ความไม่ประมาท

วันที่ 23 กพ. พ.ศ.2565

650223_B.jpg

ความไม่ประมาท

ภัยของวัฏสงสาร

650223_p01.jpg

          คนเราเกิดมา จะรู้หรือไม่ก็ตาม ต่างก็ตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ และกฎแห่งกรรมซึ่งเป็นกฎประจำในภพทั้ง ๓ ถ้ายังอยู่ในภพก็ต้องเจออยู่ร่ำไป ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร หรืออยู่ที่ไหนในภพก็ตาม

          กฎไตรลักษณ์ คือ ลักษณะสามัญ ๓ ประการ คือ สรรพสิ่ง

๑. ไม่คงที่ เปลี่ยนแปลง แปรปรวนตลอดเวลา

๒. ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้

๓. ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง

          กฎนี้จะนำไปสู่ความผุพัง และแตกสลาย ถ้าเป็นคนก็นำไปสู่ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความพลัดพราก คือ จำกัดความแข็งแรง เวลา และโอกาส

          ส่วนกฎแห่งกรรม...สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เป็นทายาทแห่งกรรม ใครทำกรรมดีหรือทำกรรมชั่วก็ตาม ตนจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น

           ไม่มีใครรู้กฎแห่งกรรมมาตั้งแต่เกิด เมื่อไม่รู้แล้วไปทำผิดกฎแห่งกรรม ก็จะมีวิบากกรรมนำไปสู่อบายภูมิ ๔ คือ ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และสัตว์นรก
เวลาของชีวิต จะหมดไปกับความทุกข์ทรมาน ไม่สามารถสร้างบุญกุศลความดีได้ และยังเป็นวิบากกรรมตามมาตัดรอนความสุข และความสำเร็จของชีวิต ในระหว่างการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารอีกยาวนาน

          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็น ทรงหากุศโลบายตรัสสอนให้ชาวโลกตั้งอยู่ในความไม่ประมาท โดยให้สวดพิจารณาในบทอภิณหปัจจเวกขณะที่อยู่ในบทสวดมนต์ทำวัตรเย็นทุกๆ วันว่า

          เรามีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากของรัก... และมีกรรมเป็นของตน เราทำดีหรือทำชั่วก็ตาม เราจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น “คนผู้ประมาทแล้วได้ชื่อว่าตายแล้วแม้ยังมีชีวิตอยู่” คือ ตายจากความดีงาม

          คืนนี้อย่าลืมสวดมนต์พิจารณาทบทวนกันนะ

 

จาก Seven-Eleven ถึงบ้านหลังสุดท้าย

650223_p02.jpg

           ร้านสะดวกซื้อมีให้บริการอยู่ทั่วไปในทุกอำเภอ เห็นแล้วก็นึกถึงช่วงอายุของคนในยุคนี้ ถ้าคิดว่าอายุคน ๗๐-๘๐ ปี อาจจะดูยาวหลายปี แต่ถ้านับแบบชื่อร้านสะดวกซื้อคือนับอายุคนช่วงละ ๑๑ ปี ได้ ๗ ครั้ง

๑๑ แรก = ๐-๑๑ ปี เวลาของชีวิตหมดไปกับความไร้เดียงสา ยังไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไร ชีวิตหมดไปกับการกิน นอน เที่ยวเล่น

๑๑ ที่ ๒ = ๑๒-๒๒ ปี เวลาของชีวิตหมดไปกับการศึกษาเล่าเรียนเพื่อเป็นเครื่องมือในการแสวงหาทรัพย์มาเลี้ยงชีวิต

๑๑ ที่ ๓ = ๒๓-๓๓ ปี เวลาชีวิตหมดไปกับการหาทิศทางของชีวิต ว่าจะหาทรัพย์ด้วยวิธีไหน

           จะหาแบบ E = Employee ภาษาปัจจุบันเรียกว่า มนุษย์เงินเดือน หรือจะหาแบบ SMEs ทำธุรกิจขนาดย่อม หรือจะหาแบบ B = Big ทำธุรกิจเครือข่ายขนาดใหญ่ หรือจะหา แบบ I = Investment ใช้เงินไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์หรือสถาบันการเงิน ให้เงินไปตามเงิน

