การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เเละดับไป ของจักรวาล

วันที่ 19 สค. พ.ศ.2565

19-8-65-4-b.jpg

บทที่ ๓
การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของจักรวาล
 

         ๑. ในอากาศที่ว่างเปล่านั้น เมื่อเวลาล่วงไปนานนับประมาณไม่ได้ มีการ เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น คือมีเม็ดฝนตกลงมา (เรื่องเช่นนี้ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะน้ำเกิดจากการรวมตัวของก๊าซไฮโดรเจนและก๊าซออกซิเจน ใน ความว่างเปล่าที่มีอยู่ อาจมีก๊าซทั้งสองเป็นจำนวนมาก เวลาผ่านไปนานเข้าทำปฏิกิริยา กันเกิดรวมตัวเป็นหยดน้ำพร้อมกันขึ้นมา จึงกลายเป็นฝนตก)


          แรกๆ เม็ดฝนมีขนาดเล็กมาก แล้วค่อยโตขึ้นๆ จนสายฝนโตเท่าลำต้นตาล (ฝน ตกท่าให้อากาศเย็น ก๊าซทั้งสองชนิดรวมตัวกันได้มากยิ่งขึ้น) น้ำฝนที่เกิดขึ้นไม่รั่วทิ้งหาย ไปไหน เพราะมีลมแรงพัดรองรับไว้ เป็นเวลานานเข้าลมนั้นก็พัดแทรกน้ำขึ้นมาทำให้น้ำ งวดเข้า งวดจากข้างบนลงมาต่ำตามลำดับ (น้ำฝนคงละลายธาตุต่างๆ ในอากาศรวมไว้  

            งวดถึงพรหมโลก พรหมโลกก็บังเกิดขึ้น เป็นการรวมตัวของธาตุละเอียด มอง ด้วยตามนุษย์ไม่เห็น  

           งวดถึงเทวโลกชั้น ๖ - ๕ - ๔ - ๓ เทวโลกทั้ง ๔ ชั้น ก็ตั้งขึ้นเป็นธาตุละเอียด เช่นเดียวกัน  

           ๒. นํ้าฝนงวดต่อเรื่อยลงมาจนถึงระดับที่พื้นดินจะเกิด จึงเกิดลมพัดให้น้ำนิ่งอยู่ กับที่ไม่ไหลแห้งต่อไป ต่อจากนั้นน้ำก็จับเป็นตะกอนลอยอยู่เหนือน้ำ มีสีเหลืองเหมือน ใบบัวลอยอยู่ทั่ว มีกลิ่นหอมมีรสหวาน ตอนนี้เป็นการรวมตัวของธาตุหยาบ สายตาของ มนุษย์มองเห็น  

            ตะกอนแผ่นดินที่เกิดขึ้นก่อนเป็นครั้งแรก เรียกกันว่า ศีรษะแผ่นดิน (ง้วนดิน) เป็นประธานของโลกมนุษย์ชมพูทวีป ต่อจากนั้นที่นั่นจะมีกอบัวบังเกิดขึ้นเป็นบุพนิมิต ถ้ากอบัวนั้น มีแต่ใบไม่มีดอก หมายความว่า จักรวาลที่เกิดขึ้นใหม่นี้ ไม่มีพระสัมมาสัม พุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ถ้ากอบัวมีดอก จํานวนดอกหมายถึงจำนวนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะ อุบัติขึ้น ก่อนที่จักรวาลจะถูกทําลายหายสูญไปอีกครั้งหนึ่ง

            อย่างไรก็ดี กอบัวดังกล่าวนี้จะมีดอกไม่เกิน ๕ ดอก ผู้แลเห็นดอกบัวมีแต่ มหาพรหมผู้เป็นใหญ่ ถ้ากอบัวไม่มีดอก ท้าวมหาพรหมก็สังเวชสลดใจ ที่เห็นเหล่ามนุษย์ ไม่มีที่พึ่ง ถ้าเห็นมีดอกบัวหลายดอก ก็พากันรื่นเริงบันเทิงใจ  

