ชีวิตหลังความตาย

วันที่ 18 กพ. พ.ศ.2565

650218_B.jpg

ชีวิตหลังความตาย

จะช่วยคนที่ตายด้วยอุบัติเหตุได้อย่างไร

650218_p01.jpg

          ถึงเทศกาลสงกรานต์ทีไร มีทั้งความรื่นเริงยินดีในวาระขึ้นปีใหม่ของคนไทย แต่ก็มีเรื่องให้เศร้าใจกับชีวิต และทรัพย์สินที่สูญเสียไปกับอุบัติเหตุ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการเดินทาง

           คนที่ตายจะมีสภาพใจอยู่ ๓ แบบใหญ่ๆ คือ

๑. ใจผ่องใส

๒. ใจเศร้าหมอง

๓. ใจไม่เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส

           คนที่ตายด้วยอุบัติเหตุ ส่วนใหญ่มักมีสภาพใจแบบที่ 3 คือใจไม่เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส เพราะตายโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว การตายแบบนี้กายละเอียดจะหลุดออกมาจากกายหยาบ วนเวียนอยู่ในที่ตายบ้าง กลับมาหาครอบครัว และหมู่ญาติอันเป็นที่รักบ้าง เรื่องนี้คนที่เป็นญาติที่ผู้ตายรักใคร่คุ้นเคยจะได้สัมผัสประสบการณ์พิเศษ ช่วงนี้เป็นช่วงรอผลของบุญและบาปตามมาส่งผล จึงสามารถรับบุญได้เต็มที่

            ดังนั้น หมู่ญาติต้องรีบทำบุญอุทิศไปให้ บุญจะเข้าไปแทรกสภาพใจที่สับสน วุ่นวาย สติแตก ทำอะไรไม่ถูก หรืออาการมึนงงจากความเจ็บปวด ที่ติดมาจากอุบัติเหตุ ให้มีสติระลึกนึกถึงบุญได้

            วิธีทำบุญ ให้ใส่ชื่อผู้ตายเป็นชื่อเจ้าภาพ ขณะพระสวดมนต์ให้พร ให้นึกเจาะจงถึงผู้ตาย อธิษฐานจิตอุทิศบุญให้ผู้ตาย ซึ่งกายละเอียดจะรับบุญได้เต็มๆ ความเศร้าโศก คร่ำครวญ พร่ำพิไรรำพัน นอกจากไม่เป็นประโยชน์กับผู้ตายแล้ว ยังทำให้สุขภาพจิตของหมู่ญาติมิตรทรุดโทรมไปด้วย

          เราต้องคิดว่าใครๆ ก็ต้องตายเหมือนกัน ผู้ที่ตายก่อนวันอันควร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้ว่า เป็นเพราะวิบากกรรมปาณาติบาต ตามมาส่งผล ให้เร่งสร้างบุญกุศลให้ตัวเอง แล้วอุทิศให้ผู้ตายดีกว่า

        ทำอย่างนี้ทั้งผู้ตาย และหมู่ญาติ จะได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย

 

กลิ่นของกายละเอียดมาจากไหน

650218_p02.jpg

           โดยปกติแล้ว ทุกคนจะมีกลิ่นกายเฉพาะตัว ซึ่งเป็นกลิ่นธรรมชาติ เช่นเดียวกับเด็กที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนดม ต่างจากกลิ่นตัวผู้ใหญ่ ซึ่งเกิดจากต่อมของร่างกายขับเหงื่อ และไขมันออก ทำให้เกิดการเปื่อยยุ่ย และลอกออก จากนั้นแบคทีเรียและเชื้อราก็จะกินเซลล์ที่ตายแล้ว และขับกรดออกมาทำให้มีกลิ่นเหม็น

            แล้วกลิ่นของกายละเอียด เกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีแตกต่างกันอย่างไรบ้าง?

          เรื่องนี้ คุณครูไม่ใหญ่ได้เล่าให้ฟังในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาว่า กลิ่นกายละเอียดของผู้ตาย จะเปลี่ยนไปตามกำลังบุญและบาปเป็นหลัก ซึ่งจะมีอยู่ ๓ ช่วง คือ

๑. เมื่อตายใหม่ๆ บุญและบาปยังไม่ได้ช่องส่งผล กายละเอียดยังวนเวียนอยู่ในโลก กลิ่นกายละเอียดจะเหมือนกับกลิ่นตัว เมื่อตอนยังมีชีวิต

๒. เมื่อบุญและบาปเริ่มส่งผล

     ๒.๑ ถ้าเป็นพวกทำบุญมากกว่าบาป และบุญได้ช่องส่งผล กลิ่นตัวของกายละเอียด จะมีกลิ่นหอมเหมือนไทยธรรมที่เคยทำบุญเอาไว้ เช่น ดอกมะลิ ดอกบัวที่เคยถวาย หรือเหมือนกลิ่นธูป เป็นต้น