๑๑ ที่ ๔ = ๓๔-๔๔ ปี เวลาของชีวิตหมดไปกับการสร้างครอบครัว

๑๑ ที่ ๕ = ๔๕-๕๕ ปี เวลาของชีวิตหมดไปกับการสร้างฐานะให้มั่นคง

๑๑ ที่ ๖ = ๕๖-๖๖ ปี เวลาของชีวิตหมดไปกับการหาผู้มาสืบทอดรักษา สิ่งที่ตัวเองแสวงหามาตลอดชีวิต

๑๑ ที่ ๗ = ๖๗-๗๗ ปี เวลาของชีวิตหมดไปกับการรักษาสุขภาพ ใช้ไปซ่อมไป ปล่อยวาง และเตรียมตัวเดินทางไปสู่ปรโลก

           จบแล้ว นับ ๑๑ ได้ ๗ ครั้ง สั้นเพียงนิดเดียว เข้าร้านสะดวกซื้อครั้งต่อไป อย่าลืมถามตัวเองว่า มาถึง ๑๑ ที่เท่าไหร่แล้ว อีกไม่กี่ก้าวถึงบ้านหลังสุดท้าย!! ในมนุษยโลก จะหาของกินของใช้ต้องไปร้านสะดวกซื้อ ในเทวโลกต้องการของกินของใช้ เจ้าของวิมานนึกๆ เอา บริวารก็หามาให้

           วันนี้เตรียมของในร้านสะดวกซื้อ คือ บุญไว้ใช้ในเทวโลกมากพอแล้วหรือยัง?

 

คุณค่าของคน

650223_p03.jpg

          มีภาษิตโบราณกล่าวว่า คุณค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน แต่ถ้าผลของงานเป็นสิ่งทำลายสังคม และมนุษยชาติ เช่น อาชีพผลิตและค้าขายอาวุธ ค้าขายมนุษย์ ค้าขายของมึนเมา คนที่อยู่ในวงจรมิจฉาอาชีวะอย่างนี้ มีคุณค่าจริงหรือ

            แล้วคุณค่าของคนอยู่ที่ตรงไหน?

          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนภิกษุทั้งหลาย ให้บำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น คุณค่าของคน จึงอยู่ที่การสร้างประโยชน์และความสุขแก่ตนเอง บุพการี และชาวโลก ทั้งในชาตินี้ ชาติหน้า และประโยชน์อย่างยิ่ง

           ประโยชน์ในชาตินี้ หมายถึง ทำให้ตนเองมีกินมีใช้ โดยวิธีที่ชอบธรรม ถ้าทำให้บุพการี หมู่ญาติมิตร บริวาร และเพื่อนร่วมโลกให้มีกินมีใช้มากมายเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เป็นบุคคลที่มีคุณค่ามากยิ่งขึ้นไปตามลำดับ ซึ่งถือว่าเป็นภารกิจสำคัญของผู้นำ และรัฐบาลของทุกประเทศ แต่ทรัพย์ที่เอาไว้กินเอาไว้ใช้ครอบครองได้ก็ไม่เกินร้อยปี เพราะชีวิตมีเวลาจำกัด ต้องผ่อนถ่ายโอนให้บุคคลรุ่นหลังต่อไป

           ดังนั้น ถ้าใครสร้างประโยชน์ในชาติหน้า หมายถึง ปิดอบาย และนำตัวเองไปสู่สุคติได้ ถ้าแนะนำให้บุพการี หมู่ญาติมิตร บริวารและเพื่อนร่วมโลก ปิดอบาย ไปสู่สุคติได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นบุคคลที่มีคุณค่ามากยิ่งขึ้นไปตามลำดับ เพราะในโลกหน้านั้น มีความสุขที่ยาวนานกว่าชีวิตในชาตินี้มากมายนัก แต่ไปเสวยสุขในเทวโลก เมื่อหมดอายุขัยหรือหมดบุญ ก็ต้องกลับมาเกิดอีก วนเวียนทนทุกข์อยู่ในวัฏสงสาร ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่?

