ปกิณกะธรรม ตอนที่ ๑
อยากระลึกชาติได้มาทางนี้
ในยามต้นของคืนวันที่พระโพธิสัตว์ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ระลึกชาติในหนหลังได้
คนที่ระลึกชาติได้มี ๓ จำพวก คือ
๑. คนที่เกิดเป็นมนุษย์ติดต่อกัน ๒ ชาติ จึงจำอดีตชาติได้ เพราะรอยต่อของภพสั้น เช่นนายแพทย์ Jim Tucker นักจิตวิทยาเด็ก มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ทำการศึกษาวิจัยเรื่องเด็กระลึกชาติได้ โดยติดตามสัมภาษณ์เด็กกว่าพันคน ใช้เวลาเกือบ ๔๐ ปี พบว่า เด็กในวัย ๒-๖ ขวบ สามารถเล่าเรื่องราวในอดีตชาติได้ถูกต้อง มีบุคคลและสถานที่อ้างอิง ผลงานของท่านเป็นหลักฐานยืนยัน จนไม่อาจปฏิเสธได้ว่า คนเรามีอดีตชาติ แม้โดยส่วนตัวท่านจะไม่เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดก็ตาม
ในประเทศไทย ที่มีเผยแพร่ออกทีวีสาธารณะ มีเรื่องของน้องพิมพวดี กับครูบัวไข ที่ระลึกชาติได้ มีบุคคลและสถานที่อ้างอิงได้ถูกต้อง ติดตามเพิ่มเติมทาง Youtube ได้
๒. พวกที่มีบุญบารมีมาก เช่น พระโพธิสัตว์ ในพระชาติที่ถือกำเนิดเป็นพระเตมีย์กุมาร เป็นพระราชโอรสของพระราชาพระองค์หนึ่ง คราวหนึ่ง เห็นพระราชบิดาตัดสินคดีความ สั่งประหารโจรก็ระลึกชาติได้ว่า ตนเองก็เคยเกิดเป็นพระราชามาก่อน เคยตัดสินประหารชีวิตนักโทษแบบที่พระราชบิดากำลังทำอยู่นี้ในชาตินั้น สวรรคตแล้วไปตกนรกทุกข์ทรมานยาวนาน จนเข็ดขยาดกับการสั่งฆ่า เพราะความกลัวจะต้องไปตกนรกอีก จึงหาอุบายทำเป็นใบ้ หูหนวก แขนขาไม่มีกำลัง จนในที่สุดพระราชบิดาก็ทรงให้ราชบุรุษนำพระองค์ไปฝัง พระเตมีย์จึงแสดงตัวกับราชบุรุษและได้ออกบวชในที่สุด
ศึกษาคนที่ระลึกชาติได้ มักจะเล่าอยู่ ๓ เรื่องหลักๆ คือ
๑) เห็นว่า ตัวเองเกิดเป็นอะไร
๒) ทำกรรมดี กรรมชั่วอะไร
๓) วิบากกรรมดี และกรรมชั่วตามมาส่งผลให้ประสบสุขและทุกข์อย่างไรบ้าง
๓. ผู้ที่ทรงอภิญญา อภิญญา แปลว่า ความรู้ยิ่งที่คนทั่วไปไม่มี เช่น มีหูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติ เป็นต้น
การศึกษาเรื่องการระลึกชาติ ทำให้เราตระหนักว่าชีวิตนี้มีที่มาทำให้คนเกิดมาแล้วแตกต่างกัน อดีตชาติกำหนดปัจจุบัน ปัจจุบันกำหนดชาติต่อๆ ไป ถ้าอยากให้ชาติหน้าดี ต้องทำปัจจุบันนี้ให้ดี
คนที่ระลึกชาติไม่ได้แสดงว่า มีรอยต่อของภพยาวนาน หมายความว่า ในอดีตชาติเคยเกิดเป็นมนุษย์ ตายแล้วไปเกิดเป็นเทพบุตร เทพธิดา อยู่ในเทวโลกยาวนานหลายล้านปี แล้วจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้หรืออาจจะมาจากที่อื่น
