การเดินทางไปสู่ปรโลก
สิ่งที่ต้องเจอในวันละสังขาร
ในวันละสังขารของทุกคน มีสิ่งที่ต้องเจออยู่อย่างน้อย ๔ อย่าง คือ
๑. ละสังขารด้วยอาการอย่างไร
๒. สภาพใจตอนละสังขารเป็นแบบไหน
๓. รูปกายใหม่เป็นอะไร
๔. สถานที่อยู่ใหม่ อยู่ที่ไหน
๑. ละสังขารด้วยอาการ แบบไหนใน ๔ แบบ คือ
๑.๑ นอนหลับไปแบบสบายๆ ไม่มีทุกขเวทนา เพราะไม่มีวิบากกรรมในอดีตตามมาส่งผล
๑.๒ ฉุกเฉิน ฉับพลัน ไม่ทันตั้งตัว เพราะมีวิบากกรรมฆ่าคน หรือสัตว์ให้ตายแบบฉับพลันในอดีตตามมาส่งผล
๑.๓ มีทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสก่อนละสังขาร เพราะมีวิบากกรรมฆ่าคนหรือสัตว์ให้ตายด้วยความทุกข์ทรมาน ในอดีต ตามมาส่งผล
๑.๔ มีทุกขเวทนาบ้างก่อนละสังขาร เพราะวิบากกรรมฆ่าคนหรือสัตว์ให้ตายด้วยความทุกข์ทรมานในอดีตเบาบางลงแล้ว และมีบุญกุศลที่ทำด้วยความปลื้มใจ
ตามมาตัดรอนวิบากกรรม ให้เบาบางลง
๒. สภาพใจตอนละสังขารเป็นแบบไหน
๒.๑ ใจผ่องใส มีสุคติเป็นที่ไป
๒.๒ ใจเศร้าหมอง มีทุคติเป็นที่ไป
๒.๓ ใจไม่ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง แบบนี้ไปได้หลายทาง อยู่ที่สภาพใจหลังจากละสังขารแล้วว่า บุญหรือบาปได้ช่องตามมาส่งผล หรือไปตัดสินกันที่ยมโลก
๒.๔ ใจผ่องใส ใจเศร้าหมอง และใจไม่ผ่องใส ไม่เศร้าหมองสลับกันไปแบบนี้ ถ้าใจผ่องใสมากกว่าเศร้าหมองก็ไปดี ถ้าใจเศร้าหมองมากกว่าผ่องใสก็ไปไม่ดี
๓. รูปกายใหม่เป็นอะไร
รูปกายใหม่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มี ๕ รูปกาย ที่เป็นทางไปของสัตว์ หลังจากละสังขารแล้ว คือ ๑) เทวดา ๒) มนุษย์ ๓) สัตว์เดรัจฉาน ๔) เปรต ๕) สัตว์นรก
๔. สถานที่อยู่ใหม่ อยู่ที่ไหน
สถานที่อยู่ มี ๓๔ ภพภูมิ ประกอบด้วย อรูปภพ ๔ ชั้น รูปภพ ๑๖ ชั้น สวรรค์ ๖ ชั้น มนุษยโลก ๑ อบายภูมิ ๔ (สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก) รวมเป็น ๓๑ ภพภูมิ
ดีที่สุดในวันละสังขาร คือ
๑. ละสังขารแบบนอนหลับไปสบายๆ
๒. ใจผ่องใสตอนละสังขาร
๓. ละสังขารแล้วไปเป็นเทพบุตร เทพธิดาในเทวโลก ตามกำลังบุญและแรงอธิษฐาน
จะทำอย่างไรให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดในวันละสังขาร
๑. ความผิดพลาดในอดีต ลืมให้หมด
๒. บาปอกุศลใหม่ ไม่ทำเพิ่มขึ้นอีก
๓. ทำความดีแล้ว ให้ตามนึกถึงบ่อยๆ อย่างน้อย ให้หลับไปกับการนึกถึงบุญกุศลทุกคืน
๔. ทำความดีใหม่เป็นประจำทุกวัน
๕. เจริญสมาธิภาวนาทุกวันให้จิตผ่องใส
แล้วไปเจอกันในเทวโลก แต่ไม่มี Facebook ให้อ่านนะครับ
ชีวิตในวันที่ต้องเดินทางไกล
เดินทางไกลในที่นี้ ไม่ใช่ไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ แต่เป็นการเดินทางเพราะละสังขาร เดินทางไปต่างภพภูมิ ในวันที่ละสังขาร มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างน้อย ๒ ประการ คือ
๑. เปลี่ยนแปลงรูปกาย
๒. เปลี่ยนแปลงสถานที่อยู่เปลี่ยนแปลงรูปกาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงทางไปของชีวิตหลังความตายไว้ ๕ ทาง เรียกว่าคติ ๕ คือ รูปกายที่เป็น...