          ดังนั้น ถ้าใครสร้างประโยชน์อย่างยิ่ง หมายถึง ชี้แนะหนทางบรรลุมรรคผล อย่างน้อยก็ทำความเพียรให้ตัวเองได้บรรลุธรรม ชักชวนให้บุพการี หมู่ญาติมิตร บริวาร และเพื่อนร่วมโลก เจริญสมาธิภาวนาจนบรรลุธรรมได้ ถือว่าเป็นบุคคลที่มีคุณค่าสูงสุด

           ดังเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านทำความเพียร ปฏิบัติสมาธิภาวนาจนบรรลุธรรม สิ้นอาสวกิเลส พันจากกองทุกข์ไปได้ แล้วยังโปรดบุพการี และชาวโลกมากมาย ให้มีหนทางสวรรค์และนิพพานเป็นที่ไปจนมาถึงปัจจุบัน

          สรุปว่า ตัวชี้วัดคุณค่าของคน คือ การสร้างประโยชน์ และความสุขให้ตนเอง บุพการี หมู่ญาติมิตร และเพื่อนร่วมโลก ทั้งในชาตินี้ ชาติหน้า และประโยชน์อย่างยิ่ง

            แล้วคุณค่าของคุณล่ะ ขณะนี้อยู่ตรงไหน

 

เสียดาย...คนเป็นไม่ได้อ่าน

650223_p04.jpg

           เคยได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ว่า คนเกิดมาก็มาตัวเปล่า ตายแล้ว ก็เอาอะไรไปไม่ได้

          ต่อมา ได้ฟังคุณครูไม่ใหญ่เล่าใน รร.อนุบาลฝันในฝันวิทยาว่า คนตายแล้ว ฝากข้อความมาถึงครอบครัวและญาติมิตร ทำให้รู้ว่า ที่ได้ยินได้ฟังมานั้น ถูกเฉพาะแค่กายหยาบที่เอาไปฌาปนกิจ แต่กายละเอียดที่ไปเกิดไม่ได้ไปตัวเปล่า

          สิ่งที่ติดตามตัวเมื่อตายไปแล้ว และติดตามตัวเมื่อกลับมาเกิด มีอย่างน้อย ๖ ประการ คือ

๑. บุญ เกิดจากผลของการทำกรรมดี เช่น การให้ทาน ทำให้มีโภคสมบัติ รักษาศีล ทำให้รูปกายงดงาม แข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน การเจริญสมาธิภาวนา ทำให้มีปัญญามาก เป็นต้น

๒. นิสัย เกิดจากการย้ำคิด พูด และย้ำทำ จนติดเป็นนิสัยภาษาพระเรียกว่า “จริต” เช่น ราคจริต โทสจริต โมหจริต วิตกจริต ศรัทธาจริต พุทธจริต เป็นต้น

๓. สายบุญ และ ความผูกพัน

     ฝ่ายบุญกุศล เช่น คู่บุญคู่บารมี

     ฝ่ายบาปอกุศล เช่น คู่กรรมคู่เวร เป็นต้น

๔. วิบากกรรม เกิดจากผลของการทำกรรมชั่ว เช่น

     วิบากกรรมฆ่าสัตว์ ทำให้อายุสั้น

     วิบากกรรมของความตระหนี่ ทำให้ลำบากยากจน

     วิบากกรรมของการดื่มน้ำเมา ทำให้เป็นคนบ้า ปัญญาอ่อน เป็นต้น

๕. ความเสื่อมนำไปสู่ความตาย เพราะสรรพสิ่งที่เกิดอยู่ในภพล้วนตกอยู่ในอำนาจของกฎไตรลักษณ์ คือ แปรปรวนไม่คงที่ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ทำให้สรรพสิ่งผุพัง ถ้าเป็นคนก็เกิด แก่ เจ็บ และตาย เป็นต้น

๖. กิเลส เป็นธาตุละเอียดที่สกปรก นอนเนื่องอยู่ในใจของสรรพชีวิตมานาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็น จึงตรัสแยกแยะกิเลส เป็น ๓ ตระกูล คือ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น

          ทั้ง ๖ ประการนี้ เป็นอย่างน้อยที่ติดตามตัวไปเกิดมาเกิด

          กำไรของชีวิตจึงอยู่ตรงที่ว่า แต่ละวันที่ผ่านไป จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ก่อนที่จะละสังขาร

๑. ถ้ามีบุญติดตัวไปได้มาก เป็นโอกาส มีบุญน้อย เป็นวิกฤต (อันตราย)