ถ้าอยากระลึกชาติได้ก็ต้องขยันนั่งสมาธิให้บรรลุอภิญญา หรืออธิษฐานว่า ตายแล้วขอเกิดเป็นมนุษย์ต่อทันที แล้วอย่าลืมมาระลึกชาติลง Facebook แชร์กันต่อไป
ขั้นตอนการมาเกิดและที่มาของเพศ
ในยามกลางของคืนวันที่พระมหาบุรุษตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ คือ เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
พระพุทธองค์ตรัสถึงองค์ประกอบของการเกิดเอาไว้ ๓ ประการ คือ
๑. บิดา มารดาอยู่ร่วมกัน
๒. มารดาอยู่ในช่วงตั้งครรภ์ได้
๓. มีวิณญาณปฏิสนธิมาเกิด
ต่อมา ได้มาฟังคำสอนของพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี หลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านเล่าถึงขั้นตอนการมาเกิดเป็นมนุษย์เอาไว้ว่า
กายละเอียด หรือวิณญาณปฏิสนธิที่มาเกิดจะเข้าไปหาบิดาก่อน โดยเข้าไปตามทางเดินของใจ ผ่านทางปากช่องจมูก ไปที่หัวตา (ตรงน้ำตาไหล) เข้าไปที่กลางกักศรีษะ ผ่านปากช่องคอ (เหนือเพดานปาก) ลงมาที่ปากช่องคอ (เหนือลูกกระเดือก) ลงไปที่กึ่งกลางลำตัวระดับเดียวกับสะดือ แล้วย้อนขึ้นมาหยุดอยู่ที่กึ่งกลางลำตัวเหนือสะดือสองนิ้วมือ จากนั้น กายละเอียดจะบังคับจิตใจของบิดาให้เข้าไปหามารดา เพื่อประกอบธาตุธรรมหยาบ
พอถูกส่วนเข้า กายละเอียดจะเคลื่อนย้อนขึ้นมาทางปากช่องจมูกของบิดา เข้าไปทางปากช่องจมูกของมารดา “หญิงซ้าย ชายขวา” ลงไปตามฐานทางเดินของใจ เหมือนของบิดา ไปหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกายเหนือสะดือสองนิ้วมือของมารดา
ถูกธาตุธรรมหยาบของบิดาและมารดาห่อหุ้มเอาไว้เจริญเติบโตด้วยอาหารและน้ำที่มารดาดื่มกินเข้าไปจนครบกำหนด 9 เดือนก็คลอดออกมา เพศปรากฏที่แยกชาย หญิง อยู่ที่ทางเข้าปากช่องจมูกนี่เอง หญิงซ้าย ชายขวา แต่นี้เป็นปลายทาง พระบรมศาสดาทรงเห็นว่า เพศปรากฏเป็นหญิง เพราะวิบากกรรมกาเมสุมิจฉาจารในอดีต ได้ช่อง
ตามมาส่งผล ส่วนพวกที่ได้เพศมาแล้ว ไม่ชอบ มาแปลงเพศในภายหลัง อันนี้ก็มีที่มา แต่ต้องติดตามตอนต่อไป.. (เรื่องนี้ขอให้ศึกษาเป็นความรู้ ให้ข้ามพ้นความเชื่อหรือไม่เชื่อไปก่อน เพราะต่างก็มีพื้นฐานมาจากครูบาอาจารย์ และการเจริญสมาธิภาวนาที่แตกต่างกัน...)
แด่ว่าที่ทารก ผู้ที่ไม่มีโอกาสได้ร้องอุแว้คนต่อไป
การมาเกิดของมนุษย์ต้องอาศัยพ่อและแม่เป็นแดนเกิด เหมือนเนอสเซอรี่ เป็นที่บ่มเพาะต้นกล้าที่ยังเล็กอยู่ ชีวิตของทารกจึงตกอยู่ภายในความดูแลของพ่อแม่ในช่วงเริ่มต้น แต่ถ้าพ่อหรือแม่ไม่เอาทารก !!!