             ๓. เมื่อมีแผ่นดินเกิดขึ้นแล้ว พรหมในชั้นอาภัสสราชั้นที่ ๔ สิ้นบุญบ้าง สิ้นอายุ บ้างก็จุติลงมาเป็นตัวโตเต็มที่เกิดขึ้นเอง (โอปปาติกะ) ไม่มีบิดามารดา มีรูปร่างอย่างพรหม ไม่มีเพศ ร่างกายมีแสงรุ่งเรือง มีรัศมีสว่างไสว เหาะไปมาในอากาศ มีปีติ ความอิ่มใจ) เป็นอาหาร ไม่ต้องกินสิ่งอื่น สัตว์เหล่านี้มีชีวิตอยู่ช้านาน จนกระทั่งมีอยู่คนหนึ่งมีกิเลส คือโลภะเกิดขึ้น เห็นแผ่นดินมีสีสันงดงาม ง้วนดิน) มีกลิ่นหอมน่ากิน จึงหยิบใส่ปากลิ้มรส แค่วางที่ปลายลิ้น รสดินนั้นก็แผ่ซาบซ่านไปทั่วร่างกาย มีรสอร่อยเป็นที่ชอบใจยิ่งนัก อดใจไว้ไม่ได้ก็บริโภคอยู่เรื่อยไป คนอื่นๆ เห็นเข้าต่างก็พากันเอาอย่าง เมื่อบริโภค อาหารหยาบ รัศมีกายซึ่งเคยให้ความสว่างก็อันตรธาน มีแต่ความมืดปกคลุมไปทั่ว เหล่ามนุษย์ทั้งสิ้นตกใจกลัวเป็นกำลัง  

             ๔. ในเวลานั้นเอง สุริยเทพบุตรพร้อมด้วยที่อยู่คือดวงอาทิตย์ก็บังเกิดขึ้นให้ ความสว่างทันที ถ้าคิดในทางความเป็นไปได้ บุญของมนุษย์ยุคนั้นคงพอมีเหลืออยู่ เมื่อ ประสบทุกข์จากความมืด ดวงดาวที่ยังร้อนเป็นไฟ คือดวงอาทิตย์จึงบังเอิญโคจรผ่านมา ให้ความสว่างแทนรัศมีกาย  

              ดวงอาทิตย์ไม่ได้ส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา เมื่อโคจรผ่านไปแล้ว ดวงจันทร์จึงเกิด ขึ้น ครั้นแล้วจึงปรากฏมีดวงดาวต่างๆ มีเวลา มีกลางวัน กลางคืน มีฤดูกาล มีเขาพระสุเมรุ เขาจักรวาล เขาหิมพานต์ ท้องมหาสมุทร ดวงดาวต่างๆ และตัวเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็น ที่อยู่ของเทวดาชั้นที่ ๑ จาตุมหาราชิกา ส่วนหน้าตัดของเขาเป็นที่อยู่ของเทวดาชั้นที่ ๒ ดาวดึงส์  

               เรื่องการเกิดของดวงดาวต่างๆ ภูเขาและทะเล อะไรต่างๆ เหล่านี้ เป็นของที่เกิดขึ้น เอง เพราะเมื่อน้ำงวดแห้งเข้า ธาตุน้ำหมดลง ธาตุดินก็แข็งขึ้น ธาตุดินตรงที่ใดสูงขึ้น ถูกเรียกว่า ภูเขา ส่วนที่น้ำตรงไหนไม่แห้งก็กลายเป็นท้องทะเล มหาสมุทร น้ำตรงที่ใด หลุดออกไปเป็นก้อนต่างหาก เมื่อเหือดแห้งไปเหลือแต่ธาตุของแข็ง จึงกลายเป็นดวงดาว ต่างๆ


              การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นในทันที ใช้เวลานานมาก จนไม่มีคำพูดจะ นับจึงเรียกกันว่า “อสงไขยกัป


               ๕. เมื่อเหล่ามนุษย์มีตัณหาในรสครอบงำ ทำให้กินแผ่นดินที่เพิ่งเกิดใหม่อยู่นั้น ร่างกายซึ่งเคยโปร่งใสสวยงามก็เปลี่ยนแปลงไป บางพวกมีผิวพรรณเศร้าหมองมาก พวกที่ผ่องใสกว่าก็ดูหมิ่น ดูแคลน บาปธรรม ๒ ประการ จึงเกิดขึ้นในจิตใจ คือ สักกายทิฏฐิ ความยึดมั่นในตัวตน) และมานะ ความถือตัว) ร่างกายมีน้ำหนัก เหาะไม่ได้อีกต่อไป

 