๒. ถ้าฝึกนิสัยดีๆ ติดตัวไปได้มาก เป็นโอกาส มีนิสัยไม่ดีติดตัวไป เป็นวิกฤต

๓. มีความผูกพันกับคนมีบุญมากๆ เป็นโอกาส มีความผูกพันกับคนพาล มีคนผูกเวรเป็นวิกฤต

๔. มีวิบากกรรมชั่วมาก เป็นวิกฤต มีวิบากกรรมชั่วน้อยเป็นโอกาส

๕. สั่งสมบุญที่ทำให้แก่ช้า หน้าอ่อน อายุยืน เช่น ให้อาหารและน้ำ ให้เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ให้ชีวิตเป็นทาน เป็นโอกาส แต่สั่งสมบาปทำให้อายุสั้น เป็นวิกฤต

๖. ถ้าขัดเกลากิเลสให้เบาบางลงได้ เป็นโอกาส ถ้ากิเลสหนาแน่น เป็นวิกฤต

          เสียดายแทนคนที่ตายไปแล้ว แม้แก้ไขอะไรไม่ได้ ก็ยังกรุณาฝากข้อความมาบอก คนเป็นนี่สิ ถ้ายังคิดว่า ตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้

          เฮ้อ เสียดาย คนเป็นไม่ได้อ่าน !!!

 

คุณค่าของลมหายใจ

650223_p05.jpg

          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงทางไปของชีวิต เมื่อละสังขารไปสู่ปรโลก (โลกหน้า) ไว้ ๕ ทาง คือ ๑) เทวดา ๒) มนุษย์ ๓) สัตว์เดรัจฉาน ๔) เปรต ๕) สัตว์นรก 

          ชีวิตเทวดามีชีวิตอยู่เพื่อเสวยผลบุญ มีแต่ความสุข มีความเกิดและจุติ (ตาย) ไม่มีความแก่ ไม่มีความเจ็บ อยู่ในวัยหนุ่มสาวตลอดชีวิต ไม่มีการทำมาหากิน อาศัยบุญแปรเปลี่ยนเป็นทิพยสมบัติ หล่อเลี้ยงชีวิต อายุขัยก็ยืนยาวมาก ตั้งแต่ ๙ ล้านปี (อายุชาวสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา) ไปถึงหลาย ๑,๐๐๐ ล้านปี

          เทวดาทำกรรมดีได้จำกัด ทำได้แต่นั่งสมาธิ และอนุโมทนาบุญกับหมู่ญาติมิตร ที่อุทิศบุญไปให้ ทำกรรมชั่วได้น้อย เพราะเป็นกายทิพย์มนุษย์มีอายุน้อยไม่เกิน ๑๐๐ ปี มีความแก่ ความเจ็บ นำไปสู่ความตาย แต่ทำกรรมดีได้เต็มที่ ไปสวรรค์ หรือบรรลุมรรคผลนิพพานได้ กรรมชั่วก็ทำได้เต็มที่ ทำอนันตริยกรรม (กรรมหนัก) ก็ได้ มีความสุขน้อยกว่าเทวดา มีความทุกข์น้อยกว่าสัตว์เดรัจฉาน

          พระบรมศาสดาตรัสถึงเป้าหมายชีวิตของมนุษย์ไว้ ๓ ระดับ คือ

๑. เป้าบนดิน คือ ประโยชน์ในชาตินี้ สร้างฐานะให้มั่นคง มีปัจจัย ๔ มาหล่อเลี้ยงตนตลอดชีวิต

๒. เป้าบนฟ้า คือ ประโยชน์ในชาติหน้า ปิดอบาย ไปสู่สุค

๓. เป้าเหนือฟ้า คือ ประโยชน์อย่างยิ่ง หมายถึง การบรรลุมรรค ผล นิพพาน

          สัตว์เดรัจฉาน มีชีวิตอยู่เพื่อเสวยผลบาป อายุสั้น ทำกรรมดี ดีได้ยาก แต่ทำกรรมชั่วได้มาก เพราะต้องฆ่ากันเอง เพื่อเลี้ยงชีวิตอยู่เป็นนิตย์ จึงกลับมาสู่อัตภาพมนุษย์ได้ยาก มีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดระแวง ต้องคอยระวังภัยจากการถูกฆ่ากินเป็นอาหาร

           ชีวิตของเปรต มีชีวิตเพื่อเสวยผลบาป อายุยืนยาวมาก ยาวนานเป็นพุทธันดรก็มี (ช่วงเวลาตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งตรัสรู้ ไปถึงพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งตรัสรู้) ทำกรรมดีและกรรมชั่วไม่ได้ เพราะต้องรับทัณฑ์ทรมานแต่เพียงอย่างเดียวจนกว่าจะหมดกรรม หมดกรรมเมื่อไหร่ก็พ้นจากความเป็นเปรต