พระอาจารย์ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า มีสาธุชนโทรมาปรึกษาขอให้ช่วยห้ามเพื่อนที่ขอให้พาไปทำแท้ง เธออายุ ๔๐ ปีเศษ มีลูกแล้วหลายคน เพิ่งจะรู้ว่าตั้งครรภ์ เพราะไม่ได้ระวังตัว เธอคิดว่า คงเลี้ยงไม่ไหว จึงคิดจะไปทำแท้ง โดยที่สามีและลูกๆ ยังไม่ทราบ แม้สาธุชนจะพยายามห้ามเพื่อนแล้ว แต่เธอก็ยังยืนยันความคิดของเธอ จึงออกอุบายชวนเธอมาทำบุญที่วัดเพื่อมาพบพระอาจารย์ เธอก็ยังงงๆ ? พระอาจารย์ทักทายเธอ และขอให้สาธุชนที่พามาหลีกออกไปก่อน
แล้วพระอาจารย์ปรารภว่า รู้ทุกอย่างหมดแล้วว่า เธอมาทำอะไร? และกำลังจะไปทำอะไร? ไม่ได้ห้าม แต่ขอให้ข้อคิดก่อนจะตัดสินใจจะไปเอาลูกออก
๑. อย่ามองมิติทางเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียวว่า เลี้ยงไม่ไหว ต้องมองมิติทางกฎแห่งกรรมด้วย วันหนึ่งเราต้องละสังขาร ถึงคราวก็ต้องกลับมาเกิด พร้อมแล้วหรือยัง ที่จะถูกเอาออกจากครรภ์อย่างที่กำลังจะไปทำ !!!
๒. คุณมีลูกแล้ว เป็นหน้าที่ของแม่ ต้องสอนลูกๆ ให้รู้จักถูก-ผิด, ดี-ชั่ว, บุญ-บาป, ควร-ไม่ควร ถ้าไปเอาเขาออก เมื่อกลับไปบ้าน คุณจะสอนลูกอย่างไร? ในเมื่อคุณฆ่าลูกในครรภ์โดยที่เขาไม่มีความผิดอะไรเลย !!!
๓. น้องตูบ น้องแมว มันตัวเล็กกว่าคุณ กำลังกาย กำลังสติปัญญา กำลังญาติมิตร มันน้อยกว่าคุณ มันมีลูกที่ละครอก เลี้ยงลูกเป็นครอกจนโตได้ แล้วก็มีครอกใหม่อีก ถ้าคุณไปเอาลูกออก ต้องอายน้องตูบ น้องแมว ไปตลอดชีวิต เพราะคุณมีกำลังมากกว่ามันทุกขุม แล้วคลอดลูกที่ละคน ไม่ได้คลอดที่ละครอก มันเลี้ยงลูกทั้งครอกจนโตได้ แต่คุณเลี้ยงทีละคนไม่ไหว คุณเคยเห็นน้องตูบ น้องแมว ตัวไหนมันคิดฆ่าลูกเหมือนคุณบ้าง?
