงโทษ ปัญหาของยักษ์มีมาก เพราะเจ้าโทสะ นอกจากมีเรื่องแย่งคู่ครองกันแล้ว ยังมีเรื่องแย่งเขตแดน แย่งอาหาร ปัญหาคล้ายมนุษย์

             ส่วนยักษ์ที่อยู่ในน้ำ มีตั้งแต่ห้วย หนอง คลอง บึง ไปถึงทะเล มหาสมุทร ยักษ์ในมหาสมุทรตัวใหญ่มาก มียศ มีอธิปไตย มีความเป็นใหญ่ ถ้าสัตว์หรือมนุษย์ที่เคยมีเวรมีกรรมกันมาหลุดเข้ามาในบริเวณนั้นก็จะถูกยักษ์จับกินได้ แต่กรรมที่ตามมาก็คือจะต้องลงไปช่วยเป็นเจ้าหน้าที่ทรมานสัตว์นรก ที่ทำบาปกรรมเอาไว้ในยมโลก

            แต่ยักษ์บางประเภทก็ถือศีล พวกที่ทำบุญแล้วหงุดหงิด มักจะมาบังเกิดเป็นยักษ์ ถ้าบุญมากก็เป็นยักษ์ชั้นสูงบนสวรรค์ ถ้าบุญน้อยก็เป็นยักษ์ล่างอยู่บนพื้นมนุษย์ คอยกินโอชารสจากอาหารที่มนุษย์นำมาเซ่นไหว้ หรือคอยกินซากศพ

           ถ้าใครทำบุญด้วยใจที่ขุ่นมัว มีสิทธิ์ไปอยู่ตรงนี้ เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ จะได้รูปสมบัติที่เจือไปด้วยวิบัติ ได้รูปกายที่สมส่วนแต่ผิวหยาบกร้าน มีไฝ ฝ้าเต็มตัว มีลูกน้องบริวารที่ทำให้หงุดหงิด จะได้อะไรก็ไม่ค่อยประณีต นี่เป็นผลของการให้ทานด้วยใจที่ขุ่นมัว

 

ท่องสวรรค์ ตอน อสูรพิภพ

650221_p04.jpg

           ในสมัยแรกที่มฆมาณพและสหาย ๓๒ คน ได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ใหม่ๆ พวกเทพบุตรที่อยู่ก่อนนำน้ำคันธบาลที่เป็นทิพย์ ซึ่งเป็นน้ำเมาสวรรค์มาเลี้ยงต้อนรับ ดื่มแล้วจะมึนเมา พวกเทพที่อยู่ก่อนนำมาเลี้ยง แต่กินกันเองจนเมาขาดสติ มฆมาณพเทพบุตรจึงให้บริวารจับพวกเทพที่อยู่ก่อน โยนลงจากสวรรค์ตกลงมาที่ใต้เขาสิเนรุ จึงค่อยได้สติ จอมเทพได้สั่งสอนบริวาร ไม่ให้ดื่มน้ำคันธบาลอีก ด้วยกุศลกรรมที่เหล่าเทพได้สั่งสมมาจึงทำให้บังเกิดเทพนครกว้างใหญ่ รุ่งเรืองคล้ายดาวดึงส์พิภพทุกประการ เพียงแต่ความวิจิตรพิสดารน้อยกว่าเล็กน้อย

          นครนี้บังเกิดขึ้นที่เชิงเขาสิเนรุบรรพต มีน้ำล้อมรอบกำแพงเมือง มีต้นแคฝอย ประดับประจำเทพนครอย่างงดงาม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดินแดนแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า อสูรพิภพ กว้างใหญ่ถึง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ตั้งอยู่ใต้เขาสิเนรุ ความเป็นอยู่ของเหล่าอสูร เสวยสุขเหมือนทวยเทพทุกอย่าง มีแต่ความสดชื่น รวยรื่นใจ ไม่ต้องลำบากยากเข็ญ ด้วยอำนาจกุศลกรรมที่เหล่าอสูรทำไว้แต่ปางก่อน

          เมื่อพวกอสูรเห็นต้นแคฝอยออกดอกบานสะพรั่ง ก็จะหวลระลึกถึงความหลัง เมื่อครั้งที่ยังอยู่บนเทวนครดาวดึงส์ ซึ่งมีต้นปาริฉัตรเป็นต้นไม้ประจำเทพนคร นึกถึงความหลังทีไร ก็จะมีความเศร้าระคนกับความเคืองแค้นต่อทวยเทพในดาวดึงส์พิภพ จากนั้นก็จะชักชวนกันขึ้นไปทำสงครามกับพระอินทร์