           ชีวิตของสัตว์นรก มีชีวิตเพื่อเสวยผลบาป อายุยืนยาวที่สุด ยาวนานเป็นกัปเลยทีเดียว ทำกรรมดีกรรมชั่วไม่ได้เลย ต้องรับทัณฑ์ทรมานแต่เพียงอย่างเดียว จนกว่าจะหมดกรรม เวลาจะหมดไปกับการถูกทัณฑ์ทรมาน

          จะเห็นว่า ทั้ง ๕ รูปกาย รูปกายมนุษย์เท่านั้นทำกรรมดีได้มากที่สุด ถ้ายังแข็งแรงอยู่ ชีวิตมนุษย์ยังดีกว่าเทวดา เพราะเทวดามีชีวิตเพื่อเสวยผลบุญ ทำกรรมดีได้น้อย กายมนุษย์ทำกรรมดีได้มากที่สุด ถ้าหมดอายุขัยแล้ว เทวดานั้นเหมาะแก่การไปอยู่ แต่ก็มีเวลาจำกัด หมดบุญก็ต้องลงมาเกิดอีก

          อัตภาพมนุษย์มีข้อจำกัด คือ อายุสั้นเมื่อเทียบกับเทวดา ๑๐๐ ปีมนุษย์กับ ๙ ล้านปีเทวดา(ชั้นจาตุมหาราชิกา)นี้ เทียบกันไม่ได้เลย จะจัดการกับเวลาของลมหายใจที่มีอย่างจำกัดได้อย่างไร ก่อนจะจากโลกนี้ไป จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ครั้งต่อไปอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

          ถ้าไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา อีก ๙ ล้านปี จุติลงมาเปิด Facebook อ่านธรรมะกันใหม่นะครับ...

 

๓ วันสำคัญของชีวิต

650223_p06.jpg

          ชีวิตคนอายุ ๘๐ ปี นับเป็นวันได้ประมาณ ๒๙,๒๐๐ วัน มีวันสำคัญของชีวิตอย่างน้อย ๓ วัน คือ

๑. วันปฏิสนธิ

๒. วันเกิด

๓. วันตาย

          ทั้ง ๓ วันนี้ มีทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ ล้าน มีบริวาร ๑,๐๐๐ โกฏิก็ช่วยอะไรไม่ได้

           วันปฏิสนธิ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงองค์ประกอบในการเกิดไว้ ๓ ประการ คือ

๑. บิดามารดาอยู่ร่วมกัน

๒. มารดาอยู่ในช่วงที่ตั้งครรภ์ได้

๓. มีวิญญาณปฏิสนธิ

          วันปฏิสนธิเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันกำหนดรูปกาย ถ้าวิญญาณปฏิสนธิไปเข้าครรภ์ น้องแมว น้องตูบ ก็จะได้อัตภาพน้องแมว น้องตูบ แม้มีบุญมากพอ ได้เข้าครรภ์แม่ที่เป็นคน คนก็มีหลายระดับ ตั้งแต่ชั้นล่าง ชั้นกลาง ชั้นสูง เกิดมาก็มีชีวิตที่สะดวกสบายแตกต่างกันไป

         วันคลอดเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิต หลังจากใช้ชีวิตเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์มา ๙ เดือน อยู่ในครรภ์ไม่ต้องหายใจ ไม่ต้องกิน อุณหภูมิสม่ำเสมอ แต่คลอดแล้ว ไม่หายใจก็ตาย ไม่กินก็ตาย ปรับตัวไม่ได้ก็ตาย

          วันสุดท้าย คือ วันตายเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันกำหนดรูปกาย และภพภูมิที่อยู่ใหม่

          ใน ๓ วันสำคัญนี้ มีกำลังทรัพย์ กำลังกาย กำลังญาติมิตร บริวาร มีมากมายแค่ไหนเอามาช่วยอะไรไม่ได้ ต้องอาศัยกำลังบุญเพียงอย่างเดียวล้วนๆ

           ถ้ามีบุญมาก วันปฏิสนธิก็ได้พ่อแม่ดี เตรียมสมบัติเอาไว้ให้พร้อม วันคลอดก็สะดวก ราบรื่น ปลอดภัย วันตาย ละสังขารแล้วก็ไปสู่เสวยสุขในเทวโลกด้วยกำลังบุญ