๔. ทุกข์สำคัญของคนประการหนึ่ง คือ แหนงใจ เดือดร้อนใจ ทุกครั้งที่นึกถึงความผิดพลาดในอดีต ภาษาพระเรียกว่า วิปฏิสาร แม้คุณไปเอาลูกออกเพียงครั้งเดียว แต่จะเสียดอกเบี้ยทุกข์ตลอดชีวิต คือ ทุกข์ทุกครั้งที่นึกถึง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เหตุการณ์จะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าไปนึกถึงตอนจะละสังขาร ใจเศร้าหมอง ทุคติเป็นที่ไป
๕. วันนี้คุณเป็นผู้กระทำ ลูกเป็นผู้ถูกกระทำ แล้วลูกก็ไม่มีสิทธิ์ทักท้วงอะไรเลย ลองย้อนเวลาไป ๔๐ กว่าปีที่แล้ว คุณกลับเข้าไปอยู่ในครรภ์แม่ของคุณ ถ้าแม่ของคุณมีความคิดจะเอา คุณออกด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ เลี้ยงไม่ไหว คุณช่วยแม่คุณตัดสินใจที่ว่า ถ้าเลี้ยงไม่ไหวก็เอาคุณออกเลยหรือจะอดอยากบ้าง มีกินหรือไม่มีกินบ้าง ก็ขอโอกาสให้คุณออกมาต่อสู้ชีวิตเถิด จะได้สร้างกรรมดี แก้ไขบาปกรรมที่ผิดพลาดมาในอดีต
บทสนทนาต้องยุติและแยกย้ายกันไป เพราะเป็นเวลาฉันเพลพอดี ต่อมาสาธุชนโทรมาแจ้งว่าเพื่อนได้บอกเรื่องการตั้งครรภ์แก่ครอบครัว
พระอาจารย์ได้ฟังดังนั้นก็ชื่นใจ หวังว่าเด็กในครรภ์คงปลอดภัย และคุณแม่ก็จะไม่มีวิบากกรรมปาณาติบาต แต่ ๒-๓ เดือนต่อมา ก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวว่า เด็กในครรภ์แท้งแล้ว แต่แม่ไม่ได้ทำ เด็กแท้งเอง
พระอาจารย์ได้แต่วางอุเบกขา เพราะเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม เด็กมีวิบากกรรมทำแท้งมาในอดีตชาติ วิบากกรรมยังหนาแน่นอยู่ พอเข้าครรภ์ วิบากกรรมก็บีบคั้นให้แม่คิดจะเอาลูกออก ถึงแม้แม่จะเปลี่ยนใจ แต่ก็ต้องมาแท้งเอง เพราะวิบากกรรมยังหนาแน่นอยู่ ได้ช่องตามมาส่งผล
การแท้ง คือ การเสียชีวิตของทารกก่อนคลอด ยังคงต้องมีต่อไป เพราะเป็นวิบากกรรมเก่าในอดีตชาติของทารก ที่ได้ช่องตามมาส่งผล แต่ไม่อยากให้มีการทำแท้ง เพราะจะเป็นกรรมใหม่ของผู้ที่ทำแท้ง
ขอมอบให้แด่ว่าที่ทารกผู้ไม่มีโอกาสได้ร้องอุแว้ คนต่อไป !!
ทำไมต้องทาน ศีล ภาวนา
การให้ทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิภาวนา เป็นข้อปฏิบัติในชีวิตประจำวันของชาวพุทธ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบไว้ให้
ในยามกลางของคืนวันที่พระมหาบุรุษตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ คือ เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทรงเห็นมนุษย์ทั้งหลายที่พลัดไปเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ คือ สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และสัตว์นรก เพราะประพฤติผิดศีล ท่านจึงตรัสสอนให้ละชั่ว ด้วยการรักษาศีล ๕ เพื่อปิดประตูอบาย ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิ และได้สิทธิ์ที่จะกลับมาใช้อัตภาพของมนุษย์อีก ทรงเห็นผู้ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ด้วยอำนาจของศีล แต่อัตภาพมนุษย์ต้องใช้ปัจจัย ๔ มาหล่อเลี้ยงชีวิต
ปัจจัย ๔ ที่เกิดขึ้นก็แตกต่างกัน เกิดขึ้นยากง่ายไม่เหมือนกัน บางคนไม่มีจะกิน บางคนมีกินแต่ไม่มีใช้ บางคนมีกินมีใช้ และบางคนเหลือกินเหลือใช้ สาเหตุที่มา เกิดจากกำลังทานกุศลในอดีตชาติทำมาไม่เท่ากัน พระพุทธองค์จึงตรัสสอนชาวโลกให้ทำทาน เมื่อได้อัตภาพของความเป็นมนุษย์ และมีปัจจัย ๔ หล่อเลี้ยงชีวิตแล้ว ทรงสอนให้แสวงหาความบริสุทธิ์หลุดพ้นให้กับตัวเอง ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิภาวนา
ทรงแบ่งนักปฏิบัติธรรมไว้ ๔ จำพวก คือ
๑. ปฏิบัติสะดวก บรรลุเร็ว
๒. ปฏิบัติสะดวก บรรลุช้า
๓. ปฏิบัติลำบาก บรรลุเร็ว
๔. ปฏิบัติลำบาก บรรลุช้า
คุณครูไม่ใหญ่เคยเล่าไว้ใน รร.อนุบาลฝันในฝันวิทยาว่าพวกปฏิบัติสะดวก คือ อยากจะหลีกเร้นทำความเพียร เจริญสมาธิภาวนา ๗, ๑๐, ๓๐ วัน หรือนานตามที่ใจปรารถนา ไม่มีความกังวลเรื่องการเงิน สถานที่ปฏิบัติก็สะดวก เย็นสบาย อาหารอร่อย ปลอดภัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่าง เกิดจากกำลังทานกุศลในอดีตชาติ ทำทานมามาก ส่วนบรรลได้เร็วเพราะ ในอดีตชาติ เจริญสมาธิภาวนามามาก
สรุปก็คือ รักษาศีล เพื่อปิดประตูอบายภูมิ และได้สิทธิ์กลับมาใช้อัตภาพมนุษย์อีก
ทำทานเพื่อเป็นหลักประกันว่า เมื่อได้อัตภาพมนุษย์แล้ว จะมีปัจจัย ๔ แบบมีกินมีใช้ หรือเหลือกินเหลือใช้
เจริญสมาธิภาวนา เพื่อสั่งสมความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ไปสู่อายตนนิพพาน
ส่วนพวกที่ใจใหญ่ชอบให้ทาน แต่ไม่รักษาศีล ก็ได้มาเป็นน้องตูบ กับน้องเหมียว นั่งรถเบนซ์ นอนห้องแอร์ กินอาหารพิเศษสุด เข้าร้านเสริมสวยตัดแต่งขน แพงกว่าตัดผมบนศีรษะเสียอีก !!!
มาเป็น “คนจนยาก” กันดีกว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ความจนเป็นทุกข์ของผู้ครองเรือนในโลก
คนยากจนเข็ญใจยากไร้ย่อมกู้ยืม แล้วต้องใช้ดอกเบี้ย หากไม่ใช้ดอกเบี้ยตามกำหนด เจ้าหนี้ย่อมตามทวง หากทวงไม่ได้ ย่อมถูกติดตาม และถูกจองจำ เหล่านี้เป็นทุกข์ของผู้ครองเรือนในโลก
คุณครูไม่ใหญ่ได้เล่าให้นักเรียนในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาฟังว่า คนตระหนี่หวงแหนทรัพย์มี ๓ ประเภท คือ
๑. คนยากจน หมายถึง คนที่ลำบากยากจนในปัจจุบัน เพราะในอดีตชาติ เป็นตระหนี่หวงแหน ไม่ยอมให้ทาน วิบากของความตระหนี่ จึงทำให้มาเกิดเป็นคนยากจน
๒. คนอยากจน หมายถึง คนที่อยากจะกลับไปสู่ความลำบากยากจน คือ คนที่หวงแหนทรัพย์ในปัจจุบัน แม้มีทรัพย์ที่จะให้ทานได้ก็ไม่ให้เพราะความตระหนี่ในปัจจุบัน จะนำเขากลับไปสู่ความลำบากยากจนในภพเบื้องหน้า จึงเรียกว่า คนอยากจน
๓. คนจนยาก หมายถึง คนที่จะกลับไปสู่ความลำบากยากจนอีก เป็นไปได้ยาก เพราะในปัจจุบันชอบการให้ทาน ทั้งให้ทานต่อเนื่อง และให้ทานอย่างเต็มกำลัง ผลบุญจากการให้ทาน จึงทำให้ห่างไกลจากความลำบากยากจน จะกลับไปเป็นคนยากจนอีก เป็นไปได้ยาก จึงเรียกว่า คนจนยาก
พระบรมศาสดาตรัสว่า คนให้ทานไม่ได้ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ
๑. ตระหนี่
๒. ประมาท
ตระหนี่เพราะหวงแหนทรัพย์ กลัวว่าให้ทานแล้วทรัพย์จะหมดไป แม้ถึงคราวที่ควรจะให้ ก็ไม่ยอมให้ทาน
ประมาทเพราะไม่มีความรู้เรื่องความจริงของชีวิตว่า ชีวิตในโลกหน้าต้องใช้บุญ เป็นเหตุนำความสุขมาให้ จึงไม่ได้สั่งสมบุญ
เหตุทั้ง ๒ ประการ จึงเป็นที่มาของคนยากจน และคนอยากจนส่วนที่มาของคนจนยาก เพราะความศรัทธา คือ เชื่อในผลของทาน และเข้าใจชีวิตในโลกหน้า จึงดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท
มีคนขยันมากมายที่ขยันทั้งชีวิต ก็ยังไม่สามารถสร้างฐานะให้มั่นคงได้ ทางเดียวที่จะหนีให้พ้นจากความลำบากยากจน คือ ต้องให้ทาน แต่หลักวิชาคือ “ให้แล้วต้องไม่เป็นทุกข์” มีแต่ความปลื้มทุกครั้งที่ให้ แล้วจะเป็น “คนจนยาก” กันตลอดไป !!!