     ๒.๒ ถ้าเป็นพวกทำบาปมากกว่าบุญ และบาปได้ช่องส่งผล กลิ่นของกายละเอียดก็จะเหม็นเหมือนกลิ่นศพ

๓. เมื่อบุญและบาปส่งผลเต็มที่ จนกายละเอียดเดินทางไปสู่ปรโลก (โลกหน้า)

     ๓.๑ ถ้าบุญส่งผลไปสู่สุคติ เช่น เป็นภุมมเทวา รุกขเทวา อากาศเทวา เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์...ตามลำดับ กลิ่นของกายทิพย์ก็จะหอมอบอวลขึ้นไปเรื่อยๆ ตามกำลังบุญ

      ๓.๒ ถ้าบาปส่งผลไปสู่ทุคติ เช่น ไปเกิดเป็นเปรต สัตว์นรก กลิ่นของกายละเอียดก็จะเหม็นขึ้น ไปเรื่อยๆ ตามกำลังบาป

          ถึงเวลามาออกแบบกลิ่นของกายละเอียดกันแล้ว อยากให้กลิ่นของกายละเอียดเหมือนกลิ่นมะลิ จำปี กระดังงา กุหลาบ ฯลฯ ตอนนี้ยังมีลมหายใจ มีโอกาส จัดเต็มกันได้เลยครับ!!!

 

ทำไมต้องทำบุญให้ผู้ตาย ในช่วง ๗, ๕๐, ๑๐๐ วัน

650218_p03.jpg

           ในครอบครัวของคนไทยเมื่อมีคนตาย มีประเพณีทำบุญ ๗, ๕๐, ๑๐๐ วัน

           ที่มาของเรื่องนี้ คือ ความรู้ที่ได้จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ชีวิตในปรโลก (โลกหน้า) มีความสุขอยู่ได้ด้วยบุญที่ทำตอนเป็นมนุษย์ และบุญที่หมู่ญาติมิตรอุทิศไปให้ ถ้าผู้ตายละสังขารไปด้วยสภาพใจที่ไม่เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส กายละเอียดที่ไปเกิดจะหลุดออกมาจากกายหยาบ ช่วง ๗ วันนี้ เป็นช่วงที่รอผลของบุญและบาปส่งผล กายละเอียดสามารถรับบุญได้เต็มที่จึงนิยมรีบทำบุญอุทิศไปให้ เพื่อว่าบุญจะเข้าไปแทรกในใจของกายละเอียด แทนที่ความเศร้าโศก สับสน ให้มีสติระลึกนึกถึงบุญที่เคยทำมา รวมกับบุญที่อุทิศไปให้ จะนำกายละเอียดไปเกิดตามกำลังบุญ

            แต่ถ้าบุญที่อุทิศไปให้ยังไม่มากพอ เมื่อครบ ๗ วัน เจ้าหน้าที่จากยมโลกจะมาพากายละเอียดไปสู่ยมโลก ซึ่งเป็นนรกขุมบริวารเป็นสถานที่ตัดสินพิพากษากายละเอียดที่ตายด้วยสภาพใจไม่ผ่องใสไม่เศร้าหมอง และบุญบาปยังไม่ได้ช่องมาส่งผล เมื่อผ่านประตูยมโลกแล้ว ต้องไปยืนรอที่ลานกว้าง เพราะมีกายละเอียดจากทั่วโลกไปเป็นจำนวนมาก ในช่วงนี้ ใช้เวลาประมาณ ๕๐ วันในมนุษยโลก ถ้าทำบุญใหญ่อุทิศไปให้ แล้วบุญมากพอ บุญจะไปปรากฏที่จอหน้าบัลลังก์ของพญายมราช เมื่อกายละเอียดเข้าไปสู่การพิพากษาก็จะช่วยเอากายละเอียดกลับมาเกิดตามกำลังบุญได้ แต่ถ้าบุญยังไม่มากพอ ในช่วง ๕๐-๑๐๐ วัน เป็นช่วงที่เข้าไปสู่การพิพากษาผลบุญและบาป

          ถ้าทำบุญใหญ่อุทิศไปให้ ขณะที่กายละเอียดนั่งอยู่หน้าบัลลังก์รอการพิจารณาจากพญายมราช บุญจะไปปรากฏที่จอหน้าบัลลังก์ บุญจะได้ช่องส่งผลก่อน ช่วยเอากายละเอียดมาเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้นตามกำลังบุญ

           กรณีที่กล่าวมาข้างต้น เฉพาะสำหรับกายละเอียดที่ไปยมโลกเท่านั้น แต่ถ้าผู้ตายไปเทวโลกแล้ว จะรับบุญได้ทันที ทั้งในช่วง ๗, ๕๐, ๑๐๐ วัน