           เมื่อสงครามระหว่างเทวดากับอสูรเกิดขึ้น ฝ่ายอสูรเทพบุตรมักจะพ่ายแพ้มากกว่า ท้าวสัมพรอสูรเมื่อหนีมาพบพวกโยคีฤาษี สิทธาทั้งหลาย ก็เข้าใจเองว่า พระอินทร์คงมีพวกนี้เป็นที่ปรึกษา ทำให้ฝ่ายตนพ่ายแพ้อยู่เสมอ จึงสั่งพวกของตนให้รื้อบรรณศาลาทิ้ง ทุบต่อยหม้อน้ำของฤาษีทิ้ง

           พวกฤาษีพากันเหาะไปสร้างความเข้าใจว่า พวกตัวไม่เกี่ยวข้องกับการรบ แต่สัมพรอสูรไม่พอใจ กล่าวปรักปรำ ไม่ให้อภัย แล้วจะเบียดเบียน เหล่าฤาษีจึงตักเตือน ติเตียนว่า คนบาปย่อมได้รับผลแห่งความชั่ว แล้วพากันเหาะกลับไปอาศรมตามเดิม

           ตั้งแต่นั้นมา สัมพรอสูรไม่เป็นอันกินอันนอน มีแต่ความหวาดเสียวสะดุ้ง เมื่อจะเอนหลังลงนอนในยามราตรี ก็จะเห็นนิมิตเป็นเหล่าศัตรูมาแวดล้อม จะเอาหอกหลาวที่มแทง จึงหวาดผวาลุกขึ้นมาทันที พวกเหล่าอสูรพากันมาเยี่ยม สัมพรอสูรไม่กล้าบอกกลายเป็นเทพอ่อนแอทั้งกายและใจ มีจิตหวาดหวั่นตกใจกลัวเป็นนิตย์ จึงได้รับขนานนามใหม่ว่า ท้าวเวปจิตติ แปลว่า จอมอสูร ผู้มีจิตหวาดหวั่น 

 

คุณเคยได้รับพรจากเทวดาไหม ?

650221_p05.jpg

           ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

           เมื่อมีเทพจะต้องจุติ (ตาย) เหล่าทวยเทพทั้งหลาย จะพากันมาอวยพรให้ ๓ ประการ คือ

๑. ขอให้ท่านไปสู่สุคติ

๒. เมื่อไปสู่สุคติแล้วขอให้ท่านได้ลาภ

๓. ครั้นได้ลาภแล้ว ขอให้ท่านดำรงตนอยู่ด้วยดี

            ภิกษุรูปหนึ่งกราบทูลถามว่า อะไรเป็นสุคติ อะไรเป็นลาภ และอะไรเป็นการดำรงตนอยู่ด้วยดี

            พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า...

            การได้อัตภาพเป็นมนุษย์เป็นสุคติของเทวดา

           การมีศรัทธาในพระสัทธรรมเป็นลาภ

           การรักษาความศรัทธาให้มั่นคง จนใครๆ ก็ไม่สามารถทำให้หวั่นไหว คลอนแคลนได้ จนตลอดอายุขัย เป็นการดำรงตนอยู่ด้วยดี

           ศรัทธาในที่นี้หมายถึง เชื่อมั่นในเรื่องกฎแห่งกรรมว่า ทำดีได้รับผลดีจริง ทำชั่วได้รับผลชั่วจริง

          ศรัทธามีหลายแบบ เช่น

๑. ศรัทธาแบบหัวเต่า เข้าๆ ออกๆ เดี๋ยวฟู เดี๋ยวแฟบ ต้องคอยเขี่ย เหมือนเขี่ยขี้ไต้ คือ ต้องคอยเชียร์ชมเป็นระยะๆ เหมือนเด็กที่ไม่โตสักที พวกนี้ทำบุญเจออุปสรรคจะคิดว่า ทำบุญแล้วทำไมบุญไม่ช่วย

๒. ศรัทธาแบบภูเขาหิน มั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่คลอนแคลน พวกนี้ทำบุญแล้วเจออุปสรรคจะคิดว่า เพราะบุญยังน้อย อุปสรรคจึงมีมาก ฉะนั้น จะต้องสร้างบุญให้มากยิ่งขึ้นกว่านี้ไปอีก

           ได้เกิดเป็นมนุษย์ มีศรัทธาในการทำความดีอย่างมั่นคงจนสิ้นอายุขัย ชื่อว่า ได้รับพรจากเทวดา เมื่อถึงคราวละสังขาร ก็จะได้กลับไปเป็นสหายของเทวดาอีก+

           ถึงเวลาต้องมาสำรวจแล้วว่า เคยได้รับพรจากเทวดาบ้างหรือเปล่า !!!