ไปทำอะไรในงานบวช
ฤดูกาลเข้าพรรษาใกล้จะมาถึง มีประเพณีการบวชของผู้ชายไทย เพื่อตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างน้อย ๑ พรรษา ด้วยความเชื่อที่ว่า พ่อแม่คนใดให้ลูกชายบวช ก็จะได้เกาะชายผ้าเหลืองของลูกไปสวรรค์
แม้วัตถุประสงค์ของการบวชที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา เพื่อมุ่งทำพระนิพพานให้แจ้ง สลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์ก็ตาม แต่พ่อแม่ของนาค และผู้ไปร่วมงานด้วยความศรัทธา ย่อมได้อานิสงส์ตามกำลังความตั้งใจ
สักครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้ชาย ถ้าได้บวช และฝึกฝนอบรมขัดเกลาตัวเองอย่างเต็มที่ ในความดูแลของพระอุปัชฌาย์ และอาจารย์ที่ท่านฝึกฝนอบรมตัวเองมาแล้ว ก็จะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ถ้าบวชได้ครบ ๑ พรรษา
ก่อนนาคจะเข้าสู่พิธีบรรพชา จะมีพิธีตัดปอยผม ขอขมา มอบผ้าไตรและบาตร เพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มที่ ทั้งนาคที่จะบวช พ่อแม่และญาติมิตรที่ไปร่วมงาน มีกิจกรรมที่ต้องทำอย่างน้อย ๓ ประการ คือ
๑. ไปอโหสิกรรม และขอขมากับนาค ถึงแม้ผู้ไปร่วมงานบวช อาจจะไม่เคยมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกับนาคมาก่อนก็ตามประเพณีการขอขมา เริ่มมาจากพระสาวกที่ปรินิพพานก่อนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมาเข้าเฝ้าเพื่อทูลลาและขอขมา ถึงแม้มิได้มีเหตุการณ์ใดๆ ที่เคยล่วงเกินพระพุทธองค์มาเลยก็ตาม แต่สาวกที่เป็นพระอรหันต์ล้วนทรงอภิญญา ระลึกชาติได้ จึงเห็นการสร้างบารมีกับพระพุทธองค์ ครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ ในอดีตชาติมายาวนาน จึงปรารภเหตุในอดีต และเพื่อเป็นแบบอย่างแก่อนุชนผู้ตามมาในภายหลัง เพราะในวัฏสงสารอันยาวไกล ผู้ที่ไม่เคยเกิดเป็นญาติกันมาก่อนหาไม่ได้ง่ายเลย จึงมากราบขอขมาก่อนจะปรินิพพาน การขอขมามีอานิสงส์ ทำให้วิบากกรรมที่เคยผิดพลาดกันมาในอดีต จากหนักก็จะเบา จากเบาก็เป็นอโหสิกรรมกันไป
๒. ส่วนพ่อแม่ ผู้ปกครองจะมีโอกาสได้มอบผ้าไตรและบาตรแก่นาค ในครั้งพุทธกาล มีผู้บรรลุอรหัตผลบางท่าน ขอบวชกับพระพุทธองค์ แต่พระองค์ตรัสให้ไปหาผ้าไตรจีวรและบาตรเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตมาก่อน บางท่านไม่เคยทำบุญถวายผ้าไตรและบาตรมาเลย ไม่สามารถหาผ้าไตรและบาตรได้ ต้องเสียชีวิต ปรินิพพานก่อนที่จะได้บวชก็มี เมื่อนาคได้รับผ้าไตรและบาตรแล้ว ก็สามารถเข้ารับการบวชได้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