           ถ้าผู้ตายปลูกฝังลูกหลานให้มีศรัทธา ตายแล้วก็ยังได้รับบุญเพิ่ม แต่ถ้าไม่ได้ปลูกฝังลูกหลานให้มีศรัทธา ก็คงต้องร้องเพลง “ยังคอย ยังคอย ยังคอยเธออยู่ ทุกลมหายใจ...” ให้พญายมราชฟัง

 

รอรับบุญที่อุทิศไปให้ง่ายสำหรับผู้รู้

650218_p04.jpg

          การทำบุญอุทิศส่วนกุศลเป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงเห็นชีวิตในปรโลก (โลกหน้า) ว่ามีความสุขอยู่ได้ด้วยบุญ ๒ ประการ คือ

๑. บุญที่ทำเอาไว้เมื่อตอนเป็นมนุษย์

๒. บุญที่หมู่ญาติมิตรอุทิศไปให้

          บุญที่ทำตอนเป็นมนุษย์ทำได้แค่ไหน ละสังขารแล้วก็มีอยู่แค่นั้น ส่วนบุญที่หมู่ญาติมิตรทำแล้วอุทิศไปให้นั้น จะสำเร็จประโยชน์หรือไม่ พระบรมศาสดาได้ตรัสเอาไว้ว่า องค์ประกอบที่ทำให้

           การอุทิศบุญสำเร็จประโยชน์มี ๓ ประการ คือ

๑. ผู้รับอนุโมทนาบุญได้ คือ ละสังขารแล้วไปเกิดเป็นเทวดา หรือปรทัตตูปชีวีเปรต หรือสัตว์นรก ในยมโลก รับบุญได้

๒. มีผู้ทำบุญอุทิศไปให้

๓. ถึงพร้อมด้วยเนื้อนาบุญ

           ดังนั้นข้อจำกัดในการที่ผู้ที่ละสังขารไปแล้วจะรับบุญได้ คือ

๑. ถ้าเกิดนอกบุญเขต ไม่ได้ศึกษาคำสอนในพระพุทธศาสนาก็ไม่มีใครทำบุญไปให้

๒. ผู้รับอยู่ในรูปกายที่รับบุญไม่ได้ เช่น ตายแล้วไปเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรกในอุสสทนรก และในมหานรก

๓. ไม่มีผู้ทำบุญอุทิศไปให้ต่อเนื่อง ปีหนึ่งจะได้รับบุญแค่ ๓ วัน คือ วันสงกรานต์ วันเข้าพรรษา และวันขึ้นปีใหม่ ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่พร้อม

๔. มีความรู้เรื่องการอุทิศบุญ แต่ไม่ได้อยู่ในบุญเขตที่มีพระพุทธศาสนา ไม่มีเนื้อนาบุญให้ทำบุญ

๕. ได้รับบุญที่หมู่ญาติมิตรทำอุทิศมาให้ได้ไม่กี่สิบปี ลูกๆ ก็ตายหมดแล้ว เพราะอายุคนในยุคปัจจุบันเฉลี่ยประมาณ ๗๕ ปี รุ่นหลานเหลนก็ไม่ทำบุญส่งมาให้ เพราะไม่คุ้นเคย ไม่รู้จัก

           เหมือนในขณะนี้ เราไม่รู้จักบุพการีในยุคเมื่อ ๑๐๐ ปีที่แล้ว เราก็ไม่รู้ว่าจะส่งบุญให้กับใคร !! แต่ชีวิตในปรโลกมันยาวนานจนไม่อาจกำหนดเบื้องปลายได้เทียบกับช่วงระยะเวลาที่รับบุญได้ช่างน้อยนิด เปรียบเหมือนเอาความยาวของขนตาไปเทียบกับเส้นรอบโลก

            ดั้งนั้น เราต้องสั่งสมบุญไปให้มากๆ อย่าคิดไปหวังพึ่งลูกหลานอุทิศบุญไปให้ แล้วสอนลูกหลานบริวาร ให้รู้จักการอุทิศบุญ เมื่อละจากโลกไปแล้ว จะได้รับบุญได้ต่อเนื่องถึงแม้เป็นช่วงสั้นๆ ไม่กี่สิบปี จะได้ไม่ต้องพูดว่า “เฮ้อ..เสียดาย ๆ ๆ ๆ จัง !!!”