๑. เทวดา
๒. มนุษย์
๓. สัตว์เดรัจฉาน
๔. เปรต
๕. สัตว์นรก
ส่วนสถานที่เรียกว่าภพ ๓ ประกอบด้วยกามภพ ๑๑ รูปภพ ๑๖ อรูปภพ ๔ รวมเป็น ๓๑ ภพภูมิ ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดรูปกายและภพภูมิใหม่คือ กรรมใกล้ตาย ถ้ากรรมดีส่งผลตอนใกล้ตายก็ไปใช้รูปกายเทวดา หรือมนุษย์ อยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก ถ้ากรรมชั่วส่งผลตอนใกล้ตายก็ไปใช้รูปกายสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก เรียกว่าอบายภูมิ ๔ มีที่อยู่ทั้งในมนุษยโลก เปรตโลก และนรก ๔๕๖ ขุม
ทำอย่างไรกรรมใกล้ตายจึงจะเป็นกรรมดี
กรรมใกล้ตายมักจะมาจากกรรมที่ทำเป็นประจำ จนเป็นนิสัย ดังนั้น ถ้าอยากให้กรรมใกล้ตายเป็นกรรมดี ก็ต้องทำกรรมดีเป็นประจำ ทำจนเป็นนิสัย เช่น ทำทานทุกวัน อาราธนาศีลทุกวัน เจริญสมาธิภาวนาทุกวัน เป็นต้น แล้วหมั่นนึกถึงบุญที่ทำมาแต่ละวัน ที่สำคัญให้หลับไปกับการนึกถึงบุญทุกคืนจนเป็นนิสัย ถ้าทำได้ทุกคืนต่อเนื่องหลายสิบปีจนติดเป็นนิสัย วันสุดท้ายก่อนละสังขารก็ทำได้
ทุกครั้งที่ศีรษะแตะหมอน ก่อนหลับไปในคืนนี้ และทุกๆ คืน อย่าลืมนึกถึงบุญนะครับ....
เครื่องช่วยหายใจ ทุกขเวทนาในวาระสุดท้าย
สำหรับบุพการีที่ละสังขารในวัยชรา ลูกหลานที่เฝ้าไข้ควรจะรู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ป่วยในวาระสุดท้าย ในวัยชราอวัยวะภายในร่างกายเสื่อมสภาพ อาการที่แสดงออก
มาทางกายภาพ ที่เห็นได้ชัดๆ ในช่วงสุดท้ายมี ๔ ขั้นตอน คือ
๑. เดินไม่ไหว ต้องนั่งรถเข็นผู้สูงอายุ
๒. นั่งไม่ไหว ต้องนอนอย่างต่อเนื่อง ต้องระวังแผลกดทับ
๓. เคี้ยวไม่ไหว ต้องใช้กระบอกฉีดใส่อาหารเหลว ฉีดป้อนให้กลืนทางปาก ต่อมา จะกลืนไม่ไหว ต้องใช้สายอาหารสอดผ่านจมูก ผ่านหลอดอาหาร ลงไปที่กระเพาะ เทอาหารเหลวผ่านสายอาหารตามเวลาที่แพทย์กำหนด
๔. หายใจไม่ไหว เริ่มติดขัด ตอนนี้พยาบาลจะถามญาติที่เฝ้าไข้ว่าจะอนุญาตให้ใช้เครื่องช่วยหายใจไหม
การตัดสินใจตอนนี้เอง คือ การกำหนดรูปแบบการละสังขารของบุพการีด้วยในวัยชรา ถ้าไม่ใช้เครื่องช่วยหายใจ ก็จะละสังขารตามธรรมชาติ เพราะอวัยวะภายในร่างกายหมดสภาพแล้ว ถ้าตัดสินใจใช้เครื่องช่วยหายใจ พยาบาลก็จะสอดท่อออกซิเจนขนาดประมาณนิ้วก้อยผ่านคอไปที่หลอดลม เครื่องจะดันออกซิเจนเข้าไปในปอดเป็นจังหวะ เมื่อสอดท่อเข้าไปแล้ว จะไม่มีใครกล้าเอาท่อออก เพราะผู้ป่วยด้วยในวัยชราไม่สามารถหายใจด้วยตัวเองได้แล้ว คุณหมอให้ความรู้ว่า