 

ภัยของเทวดา

650221_p07.jpg

           อย่าคิดว่าเป็นเทวดาแล้วน่าจะสบายตลอด

           ในวัฏสงสาร ชีวิตที่ปลอดภัยมีแต่พระโสดาบันบุคคลเท่านั้นที่จะไม่พลัดไปเกิดในอบาย เทวดาถึงแม้จะเสวยสุขมายาวนาน แต่ก็ไม่ยั่งยืน พอถึงคราวจะจุติ (ตาย) ทุกข์ก็มาเยือน น่าจะคล้ายกับพระราชาในประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่รู้ว่าชีวิตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร!!

            สาเหตุที่ทำให้เทวดาจุติมี ๔ ประการ

๑. สิ้นอายุขัย ถ้าเปรียบกับคนก็คือ แก่ตาย แต่เทวดาไม่มีแก่ อายุของเทวดาในสวรรค์แต่ละชั้น มีเวลายาวนานไม่เท่ากัน

     ชั้นที่ ๑ จาตุมหาราชิกา อายุ ๙ ล้านปีมนุษย์
     ชั้นที่ ๒ ดาวดึงส์ อายุ ๓๖ ล้านปีมนุษย์
     ชั้นที่ ๓ ยามา อายุ ๑๔๔ ล้านปีมนุษย์
     ชั้นที่ ๔ ดุสิต อายุ ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์
     ชั้นที่ ๕ นิมมานรดี อายุ ๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์
     ชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตวสวัตตี อายุ ๖,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์

๒. สิ้นบุญ ยังไม่หมดอายุขัย แต่หมดบุญก่อน ถ้าเปรียบกับคนก็คือ ตายก่อนวัยอันควร เทวดาที่หมดบุญเพราะเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เป็นพวกม้าตีนปลาย คือ มาเร่งสร้างบุญ เมื่อบั้นปลายของชีวิต เช่น เกษียณแล้ว จึงมาเร่งสร้างบุญ บุญจึงแรง แต่ส่งผลช่วงสั้นๆ

๓. ลืมเสวยสุทธาโภช (ลืมนึกถึงอาหารทิพย์) เพราะเสพกามคุณอันเป็นทิพย์จนเพลิน

๔. โกรธ เป็นสาเหตุที่ทำให้เทวดาจุติได้

           เมื่อถึงคราวที่เทวดาจุติ เรามักจะเข้าใจว่า ต้องกลับเป็นมนุษย์ก่อน แล้วจะไปเกิดเป็นอะไรก็ไปตามกำลังบุญบาป แต่ความเป็นจริงเทวดาจุติแล้ว โอกาสที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดานั้นยากมาก

           พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเอาปลายพระนขา (เล็บ) ซ้อนฝุ่นขึ้นมา ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ฝุ่นที่ปลายเล็บกับฝุ่นในแผ่นดินอย่างไหนมากกว่ากัน?

           ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ฝุ่นในแผ่นดินมากกว่า

           พระพุทธองค์ตรัสว่า เทวดาที่จุติแล้วจะกลับมาเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ มีประมาณน้อยดุจฝุ่นในเล็บมือ ที่ไปเกิดในกำเนิดอื่นมีมากกว่า

            เทวดาบางตนประมาทในการดำเนินชีวิต เพลิดเพลินในทิพยสมบัติ เมื่อสิ้นอายุขัย หรือสิ้นบุญแล้ว บาปอกุศลกรรมที่ทำมาในอดีตได้ช่องตามมาส่งผล จุติแล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มี ไปเกิดเป็นเปรตก็มี ไปเกิดเป็นสัตว์นรกก็มี นี้เป็นภัยของเทวดา

           เทวดาเสวยสุขในทิพยสมบัติมาหลาย ๑๐๐ ล้านปี วันร้ายคืนร้าย จุติแล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต สัตว์นรก !!!

           ภัยของมนุษย์ คือ ตายแล้วไม่ได้ไปเกิดเป็นเทวดา

           ภัยของเทวดา คือ จุติแล้วไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์

           ชีวิตที่ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก จนกว่าจะเข้านิพพาน จึงเป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุดโชคดีครับ !!

 

จากหนังสือ ราตรีสว่าง

พระครูวิบูลนิติธรรม (ไพบูลย์ ธัมมวิปุโล)

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0016492327054342 Mins