 

ภูต ผี ปีศาจ ต่างกันอย่างไร

650218_p05.jpg

          คุณครูไม่ใหญ่เคยเล่าถึงความแตกต่างของภูต ผี ปีศาจ ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ถ่ายทอดทาง DMC มีสาระสำคัญพอสรุปได้ดังนี้

          ภูต มีลักษณะคล้ายๆ ผี แต่มีฤทธิ์มากกว่า คือ สามารถแปลงร่างได้ แต่ฝีแปลงร่างไม่ได้ ภูตบางตนแปลงร่างได้มาก บางตนแปลงร่างได้น้อย บางภูตแปลงร่างได้หลายอย่าง บางภูตแปลงร่างได้แค่เป็นหมาดำตัวใหญ่ หรือบางภูตแปลงเป็นงูได้ เป็นต้น

          สาเหตุที่ทำให้ต้องมาเกิดเป็นภูตเกิดจากโลภะ โทสะ โมหะ สมัยเป็นมนุษย์ บางพวกชอบหลอกลวงต้มตุ้นเพื่อนมนุษย์ ตายแล้วไปเกิดเป็นเปรต เพราะความโลภ พ้นจากสภาพเปรตแล้วยังไม่หมดกรรมก็มาเกิดเป็นภูต บางพวกชอบ สนใจศึกษาไสยเวทย์สายดำอยู่เป็นประจำ เมื่อกำลังจะเสียชีวิต ใจมีความผูกพันกับวิชาไสยเวทย์สายดำ บาปที่เคยทำยังไม่ได้ช่องส่งผล จึงทำให้มาเกิดเป็นภูต

          ส่วน ผี มาจากคำว่า ภี ในภาษาบาลี แปลว่า กลัว ผี คือ อดีตมนุษย์ที่เป็นกายละเอียด ในระดับภาคพื้นมนุษย์

          ผีมี ๓ ประเภท คือ

๑. กายละเอียดที่เพิ่งตายใหม่ๆ บุญ และบาปยังไม่ส่งผลวนเวียนอยู่ในโลก ๓, ๕, ๗ วัน เป็นผีชั่วคราว

๒. สัมภเวสี ผีเร่ร่อน ไม่มีบุญมากพอจะไปสวรรค์ ไม่มีบาปมากพอจะตกนรก อดอยากหิวโหย เป็นผีระยะยาว

๓. ภุมมเทวาชั้นล่าง ผีบ้านผีเรือน มีจิตผูกพันกับบุคคล และสถานที่ มีบุญระดับหนึ่งเท่านั้น (ศึกษาเพิ่มเติมในตอน “มารู้จักผีกันไหม !!!)

           ปีศาจ มีหลากหลายประเภท ปีศาจบางพวก สมัยเป็นมนุษย์ มีจิตใจหมกมุ่น จมปลัก อยู่กับความไม่ดีอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ผูกพันกับวิชาไสยเวทย์สายดำมาก ยิ่งไปกว่าพวกภูต อาจจะเปรียบได้ว่า ปีศาจ เปรียบเหมือนอาจารย์สอนไสยเวทย์ ส่วนพวกภูต เปรียบได้กับลูกศิษย์ที่มาเรียนไสยเวทย์ หรือภูตบางพวกก่อนเสียชีวิต มีจิตผูกอาฆาตแค้นคนที่มาทำร้ายเป็นอย่างมาก เป็นต้น

          ไสยเวทย์ เป็นวิชาที่เกี่ยวกับเวทมนต์ คาถา และเลขยันต์ ประกอบกับการใช้อำนาจจิต

           ไสยเวทย์มี ๒ สาย คือ

๑. สายขาว ใช้ไปในทางที่ดี เช่น ช่วยคน รักษาโรค ป้องกันภัย เป็นต้น

๒. สายดำ ใช้ไปในทางที่ไม่ดี ทำร้ายคน เช่น เสกตะปู หนังควายเข้าท้อง ทำยาสั่ง เป็นต้น

          ทั้งภูต ผี ปีศาจนั้น ทำบาปไม่มากพอจะลงนรก และมีบุญไม่เพียงพอจะขึ้นสวรรค์ ดังนั้น

๑. ถ้าตายด้วยจิตที่มีโลภะนำหน้า จะไปเกิดเป็นภูต

๒. ถ้าตายด้วยจิตที่มีโทสะนำหน้า จะไปเกิดเป็นปีศาจ

๓. ถ้าตายด้วยจิตที่มีโมหะนำหน้า จะไปเกิดเป็นผี

           ติดตามภูต และปีศาจได้ในตอนต่อไป...

 

ภูต

650218_p06.jpg

           ความเดิมต่อจากตอนที่แล้ว กระสือก็เป็นภูตชนิดหนึ่ง อดีตตอนเป็นมนุษย์ หากินในทางไม่ชอบ เช่น นำของปลอมมาหลอกขายว่าเป็นของจริง ตายแล้วไปเกิดเป็นเปรตก่อน พ้นจากความเป็นเปรตแล้ว ยังไม่หมดกรรม ก็มาเกิดมาเป็นภูต

             ยังมีภูตบางประเภท ชอบใช้วิชาไสยเวทย์สายดำ หรือวิชาอาคมเบียดเบียนและทำร้ายมนุษย์ ภูตจะเป็นกายละเอียด มีลักษณะภายนอกน่ากลัว แต่ไม่ถึงกับน่าเกลียด ยกตัวอย่างเช่น บางตนมีรูปกายซูบผอม และมีผิวหนังเหี่ยวแห้งชำเลือดช้ำหนอง บางตนก็มีนิ้วยาวกว่าปกติ หรือบางตนมีร่างกายใหญ่โตผิดมนุษย์ แต่ไม่สูงใหญ่เท่ากับเปรต เป็นต้น