ท่อออกซิเจนที่ใส่เข้าไปแล้ว จะอยู่ในหลอดลมได้ไม่เกิน ๒-๓ สัปดาห์ จากนั้นหลอดลมจะอักเสบ เกิดแผลติดเชื้อที่ปอดและละสังขารในที่สุด แต่ถ้าผู้ป่วยยังอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ แพทย์จะต้องเจาะคอ ใส่สายออกซิเจนขนาดเล็ก ผ่านเข้าไปในหลอดลมแทน แล้วถอดเอาท่อออกซิเจนที่สอดผ่านคอออก ถ้าผู้ป่วยสามารถหายใจได้ด้วยตัวเอง ก็จะเปลี่ยนเป็นท่อโลหะ ให้ญาติพาไปดูแลที่บ้าน แล้วฝึกหายใจด้วยจมูก จนสามารถถอดสายออกซิเจนออกได้
แต่อย่าลืมว่าในวัยชรา อวัยวะภายในร่างกายหมดสภาพแล้ว เหมือนรถยนต์ที่ใช้งานมาหลายสิบปี ต้องเปลี่ยนอะไหล่ยืดอายุการใช้งาน แต่คนเปลี่ยนอวัยวะเหมือนรถยนต์ไม่ได้! ถ้ายังสามารถถอดสายออกซิเจนออก หายใจเองได้ ไม่นานก็จะกลับเข้าสู่เส้นทางเดิมอีก คือ หายใจติดขัด ก็ต้องกลับมาใส่ท่อออกซิเจนรอบต่อไป
หลักสำคัญอยู่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “จิตเต อสังกิลิฎเฐ สุคติ ปาฏิกังขา” เมื่อจิตผ่องใส ไม่เศร้าหมอง สุคติ เป็นอันหวัง จิตจะผ่องใส ในขณะมีท่ออยู่ที่คอไม่ใช่เรื่องง่าย เราลองพิจารณาดู ถ้าเอาท่อออกซิเจนมาใส่คอเรา ในขณะที่ยังแข็งแรงอยู่ จะรู้สึกอย่างไร
ถ้าจะให้ดี ควรถามบุพการีตั้งแต่ยังมีสติรู้ตัวอยู่ว่า จะเอาท่อออกซิเจนไหม จะได้ปฏิบัติได้ถูกต้อง เพราะถึงตอนที่บุพการีหายใจติดขัดแล้ว ผู้ป่วยในวัยชรามักจะสื่อสารไม่ได้ลูกๆ จะได้ไม่ต้องมาขัดใจกัน ลูกบางคนจะเอาท่อ เพราะคิดว่า จะยืดอายุบุพการีให้ยาวนานที่สุด ลูกบางคนก็ไม่เอาท่อ เพราะคิดว่า จะทรมานท่านไปถึงไหน ให้ละสังขารแบบสบายๆ ไม่ดีกว่าหรือ
ให้ท่านตัดสินใจเองดีกว่าไหม ถามใจตัวเองถึงคราวที่เราเข้าสู่วัยชรา เราก็ควรใช้สิทธิ์เลือกอาการสุดท้ายก่อนจะละสังขาร มิใช่หรือ
กรรมนิมิตปรากฏก่อนละสังขาร
คนที่ตายตามธรรมชาติ คือ แก่ เจ็บ แล้วตาย (ไม่ได้ตายแบบฉุกเฉิน ไม่ทันตั้งตัว) มักจะมีนิมิตมาปรากฏให้เห็นอยู่ ๓ ลักษณะ คือ
๑. กรรมอารมณ์ หมายถึง อารมณ์ที่ชอบใจ ไม่ชอบใจมาปรากฏให้เห็น แบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย
๑.๑ กรรมอารมณ์ฝ่ายกุศล ความดีมาปรากฏ เช่น เป็นคนชอบใส่บาตรทุกเช้า เมื่อจะละสังขาร ภาพใส่บาตรก็มาปรากฏ ใจก็ผูกพัน มีความสุข ปลื้มใจ ใจผ่องใส ละสังขารแล้วสุคติเป็นที่ไป
๑.๒ กรรมอารมณ์ฝ่ายอกุศล ความชั่วมาปรากฏ เช่น เป็นคนชอบตีไก่ เมื่อจะละสังขาร ภาพไก่ตีกันมาปรากฏ จึงเอามือหงิกเป็นมะเหงกกระแทกกันจนนิ้วอักเสบ เลือดอาบ ใจเศร้าหมอง ละสังขารแล้ว ไปเกิดในอบายภูมิ ๔ คือ สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกายและสัตว์นรก