๓. ญาติมิตรที่ไปร่วมงานก็จะได้ร่วมอนุโมทนา ชื่นชมยินดีกับนาค ก็จะได้บุญในส่วนนี้ไปด้วย ซึ่งมีอานิสงส์ทำให้ได้เกิดในบุญเขตที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง มีโอกาสได้ฟังธรรมจากผู้รู้แจ้ง ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ถ้าไม่ทำกรรมหนัก จะทำให้ไม่พลัดไปในอบายภูมิ ท่องเที่ยวอยู่ในมนุษยโลก และเทวโลก จนกว่าจะได้บรรลุมรรค ผลนิพพาน
จะเป็นโสด หรือ Single Mom
วันครอบครัว ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่าขณะนี้สถิติการหย่าร้างสูงขึ้น คิดเป็น ๓๕% ของคู่ที่จดทะเบียนใหม่ สาเหตุหลักคือ
๑. การนำความตึงเครียดจากการที่ทำงานเข้ามาสู่ที่บ้าน
๒. ต่างคนต่างพึ่งพาตัวเองได้ ไม่แคร์กัน
หลายคู่อาจจะอยู่ในระหว่างการตัดสินใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแบ่ง สามี ภรรยาไว้ ๗ จำพวก คือ สามี ภรรยาที่เป็นประดุจ
๑. เพชรฆาต : ผลาญชีวิต ชอบใช้ความรุนแรง
๒. โจร : ผลาญทรัพย์ ไม่หาแต่ใช้จ่ายเกินรายได้
๓. ผลาญศักดิ์ศรี : ปากร้าย ชอบทำให้คู่ครองเสียหน้า
ข้อ ๑-๓ เป็นเหมือนคู่เวรคู่กรรม ตกนรกทั้งเป็น
๔. มารดา บิดา : ห่วงใยคนข้างกายเหมือนพ่อแม่ห่วงลูก
๕. น้องสาว : รักคู่ครอง แต่รวยความงอน ต้องคอยเอาใจ
๖. เพื่อน : ไลฟ์สไตล์คล้ายๆ กัน
๗. คนรับใช้ : ปฏิบัติดูแลคนข้างกายด้วยความอดทนไม่มีข้อแม้เงื่อนไข ทำได้ถูกใจ ถูกเวลา
ข้อ ๔-๗ เป็นเหมือนคู่บุญคู่บารมี ฉันเป็นของของเธอคู่แท้ที่หากันเจอ
พระบรมศาสดาตรัสสอนธรรมะที่ทำให้คู่ครองอยู่กันอย่างมีความสุขยั่งยืนทั้งชาตินี้ และชาติหน้าว่า ให้มีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน
ลองสำรวจดูว่า เราและคนข้างกาย หรือคนที่กำลังจะตัดสินใจทอดสะพานให้เป็นสามี หรือภรรยาประเภทไหน อย่าให้ปัจจัยภายนอก เช่น รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ มีอิทธิพลมาครอบงำปัจจัยภายในคือนิสัยดีๆ มิเช่นนั้นจะต้องเป็น ๑ ใน ๓๕% พิจารณาให้ดี เป็นโสดต่อไป หรือเตรียมตัวเป็น Single Mom
คู่กรรมคู่เวร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแบ่งสามี ภรรยาไว้ ๗ จำพวก คือ สามี ภรรยาเป็นประดุจ