           ภูตประเภทนี้ จะมีฤทธิ์ประจำตัวเป็นปกติ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการฝึกฝนเพิ่มเติม มี ๓ อย่างหลักๆ คือ

๑. ฝึกฝนเพิ่มเติมด้วยตัวเอง

๒. ฝึกฝนเพิ่มด้วยการไปเรียนกับอาจารย์ไสยเวทย์ที่มีวิชาอาคมแก่กล้ากว่า

๓. ฝึกฝนเพิ่มเติม โดยมีอาจารย์ไสยเวทย์ที่มีวิชาอาคมแก่กล้ากว่า คอยส่งฤทธิ์ และวิชามาให้ภูติพวกนี้ ยิ่งมีอายุยืนมากเท่าไหร่ฤทธิ์ก็ยิ่งแก่กล้าเพิ่มขึ้นตามอายุ

           สาเหตุที่มาเกิดเป็นภูต เพราะในอดีตตอนเป็นมนุษย์ ชอบใช้วิชาไสยเวทย์สายดำ หรือวิชาอาคมเบียดเบียน ทำร้ายมนุษย์ ชอบศึกษาวิชาไสยเวทย์อยู่เป็นประจำ ตอนเสียชีวิต มีจิตผูกพันกับวิชาไสยเวทย์สายดำเป็นอย่างมาก และบาปยังไม่ได้ช่องส่งผล จึงทำให้มาเกิดเป็นภูต

            สถานที่ที่ไปเกิด ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายประการ เช่น บางพวก มีใจผูกพันกับสถานที่ใดเป็นพิเศษ ก็จะเฝ้าดูแลพื้นที่นั้น ถ้าใครเข้ามาในพื้นที่ ภูตก็จะใช้วิชาอาคมที่เคยร่ำเรียนมา แปลงร่างเป็นเสือ หมาดำ หรืองู เป็นต้น เพื่อมุ่งหมายทำร้ายคนที่บุกรุกเข้าในพื้นที่นั้น แต่จะทำร้ายได้เฉพาะผู้ที่เคยมีวิบากกรรมร่วมกันมาเท่านั้น

          บางพวกถ้ายังมีความอาฆาต หรือจองเวรกับใครอยู่ เช่น คนที่มาทำร้าย หรือฆ่า ภูตพวกนี้ก็จะคอยตามไปหลอกหลอน หรือทำร้ายคนเหล่านั้น

           บางพวก ในสมัยยังมีชีวิต เป็นคนมักโกรธ หวงทรัพย์ และชอบศึกษาวิชาไสยเวทย์สายดำ ไปทำร้ายคน หรือไปทำลายทรัพย์สมบัติของคนอื่น เมื่อตายไปแล้ว ก็จะเป็นภูตคอยไปเฝ้าทรัพย์ของตัวเองตลอดเวลา

           สรุปว่า ถ้าสมัยเป็นมนุษย์ ชอบศึกษาไสยเวทย์สายดำเอาไว้ทำร้าย หรือเบียดเบียนคนอื่น ตายแล้วมาเกิดเป็นภูต บางพวก หวงแผ่นดินก็ไปเฝ้ารักษที่ดิน บางพวกผูกอาฆาตก็ไปตามจองเวร บางพวกหวงทรัพย์สมบัติก็ไปเฝ้าสมบัติ

           ส่วนปีศาจแตกต่างจากภูตอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป

 

คุณรู้จัก “กระสือ” แค่ไหน ?

650218_p07.jpg

           เรื่องกระสือนี้ คุณครูไม่ใหญ่ได้เล่าไว้ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ถ่ายทอดทาง DMC มีสาระสำคัญว่า...

           กระสือ คือ ภูตชนิดหนึ่ง มีชีวิตโดยสิ่งอยู่ในมนุษย์ เหมือนกาฝากที่ติดตามต้นไม้ ยิ่งอยู่นานไปก็ยึดติดทั้งร่างกายและจิตใจ ภูตพวกนี้ ชอบที่มืด ไม่ชอบแสงสว่าง ไม่ได้มีแต่หัวและไส้ลอยไปลอยมาตามที่เข้าใจ จะถอดจิตเจ้าของร่างออก ขณะเจ้าของร่างนอนหลับ โดยภูติจะหุ้มดวงจิตนั้นไว้ ซึ่งมนุษย์จะเห็นเป็นดวงไฟลอยไปลอยมา เพื่อหาอาหาร มองไม่เห็นตัวภูต