๒. กรรมนิมิตอารมณ์ หมายถึง ผลงานที่เคยทำมาปรากฎให้เห็น มี ๒ ฝ่ายเช่นเดียวกัน
๒.๑ กรรมนิมิตฝ่ายกุศล ความดีมาปรากฏ เช่น เคยสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล โบสถ์ วิหาร กุฏิสงฆ์ หอฉัน พระประธาน ภาพผลงานดีๆ มาปรากฏ ใจก็ผูกพัน มีความสุข ปลื้มใจ ใจผ่องใส ละสังขารแล้ว สุคติเป็นที่ไป
๒.๒ กรรมนิมิตฝ่ายอกุศล ความชั่วมาปรากฏ เช่น เป็นคนจับปลาเก่ง จับปลามาทั้งชีวิต เห็นปลามาปรากฏ ลูกหลานมากระซิปข้างๆ หู ให้ภาวนา “พุทโธๆๆๆ” แต่บุพการีเห็นแต่ปลา เลยเปล่งเสียงออกมาว่า “ชะโดๆๆๆ” ใจเศร้าหมอง ละสังขารแล้ว ทุคติเป็นที่ไป
๓. คตินิมิตอารมณ์ หมายถึง ภาพทางไปมาปรากฏ มี ๒ ฝ่ายเช่นเดียวกัน
๓.๑ คตินิมิตอารมณ์ฝ่ายกุศล ความดีมาปรากฏ เช่น เคยสั่งสมบุญกุศลเอาไว้มาก ใกล้จะละสังขาร เห็นบริวารมาตั้งแถวรอรับ ปลายทางเป็นเทวรถสวยอลังการ เห็นแล้วก็ปลื้มใจ ละสังขารแล้วเปลี่ยนเป็นกายทิพย์ขึ้นเทวรถกลับไปสู่เทวโลก
๓.๒ คตินิมิตอารมณ์ฝ่ายอกุศล ความชั่วมาปรากฏ เช่น เคยสั่งสมบาปอกุศลเอาไว้มาก ใกล้จะละสังขาร เห็นเจ้าหน้าที่ผิวดำตัวใหญ่ นุ่งหยักรั้งสีแดงหลายตน มายืนจ้องรอรับ ใจก็เศร้าหมอง ละสังขารแล้ว เจ้าหน้าที่ก็พาไปยมโลกรับทัณฑ์ทรมาน
นิมิตเหล่านี้ เกิดขึ้นจากการกระทำที่ทำเอาไว้ตลอดชีวิตมาปรากฏ ซึ่งแบ่งได้เป็น ๔ ประเภท คือ
๑. พวกที่ทำบุญล้วนๆ พวกนี้หายาก
๒. พวกที่ทำบุญมากกว่าบาป
๓. พวกทำบาปมากกว่าบุญ
๔. พวกที่ทำบาปล้วนๆ ส่วนมากจะประกอบมิจฉาวณิชชา เช่น ฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าตลอดชีวิตเป็นเอเย่นต์ขายน้ำเมา เป็นต้น
ภาพเหล่านี้มักจะมาปรากฏกับผู้ที่ตายตามธรรมชาติ คือ แก่ เจ็บ แล้วตาย
ถึงเวลาที่จะออกแบบกรรมนิมิตตอนใกล้ตายกันแล้ว
๑. ความผิดพลาดในอดีต ลืมไปให้หมด อย่าไปนึกถึงอีก
๒. บาปอกุศลของใหม่ อย่าทำเพิ่มขึ้นอีก
๓. บุญกุศลที่ทำแล้ว ให้ตามนึกบ่อยๆ อย่างน้อยก็หลับไปพร้อมกับการนึกถึงบุญกุศลทุกคืน
๔. สั่งสมบุญกุศลความดีทุกวัน ไม่ให้ขาด
๕. เจริญสมาธิภาวนาให้จิตผ่องใสเป็นประจำทุกวัน
ถ้าทำอย่างนี้ได้ เมื่อถึงคราวจะละสังขาร ไม่ต้องมีใครมาส่ง เราจะจากโลกนี้ไปด้วยความอาจหาญร่าเริง จะมียิ้มสุดท้ายเป็นประดุจผู้ชนะในศึกชิงภพ ปิดงบดุลชีวิต กลับไปสู่เทวโลกด้วยความสง่างาม..