          ถ้ามีบุญน้อย วันปฏิสนธิอาจจะไปเข้าครรภ์น้องตูบ น้องแมว มีบุญขึ้นมาบ้าง ก็ไปเข้าครรภ์แม่ที่ลำบากยากจน วันคลอดก็ลำบาก แม่เจ็บทรมานปางตาย วันตายถ้าไม่มีบุญก็พลัดไปอบาย มีบุญน้อยก็ไปเกิดเป็นสัมภเวสี ผีเร่ร่อน อดๆอยากๆ เพราะตอนเป็นมนุษย์ เป็นพวกวัดไม่เข้า เหล้าไม่กิน บุญไม่ทำ บาปกรรมไม่สร้าง

             ใน ๓ วันสำคัญนี้ ผ่านมาแล้ว ๒ วัน คือ วันปฏิสนธิ กับวันคลอด เหลืออีก ๑ วัน คือ วันตาย

          แต่ที่ไกลกว่านั้น คือตราบใดที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ๓ วันนี้ จะต้องเจออีกนับครั้งไม่ถ้วน !!!

 

ได้กำไรจากงานศพ

650223_p07.jpg

          เราเคยไปงานบำเพ็ญกุศลกันมาทั้งนั้น ไปแล้วทำอย่างไรจึงจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่?

           สิ่งที่ควรทำในงานบำเพ็ญกุศล มีอย่างน้อย ๓ ประการ คือ

๑. ขอขมา และอโหสิกรรม ได้อะไรจากการขอขมา และอโหสิกรรม วิบากกรรมที่เคยทำผิดพลาดกันมาในอดีต จะเบาบางลง ด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ

     ๑.๑ วิบากกรรมส่งผลจนหมดกำลัง มันก็เลิกให้ผล

     ๑.๒ สั่งสมบุญให้เต็มที่ อธิษฐานจิตให้บุญไปตัดรอนวิบากกรรมให้เบาบางลง

     ๑.๓ ขอขมา และอโหสิกรรมให้กัน

          การขอขมาไม่ได้ปรารภเฉพาะชาตินี้เท่านั้น แต่ปรารภอดีตชาติอันยาวนาน นับภพนับชาติไม่ถ้วน ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สรรพชีวิตต่างเวียนว่ายตายเกิดกันมายาวนาน ผู้ที่ไม่เคยเกิดเป็นญาติกันมานั้น หาไม่ได้ง่าย เมื่อขอขมากันแล้ว วิบากกรรมจากหนักก็จะเบาบางลง ที่เบาบางแล้วก็มลายหายสูญ กลายเป็นอโหสิกรรมไป

๒. เจริญมรณสติ ไปงานบำเพ็ญกุศล ไประลึกนึกถึงความตาย โดยอาศัยร่างของผู้วายชนม์ เป็นสื่อให้ระลึกนึกถึงความตาย เพราะปกติของชีวิตผู้ครองเรือน จะวนเวียนอยู่กับเรื่องปากท้อง ภารกิจหน้าที่การงาน ครอบครัว จนลืมไปว่า ชีวิตมีเวลาจำกัด เช่นพิจารณาว่า “เมื่อก่อนท่านก็เป็นอย่างเรา อีกหน่อยเราก็จะเป็นอย่างท่าน” จะทำให้เราไม่ประมาทว่า เราพร้อมที่จะเดินทางไปสู่โลกหน้าแล้วหรือยัง เพราะความตายไม่มีนิมิตหมาย ไม่บอกล่วงหน้าว่าจะตายวันไหน ตายเวลาไหน ตายที่ไหน ตายด้วยอาการอย่างไร
ตายเมื่อไหร่

๓. บำเพ็ญบุญ และอุทิศส่วนกุศล เพราะชีวิตในปรโลก (โลกหน้า) ไม่มีการทำมาหากิน มีความสุขอยู่ได้ด้วยบุญที่ตนเองทำไว้เมื่อเป็นมนุษย์ และบุญที่หมู่ญาติอุทิศไปให้

           ไปงานบำเพ็ญกุศลครั้งต่อไป อย่าลืม ๓ ประการ คือไปขอขมา ไปเจริญมรณสติ และไปอุทิศส่วนกุศล อย่างนี้ไปแล้วได้กำไร

 

จากหนังสือ ราตรีสว่าง

พระครูวิบูลนิติธรรม (ไพบูลย์ ธัมมวิปุโล)

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.031591097513835 Mins