              เมื่อบาปธรรมทั้งสองเกิดขึ้น โลกก็แปรปรวน แผ่นดินที่เป็นอาหารรสหวานอร่อย ก็หายสูญไปหมด กลับแห้งกลายเป็นสะเก็ดดิน แต่ยังมีรสอร่อย มีกลิ่นหอม เป็นอาหาร ของมนุษย์ได้อยู่  

              ต่อมาจิตใจของมนุษย์ถูกกิเลสครอบงำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  

              สะเก็ดดินหายไป กลายเป็นเครือดิน  

               เครือดินหาย กลายเป็นข้าวสาลี  

               ข้าวสาลีทีแรกงอกขึ้นเอง เป็นข้าวขาว ไม่มีเปลือก ไม่มีว่า ไม่ลีบ มีกลิ่นหอม เป็นรวงหุงได้ทันที พอเก็บมาหุงตอนเช้า ตอนเย็นก็เกิดรวงขึ้นมาให้เก็บได้ใหม่ เวลาหุง ไม่ยุ่งยาก รูดข้าวจากรวงใส่ภาชนะแล้ววางไว้บนแผ่นหินชนิดหนึ่ง ข้าวก็เดือดสุกได้เอง (คงจะเป็นก้อนหินที่มีความร้อนจากใต้ผิวโลก) ข้าวในยุคนั้นเป็นข้าวที่มีรสชาติตามใจ ผู้บริโภค ไม่ต้องใช้กับแกล้ม มีคุณค่าทางอาหารครบ  

               ในเวลาที่หมู่มนุษย์บริโภคข้าวซึ่งเป็นอาหารหยาบ ทำให้มีกากอาหาร ร่างกาย ต้องขับถ่ายทิ้ง จึงมีทวารหนักทวารเบาเกิดขึ้น อวัยวะเพศก็เกิดตามขึ้นมา


             ๖. เมื่อมีอวัยวะเพศเกิดขึ้น จิตที่เคยมีคุณภาพข่มกามราคะได้ก็เสื่อมลง กามคุณ เกิดขึ้นในสันดาน ทําให้สนใจเพศตรงข้าม และเสพเมถุนธรรม  

              เมื่อสมสู่กันทางเพศ อันเป็นอสัทธรรม ก็ต้องทำอย่างปกปิด ต้องสร้างบ้านเรือน ปิดบัง  

              เมื่อมีบ้านเรือน ก็คิดเกียจคร้าน กระทําการสะสมข้าวสาร ไม่ต้องไปเก็บบ่อยๆ  

              เมื่อมีความโลภสะสม ข้าวสาลีก็เสื่อมคุณภาพ มีเปลือกมีรำเกิดขึ้น ข้าวที่เก็บ ไปแล้วไม่งอกขึ้นใหม่  

              เมื่อข้าวไม่งอก จึงต้องมีการปันเขตกันขึ้น


               ๗. แบ่งเขตข้าวสาลี ทำให้เกิดการมีเจ้าของ ผู้ที่อยากได้ข้าวสาลีของผู้อื่นก็ ทำการลักขโมย เจ้าของจับได้ จึงเกิดการตัดพ้อต่อว่า เมื่อยังไม่เลิกทำ ต่อมาก็มีการ กลุ้มรุมทุบ  

               ๘. การลักขโมย ทําให้เกิดการทำร้ายร่างกาย การครหาติเตียน การพูดมุสา การถูกปรับ การลงอาญา หมู่มนุษย์มีความทุกข์เดือดร้อนคับแค้นใจเกิดขึ้น จึงพากันตั้ง หัวหน้า เพื่อให้ปกครองพวกตน


              ผู้ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าปกครองผู้อื่น ต้องเป็นผู้มีสติปัญญา รูปร่าง บุคลิกท่วงทีกิริยาสง่าน่าเกรงขาม สามารถว่ากล่าวปกครองคนทั้งปวงได้ ซึ่งได้แก่

พระโพธิสัตว์ ผู้มีคุณสมบัติดังกล่าวจะดำรงตำแหน่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินผู้ปกครองประเทศ ต่อจากนั้นพระราชาก็ทรงวางระเบียบแบบแผน และกฎข้อบังคับในทางที่เป็นธรรม เพื่อ ให้ประชาชนทั้งหลายปฏิบัติ