ทำอย่างไรจึงจะละสังขารแบบสบายๆ
เวลาคนจะละสังขาร มักจะมีอาการที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งพอแบ่งออกได้เป็น ๔ ประเภทหลักๆ ดังนี้
๑. ละสังขารแบบสบายๆ เหมือนนอนหลับไป
๒. ละสังขารแบบแบบฉับพลัน ไม่ทันตั้งตัว
๓. ต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ก่อนละสังขาร
๔. มีทุกขเวทนาบ้าง ก่อนละสังขาร
การละสังขารทั้ง ๔ แบบนี้ คุณครูไม่ใหญ่ ได้เคยให้ความกระจ่างเอาไว้ ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ถ่ายทอดทาง DMC
พวกแรก เป็นเพราะไม่มีบาปอกุศลในอดีตตามมาส่งผล จึงละสังขารแบบสบายๆ ด้วยอาการที่สงบเหมือนนอนหลับไป
พวกที่ ๒ ในอดีต เคยทำกรรมปาณาติบาต ฆ่าคนหรือสัตว์ให้ตายแบบเฉียบพลัน เช่น ชอบล่าสัตว์เป็นเกมส์กีฬา เป็นต้น ถึงคราวจะละสังขาร ก็จะตายแบบฉับพลัน ไม่ทันตั้งตัว เช่น ประสบอุบัติเหตุ ตายทันทีในที่เกิดเหตุ หรือหัวใจวายเฉียบพลัน เป็นต้น
พวกที่ ๓ ในอดีต เคยทำกรรมปาณาติบาต ฆ่าคนหรือสัตว์ให้ตายด้วยความทุกข์ทรมาน วิบากกรรมยังหนาแน่นอยู่ ได้ช่องตามมาส่งผล ถึงคราวจะตายก็ต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสก่อนจะละสังขาร
พวกที่ ๔ ในอดีต เคยทำปาณาติบาต ฆ่าคนหรือสัตว์ให้ตายด้วยความทุกข์ทรมาน แต่วิบากกรรมเบาบางลงแล้ว และในปัจจุบันสั่งสมบุญอย่างเต็มที่ บุญได้ช่องมาส่งผล ตัดรอนวิบากกรรมพอดีทำให้มีทุกขเวทนาบ้างก่อนจะละสังขาร
จะเห็นว่า สาเหตุที่ทำให้ละสังขารแบบฉับพลัน หรือตายด้วยความทุกข์ทรมาน เกิดจากวิบากกรรม “ปาณาติบาต และทรมานคนหรือสัตว์ให้ตายด้วยความทุกข์ทรมาน” หว่านพืชเช่นใด ได้ผลเช่นนั้น ทำอย่างไร ก็ได้อย่างนั้น ต่างกันตรงที่ว่า จะเร็ว หรือช้า
ส่วนการละสังขารด้วยอาการสงบ หรือมีทุกขเวทนาบ้าง เกิดจากการไม่มีกรรมปาณาติบาตได้ช่องตามมาส่งผล และปัจจุบันสั่งสมบุญเต็มที่ อธิษฐานจิตให้บุญมาตัดรอนวิบากกรรมให้เบาบางลง
เราไม่เห็นกรรม แต่กรรมเห็นเรา ในวันที่เราอ่อนกำลัง ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับปากพูด เราจะซาบซึ้งในบุญกุศลที่เราอดทนสั่งสมมา ทั้งการให้ทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิภาวนา
เมื่อถึงเวลา จะได้ละสังขาร “แบบหลับแล้วตื่นขึ้นกลางวิมาน” กันทุกคน
ยิ้มสุดท้ายของพ่อแม่ก่อนละสังขาร