          วิบากกรรมที่ทำให้มาเป็นภูต คือเมื่อตอนเป็นมนุษย์ หากินในทางที่มิชอบ เช่น นำของปลอมมาหลอกขายเป็นของจริง ไม่ว่าหญิงหรือชายก็ตาม ตายแล้วไปเกิดเป็นเปรตก่อน หิวโหยมาก ชอบกินของบูดเน่า มูตร คูถ เพราะเคยมีพฤติกรรมสกปรก โลภอยากได้ของผู้อื่นในทางไม่ชอบ พ้นจากสภาพเปรตแล้ว หากยังไม่หมดกรรมจะมาเกิดเป็นภูต กินได้แต่ของสกปรก ของเน่าเหม็น โดยเข้าสิงคนที่มีวิบากกรรม เหมือนที่ตัวเองเคยทำตอนเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ว่าจะสิงใครก็ได้ วิบากกรรมอย่างเดียวกัน จึงดูดไปหากัน

          กระสือ เวลากินจะต้องแปลงร่างเป็นภูตก่อน มีรูปร่างคล้ายคนผอมๆ ดำๆ ไม่นุ่งผ้า แต่คนเห็นแค่ดวงไฟ ตัวก็จะแปลงร่างพรึบขึ้นมาเลย ลักษณะกึ่งหยาบกิ่งละเอียด แล้วกินของเน่า ของสกปรก ด้วยความเอร็ดอร่อย เพราะวิบากกรรมบังคับ กินเสร็จก็จะมาเช็ดปากกับเสื้อผ้าที่ชาวบ้านตากทิ้งไว้ค้างคืน ผีกระสือมีทั้งชายทั้งหญิง ถ้าวิบากกรรมยังไม่หมดจะสืบทอดจากร่างหนึ่งไปอีกร่างหนึ่ง โดยผู้มารับสืบทอดต้องมีวิบากกรรมเดียวกัน

           ถ้าไม่มีผู้มีกรรมแบบเดียวกันภูตก็ต้องตายไปพร้อมกับร่างที่สิ่งนั้น คล้ายต้นกาฝากที่ตายไปพร้อมกับต้นไม้ที่เกาะอยู่แล้วไปเกิดเป็นอย่างอื่นตามวิบากกรรมต่อไป

 

มารู้จัก “ผี” กันไหม

650218_p09.jpg

           พวกที่ตายแบบใจไม่ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง ตายแล้วก็มักจะวนเวียนอยู่ในโลก ซึ่งเราเรียกว่า “ผี”

           ความรู้เรื่องผีๆ นี้ ได้มาจากคุณครูไม่ใหญ่ ที่เล่าให้ฟังใน รร.อนุบาลฝันในฝันวิทยา ถ่ายทอดทาง DMC

           ผีมาจากคำว่า “ดี” ในภาษาบาลี แปลว่ากลัว ผีมี ๓ ประเภท คือ

๑. พวกกายละเอียดของคนที่เพิ่งตายใหม่ ๆ วนเวียนอยู่ในโลก ๓, ๕, ๗ วัน อยู่ในช่วงรอผลของบุญ และบาปตามมาส่งผล เป็นผีชั่วคราว

๒. พวกสัมภเวสี หรือผีเร่ร่อน พวกนี้ตายมานานแล้ว ไม่มีบุญมากพอจะไปเกิดเป็นเทวดา และไม่บาปมากพอจะไปตกนรก เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เป็นจำพวกวัดไม่เข้า เหล้าไม่กิน บุญไม่ทำ บาปกรรมไม่สร้าง มีความคิดว่า ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็ดีแล้ว จึงวนเวียนอยู่ในโลก ไม่ไปผุด ไม่ไปเกิดซักที อดอยาก หิวโหย แสวงหาอาหารที่มนุษย์เซ่นไหว้ผี พวกนี้เป็นผีระยะยาว

๓. พวกภุมมเทวา เทวดาระดับล่าง หรือที่คนรุ่นก่อนเรียกว่า ผีบ้านผีเรือน เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญไม่ถูกเนื้อนาบุญ หรือนานๆ จะทำบุญสักครั้ง ตายแล้วมีจิตผูกพันกับบุคคล หรือสถานที่มีวิมานซ้อนอยู่กับสิ่งปลูกสร้าง มีบุญระดับหนึ่ง มีความสุขสบาย เพราะมีวิมาน มีอาหารทิพย์ตามกำลังบุญของตน

            ลองหันดูที่หน้าต่าง ส่องกระจกแล้วดูเงาในกระจกข้างหลัง ถ้าเจอผีก็สอบถามดูว่าเป็น ค...ค...ค...คุณเป็นผีประเภทไหน แต่ชีวิตในปรโลกมันยาวนานจนไม่อาจกำหนดเบื้องปลายได้ ผีทั้ง ๓ ประเภทรับบุญได้ทำบุญแล้วอย่าลืมส่งบุญให้ผีด้วยนะครับ