๑. เพชรฆาต : ผลาญชีวิต ซาดิสต์ ชอบทำร้ายร่างกาย
๒. โจร : ผลาญทรัพย์ ใช้เงินเก่ง มีรายจ่ายเกินรายได้
๓. นาย : ผลาญศักดิ์ศรี ชอบด่าว่าในที่สาธารณะ ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ
๔. พ่อแม่ : เป็นห่วงสามี ภรรยาประดุจห่วงลูก
๕. พี่น้อง : ขี้งอนบ้าง แต่ก็รักเหมือนพี่น้อง
๖. เพื่อน : มีรสนิยมคล้ายๆกัน
๗. คนรับใช้ : อดทนไม่ปริปาก ดูแลสามีประดุจคนรับใช้
จำพวกที่ ๑-๓ เป็นคู่กรรมคู่เวร อยู่ด้วยแล้วมีแต่ความทุกข์ทั้งร่างกายและจิตใจ
จำพวกที่ ๔-๗ เป็นคู่สร้างคู่สม อยู่ด้วยแล้วมีความสุข
พฤติกรรมของสามี ภรรยาที่เป็นคู่กรรมคู่เวร ยังมีมากกว่านี้อีก เช่น สามีเจ้าชู้ ติดการพนัน สามีไม่ให้ความรัก ความเคารพ ยกย่องดูแลสามีแต่กลับถูกด่าว่า สามีให้ท้ายลูกมาด่าว่า สามีทิ้ง สามีดื่มน้ำเมาแล้วทุบตี เป็นต้น
คุณครูไม่ใหญ่ เคยตอบคำถามเรื่องนี้ ไว้ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ถ่ายทอดทาง DMC เกี่ยวกับวิบากกรรมที่ทำให้ได้สามี ภรรยาที่เป็นคู่กรรมคู่เวร เอาไว้ว่า
• สามีเจ้าชู้ เพราะในอดีตชาติ เจ้าชู้ ทำเสน่ห์ หรือเคยเป็นแม่เล้า เป็นต้น
• สามีติดการพนัน สร้างหนี้สินมากมาย เพราะในอดีตชาติยินดีกับการเปิดบ่อนของสามี
• สามีไม่ให้ความรัก ความเคารพ ยกย่อง เพราะในอดีตชาติขาดบุญดูแลพ่อแม่ พูดให้พ่อแม่ช้ำใจ ทำทานด้วยความไม่เคารพ เป็นต้น
• ดูแลสามีแต่ลับหลังถูกด่าว่า ในอดีตชาติ ด่าว่าภรรยา ด่าว่าข้าทาสอยู่เป็นประจำ
• สามีให้ท้ายลูกมาด่าว่า ในอดีตชาติ ด่าว่าพ่อแม่ และข้าทาสด้วยคำหยาบคาย
• สามีทิ้ง เพราะในอดีตชาติ ไม่รับผิดชอบครอบครัว ได้ใครเป็นภรรยาแล้วก็ทอดทิ้ง
• สามีดื่มน้ำเมาแล้วชอบทุบตี เพราะในอดีตชาติ เมาแล้วชอบทุบตีทำร้ายภรรยาและลูก ชอบเลี้ยงสุรา หรือผูกเวรกันมา เป็นต้น
สรุปว่า วิบากกรรมที่ทำให้ได้สามี ภรรยาเป็นคู่กรรมคู่เวร ส่วนใหญ่ในอดีตชาติ เคยทำไว้อย่างไร ก็จะต้องมาเจออย่างนั้น หว่านพืชเช่นใด ได้ผลเช่นนั้น แล้วจะทำอย่างไร ถ้ายังยืนด้วยขาตัวเองไม่ได้ ต้องให้เขาเลี้ยง ได้อย่างเสียอย่าง ก็ต้องทน กันไป
แต่ถ้ายืนบนขาตัวเองได้ อยู่ด้วยกันแล้วมีแต่ความทุกข์ หาความสุขความเจริญไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้ว่า การไม่คบคนพาลเป็นมงคลอันสูงสุด หมดกรรมเสียที
จากหนังสือ ราตรีสว่าง
พระครูวิบูลนิติธรรม (ไพบูลย์ ธัมมวิปุโล)