เราต่างก็มีพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ผู้เป็นบุพการี คือ ผู้ที่ทำอุปการคุณกับเราก่อน เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สักวันหนึ่งท่านต้องจากเราไป เมื่อถึงวันนั้นจะทำอย่างไร ให้ท่านละสังขารอย่างสงบ มียิ้มสุดท้ายละสังขารไปด้วยจิตที่ผ่องใส
ชีวิตในปรโลก (โลกหน้า) นั้นยาวนาน ไม่มีกำหนดที่แน่นอนว่าจะจบลงเมื่อไหร่ ตอนละสังขารก็เหมือนกับการขับรถมาถึงทางแยก ถ้าไปถูกทางก็มีความสุขยาวนาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “จิตเต อสังกิลิฎเฐ สุคติ ปาฏิกังขา” เมื่อจิตผ่องใส ไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นอันหวัง นี้เป็นการบอกหนทางไปสู่สวรรค์ที่พระบรมศาสดาทรงมอบเอาไว้ให้
จิตจะผ่องใสด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ
๑. จิตผูกพันอยู่กับบุญ
๒. จิตผูกพันอยู่กับพระรัตนตรัย
จิตผูกพันอยู่กับบุญมี ๒ อย่าง คือ
๑. บุญในอดีต อันนี้ต้องใช้พยานทางวัตถุมาช่วย เช่น ใบอนุโมทนาบัตร รูปภาพกิจกรรมงานบุญ หรือภาพผลงาน ที่เป็นสาธารณประโยชน์ที่เคยทำเอาไว้มาเปิดดูทบทวนให้นึกถึงบุญ เป็นต้น
๒. บุญในปัจจุบัน วันต่อวัน เช่น ให้ทาน รักษาศีล สวดมนต์ ทำสมาธิภาวนา ฟังธรรมทุกวัน เป็นต้น
จิตผูกพันอยู่กับพระรัตนตรัย คือ
• พระพุทธเจ้า เช่น หาภาพหรือพระพุทธรูป มาวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม มองให้ติดตาแล้วน้อมนำมานึกด้วยจิตที่เลื่อมใส
• พระธรรม เช่น หาเสียงสวดมนต์ เสียงนำนั่งสมาธิ หรือบทธรรมะที่ฟังแล้วสบายใจมาเปิดให้ฟังในช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่เป็นการรบกวนผู้ป่วย
• พระสงฆ์ ก็ทำเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า
ร่างกายให้ปฏิบัติตามที่แพทย์พยาบาลแนะนำ ส่วนจิตใจเป็นหน้าที่ของลูกหลาน เพราะต้องทำด้วยใจ ถ้ามีหมู่ญาติมิตรใกล้ชิดมาเยี่ยม แต่นำความกังวลมาเล่าให้ฟัง อันนี้เป็นภัยของผู้ที่จะเดินทางไปสู่ปรโลก เราต้องป้องกันสิ่งที่จะนำความกังวลใจ อันเป็นเหตุให้จิตขุ่นมัวเศร้าหมอง
การส่งพ่อแม่ไปสู่สุคติ มียิ้มสุดท้ายก่อนละสังขารได้ นับเป็นความภาคภูมิใจอันสูงสุดของลูกกตัญญู
ไปนรกไปสวรรค์ต่างกันอย่างไร
ได้ติดตามคุณครูไม่ใหญ่เล่าในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ถ่ายทอดทาง DMC อย่างต่อเนื่อง ทำให้รู้จักชีวิตหลังความตายว่า ไปนรกไปสวรรค์เขาไปกันอย่างไร?