 

คุณรู้จัก “ผีบ้านผีเรือน” แค่ไหน

650218_p08.jpg

           ถ้าแบ่งเทวดาตามสถานที่อยู่อาศัย มี ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ

๑. เทวดาบนสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น

๒. เทวดาที่อยู่ในโลก

           เทวดาที่อยู่ในโลกมี ๓ กลุ่ม คือ ภุมมเทวา รุกขเทวา และอากาศเทวา ภุมมเทวาชั้นล่าง เราเรียกว่า “ผีบ้านผีเรือน” เรื่องผีบ้านผีเรือนนี้ ได้ความรู้มาจากคุณครูไม่ใหญ่ ที่เล่าในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ถ่ายทอดทาง DMC ท่านเล่าให้ฟังว่า

           ผีบ้านผีเรือนจะมีวิมานซ้อนอยู่ในที่พัก หรือสิ่งก่อสร้างที่มีที่มุงบัง ล้วนเป็นวิมานของผีบ้านผีเรือนได้ทั้งนั้น ผีบ้านผีเรือน หรือภูมมเทวาชั้นล่างจะเกิดแบบโอปปาติกะกับเหมือนชาวสวรรค์ในเทวโลก จะแตกต่างตรงที่ ชาวสวรรค์ในเทวโลกจะอยู่ในวัย ๑๘-๒๐ ปี จนตลอดอายุขัย แต่ภุมมเทวาจะมีวัย ลักษณะรูปร่างใกล้เคียงกับตอนที่ละสังขาร วัยจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คล้ายมนุษย์ถ้าได้รับบุญที่อุทิศมาให้วัยก็จะย้อนกลับมาเป็นหนุ่มสาวอีกครั้ง ของกินของใช้จะไม่ใช้ของมนุษย์ จะเป็นของทิพย์ที่เกิดขึ้นตามกำลังบุญ

           เราศึกษาชีวิตของผีบ้านผีเรือนเพื่อให้ตระหนักว่าตายแล้วไม่สูญ ชีวิตหลังความตายไม่มีการทำมาหากินมีความสุขอยู่ได้ด้วยบุญที่ทำเอาไว้ตอนเป็นมนุษย์ และบุญที่หมู่ญาติอุทิศมาให้

           สั่งสมบุญทุกครั้งอย่าลืมอุทิศบุญให้ผีบ้านผีเรือน มีอันตรายใดๆ ผีบ้านผีเรือนจะได้มาดลจิตใจให้ระมัดระวังตัวล่วงหน้า แล้วอย่าลืมอธิษฐานจิตให้ผีบ้านผีเรือนไปตามลูกค้าให้มาใช้บริการ หรือสนับสนุนธุรกิจของเรา

          ได้ทรัพย์แล้วจะเอามาทำบุญ แล้วส่งบุญไปให้ผีบ้านผีเรือนอีก ทำอย่างนี้ได้ ๒ ประสานงานสำเร็จ

 

ปีศาจ

650218_p10.jpg

           คุณครูไม่ใหญ่เคยเล่าไว้ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาถ่ายทอดทาง DMC เกี่ยวกับเรื่องปีศาจ เอาไว้ว่า ปีศาจมีหลากหลายประเภท มีตัวอย่างมาให้ศึกษาพอสังเขป ดังนี้

           ปีศาจตัวอย่างที่ ๑ รูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว มีอวัยวะผิดปกติไปจากโครงสร้างของร่างกายมนุษย์ เช่น หัวไปทางหนึ่ง ตาไปทางหนึ่ง เป็นต้น สาเหตุเกิดจากสมัยเมื่อเป็นมนุษย์ มีใจหมกมุ่นอยู่กับวิชาไสยเวทย์สายดำแบบมากๆๆ ยิ่งไปกว่าพวกภูติ อาจจะเปรียบได้ว่า ปีศาจเปรียบเหมือนอาจารย์ที่สอนวิชาไสยเวทย์ ส่วนพวกภูติเสมือนลูกศิษย์ที่เรียนไสยเวทย์ หรือก่อนตาย มีจิตผูกโกรธอาฆาตแค้นกับคนที่มาฆ่าตนเป็นอย่างมาก เป็นต้น

           ปีศาจตัวอย่างที่ ๒ รูปร่างคล้ายทารกที่ยังไม่เกิด ดวงตาขาวหม่นหมอง เบิกโพลง จมูกเป็นช่องๆ แต่ยังไม่ยื่นออกมา ปากกว้างแต่ถูกเย็บด้วยเชือก สมัยเป็นมนุษย์เป็นจอมขมังเวทย์ เชี่ยวชาญในการทำกุมารทอง โดยเอาร่างของทารกที่เพิ่งตาย มาทำพิธีสะกดวิญญาณไม่ให้ไปเกิด พอละจากโลกวิชาไสยเวทย์สะกดวิญญาณได้ย้อนกลับมาเข้าตัวเอง ทำให้ต้องมาเกิดเป็นปีศาจรูปร่างคล้ายทารกที่ยังไม่เกิด ตามลำตัวมีแต่รอยสักลายพร้อย เพราะผลแห่งกรรมที่สักยันต์ และลงอาคมให้กับลูกศิษย์

           ปีศาจตัวอย่างที่ ๓ ผมหยิก ตาปูดโปน ดุร้าย น่าเกลียดน่ากลัว มีแววตาอาฆาตแค้นตลอดเวลา สมัยเป็นมนุษย์เป็นปรมาจารย์ไสยเวทย์สายดำ ชอบเบียดเบียนมนุษย์เป็นอย่างมาก ชอบอยู่ในป่าและถ้ำ ตายแล้วมาเกิดเป็นปีศาจตาปูดโปน ดุร้าย ชอบอาศัยอยู่ในป่า และในถ้ำ

            ปีศาจตัวอย่างที่ ๔ ปีศาจที่มีผมหยิกฟู เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล มีกลิ่นกายเหม็นเน่าคละคลุ้ง หน้าตาเละเทะ น่าเกลียดน่ากลัว ก่อนตายถูกทารุณกรรม จึงผูกอาฆาต พยาบาท ด้วยจิตที่โกรธแค้น จึงมาเกิดเป็นปีศาจที่มีผมฟู เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ช่วงที่เสียชีวิต บาปยังไม่ได้ช่องที่จะส่งผล

           สรุปว่า ปีศาจมีความหลากหลาย สมัยเป็นมนุษย์เป็นปรมาจารย์ไสยเวทย์สายดำ ใช้ไสยเวทย์เบียดเบียนมนุษย์ และก่อนตายถูกทารุณกรรม ด้วยจิตที่ผูกอาฆาตอย่างสุดๆ จึงมาเกิดเป็นปีศาจ

 

ถ้าใครมักโกรธก็ต้องเกิดเป็นยักษ์

650218_p11.jpg

          โกรธ แปลว่า เดือดดาลใจ เป็นกิเลสในตระกูลโทสะ อาการของความโกรธที่นิยมแสดงออกมี ๓ อย่าง คือ ด่า ทำลาย ทำร้าย

           ขั้นตอนการเกิดโทสะ เริ่มจาก ความไม่ชอบใจ ขุ่นเคืองใจ เดือดดาลใจ คิดประทุษร้าย เลยไปถึงผูกโกรธ ผูกพยาบาท อาฆาต จองเวร

           พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแบ่งคนโกรธ ตามระยะเวลาในการเก็บความโกรธไว้ ๓ ประเภท คือ เหมือน

๑. รอยขีดในหิน โกรธแล้วลืมยาก เก็บไว้นาน

๒. รอยขีดในดิน เก็บความโกรธอยู่ในใจระยะหนึ่ง ก็คลายตัว

๓. รอยขีดในน้ำ ไม่เก็บความโกรธเอาไว้เลย

           ความโกรธเป็นจริตประเภทหนึ่ง เรียกว่า โทสจริต ติดตัวข้ามชาติไปได้ ใครอยู่ใกล้คนมักโกรธจะซาบซึ้งใจดี คนมักโกรธเหมือนมีแผลสดอยู่เต็มตัว ถูกอะไรสะกิดนิดหน่อยก็เจ็บไปหมด เรียกว่า “จอมโวย” หรือเหมือนน้ำร้อนที่เปิดแก๊สเลี้ยงเอาไว้ ไม่ให้เดือด แค่กรุ่นๆ แต่ถ้าเปิดไฟครู่เดียวก็เดือดทันที ความโกรธมีโทษมากมาย ทำให้เกิดโรคข้ามชาติ เช่น โรคไทรอยด์ โรคถุงน้ำดี เกิดจากวิบากกรรมของนิสัยมักโกรธ คนมักโกรธจะมีผิวพรรณหยาบกระด้างเหมือนสก๊อตไบร์ท ถ้าบันดาลโทสะ แล้วไปด่า ทำลาย หรือทำร้ายก็จะมีวิบากกรรมทำให้อายุสั้น โรคมาก ปากมีกลิ่นเข้าไปอีก

            จะแก้นิสัยมักโกรธต้องนั่งสมาธิ แผ่เมตตาบ่อยๆ เป็นประจำทุกวัน แล้วอาการโกรธก็จะทุเลาลง แต่ถ้ายังรัก ยังหวงแหนความโกรธ ก็ท่องเอาไว้

           ถ้าใครมักโกรธก็ต้องเกิดเป็นยักษ์ !!! ฝากแชร์ให้ว่าที่ยักษ์ด้วย

 

จากหนังสือ ราตรีสว่าง

พระครูวิบูลนิติธรรม (ไพบูลย์ ธัมมวิปุโล)

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.054772484302521 Mins