การไปนรก ไปได้หลายวิธี เช่น
๑. ไปนรกด้วยอานุภาพของการเจริญสมาธิภาวนา จนเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในจนเชี่ยวชาญชำนาญไปตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ไปเพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือหมู่ญาติ
๒. ไปนรกโดยมีเจ้าหน้าที่จากยมโลกมารับตัวไปสู่ยมโลกในช่วงไม่เกิน ๗ วัน หลังจากละสังขารแล้ว เพราะตายด้วยสภาพใจที่ไม่ใสไม่หมอง หรือใจหมองไม่มาก และบุญ บาปยังไม่ได้ช่องตามมาส่งผล
๓. ไปนรกเพราะอำนาจบาปอกุศลที่ทำเอาไว้มาปรากฏให้เห็นเป็นกรรมนิมิตตอนใกล้จะละสังขาร ทำให้จิตขุ่นมัวเศร้าหมอง จึงพากายละเอียดออกทางปากช่องจมูก แล้วผ่านเข้าอุโมงค์มิติสีดำไปสู่มหานรก
๔. ไปนรกโดยถูกแผ่นดินสูบ เพราะทำกรรมหนัก เช่น ประทุษร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ (ศึกษาเพิ่มเติมจากตอน ไปนรกกันได้อย่างไร?)
ส่วนการไปสวรรค์ ก็ไปได้หลายวิธี เช่น
๑. ไปสวรรค์ด้วยอานุภาพของการเจริญสมาธิภาวนา จนเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในเชี่ยวชาญชำนาญ หรือบรรลุเป็นพระอรหันต์ อย่างเช่น พระมหาโมคคัลลานะ ไปตรวจดูวิมานของทวยเทพ แล้วนำมาเล่าให้ฟัง...
๒. ไปสวรรค์แบบ บริวารนำเทวรถมารับเทพผู้เป็นนายกลับไปสู่เทวโลก
๓. ไปสวรรค์แบบ หลับแล้วตื่นขึ้นกลางวิมานเพราะสั่งสมบุญมามาก เมื่อถึงวาระสุดท้ายหลับไปในขณะที่ใจผูกพันอยู่กับบุญกุศล
๔. ไปสวรรค์แบบ กายละเอียดหลุดจากกายหยาบแล้วนึกถึงบุญได้ แวบกลับไปสู่วิมานบนสวรรค์ทันที
๕. ไปสวรรค์แบบ กายละเอียดหลุดจากกายหยาบแล้วนึกถึงบุญได้ มีลำแสงจากวิมานลงมาจรดในมนุษยโลก เดินตามลำแสงขึ้นไป ก็กลับไปสู่วิมานบนสวรรค์ได้ (ศึกษาเพิ่มเติมตอน เทพบุตร เทพธิดา กลับวิมานกันอย่างไร?)
สรุป การไปนรกไปสวรรค์ มีสิ่งที่เหมือนกัน คือ ถ้าไปตอนมีชีวิต ไปด้วยอานุภาพของฌานสมาบัติ ที่เกิดจากการเจริญสมาธิภาวนาจนเข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน
ส่วนการไปนรกไปสวรรค์ มีสิ่งที่แตกต่างกัน คือ
๑. กรณีไปโดยที่มีผู้มารับ
๑.๑ ถ้าไปนรก มีเจ้าหน้าที่จากยมโลกมารับกายละเอียดไปสู่ยมโลก
๑.๒ ถ้าไปสวรรค์ มีบริวารนำเทวรถมารับกายทิพย์กลับไปสู่วิมานในเทวโลก
๒. กรณีไปด้วยตัวเอง
๒.๑ ไปนรก เพราะจิตที่เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส จากบาปอกุศลที่เคยทำเอาไว้ตามมาส่งผล
๒.๒ ไปสวรรค์ เพราะจิตที่ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง จากบุญกุศลที่เคยทำเอาไว้ตามมาส่งผล
จิตจะผ่องใสได้ต้องผูกพันกับบุญ และพระรัตนตรัย ทำให้ได้แล้วไปเจอกันในเทวโลกนะครับ !!
จากหนังสือ ราตรีสว่าง
พระครูวิบูลนิติธรรม (ไพบูลย์ ธัมมวิปุโล)