               ในสมัยต้นกัป ประชาชนได้พากันประชุมเลือกพระโพธิสัตว์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ปกครองประเทศ แล้วถวายพระนามว่า พระเจ้ามหาสมมุติ ซึ่งแต่เดิมท่านชื่อว่า “มนุ” เมื่อ พระองค์ได้ทรงปกครองประเทศแล้ว ก็ทรงจัดวางระเบียบแบบแผน และกฎข้อบังคับ ให้ เป็นธรรม เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตาม ประชาชนจึงทำตัวให้อยู่ในโอวาทของท่าน ดุจ ลูกชายหญิงอยู่ในโอวาทของพ่อแม่ดังนั้นประชาชนตั้งแต่บัดนั้นจนถึงปัจจุบันนี้จึงได้นามว่า “มนุษย์” แปลว่า ลูกหลานหรือเหล่ากอของพระมนุ


             ระยะต้นกัป มนุษย์มีอายุยืนยาวมาก ราวอสงไขยปี คือมีเลขหนึ่งอยู่นำหน้า เลขศูนย์ตามหลัง ๑๔๐ ตัว แต่เมื่อมนุษย์เกิดกิเลสเพิ่มมากขึ้น อายุของมนุษย์ก็ลดลงเรื่อยๆ  

             สําหรับโลกมนุษย์ที่ชื่อ อุตตรกุรุทวีป อายุมนุษย์ลดลงถึง ๑,๐๐๐ ปี แล้วไม่ลด ต่อไปอีก ปุพพวิเทหทวีป ลดลงถึง ๗๐๐ ปี อปรโคยานทวีป ลดลงถึง ๕๐๐ ปี  

             ส่วนชมพูทวีป จะลดเรื่อยไปจนถึง ๑๐ ปี  

             ในระหว่างที่โลกมนุษย์เปลี่ยนแปลง และอายุขัยของมนุษย์ลดลงอยู่เรื่อยๆ นั้น บางช่วงเวลาเฉพาะในชมพูทวีป มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นเพื่อสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ปฏิบัติตามคำสอน บรรลุมรรคผลนิพพาน เลิกเวียนว่ายตายเกิดในภพสามเป็นครั้งคราว จักรวาลเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ก่อนแตกทำลายอาจมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ตั้งแต่ ๑- ๒-๓ ๔-๕ พระองค์ ไม่เกินนั้น (ครั้งละ ๑ พระองค์ ไม่ใช่พร้อมกัน)


              แต่จักรวาลที่เกิดขึ้นบางแห่งในชมพูทวีปของที่นั่น ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดขึ้นเลย กระทั่งจักรวาลแตกสลาย อย่างนี้เรียกว่า “สุญญกัป  

              พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เฉพาะในชมพูทวีปของทุกจักรวาล เพราะในทวีป ที่เหลืออื่นๆ อีกสามทวีป ประชาชนของที่นั่นไม่มีใครผิดศีลห้า ความทุกข์ยากต่างๆ มีน้อยมาก การสอนให้เห็นความทุกข์ทำได้ยาก


              ส่วนในชมพูทวีป มนุษย์มีทั้งดีทั้งชั่วปะปนกัน มีตัวอย่างความทุกข์ยากต่างๆ มากมาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงอุบัติขึ้นในโลกนี้


              เวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแต่ละพระองค์ อายุขัยของมนุษย์ในเวลา นั้นไม่แน่นอน บางพระองค์ตรัสรู้ในยุค (หรือช่วง) ที่มนุษย์มีอายุขัยหลายหมื่นปี บาง พระองค์เป็นแค่พันปีร้อยปี แต่จะไม่มีพระองค์ใดตรัสรู้ในยุคที่หมู่มนุษย์มีอายุเกินแสนปี และต่ากว่าร้อยปี

               เพราะมนุษย์มีอายุขัยเกินแสนปี เวลานั้นมนุษย์มีความทุกข์น้อย การสั่งสอนไม่ ได้ผล ส่วนเวลาที่มีอายุต่ำกว่าร้อยปี ก็เป็นเวลาที่มนุษย์มีกิเลสหนาแน่นในสันดาน สั่งสอนให้เชื่อฟังยากนัก


              เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และประกาศพระศาสนา วางรากฐานไว้เรียบร้อย แล้ว จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธศาสนาก็ตั้งอยู่ระยะหนึ่ง แล้วค่อยๆ เสื่อมสูญ อันตรธาน เมื่อคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันตรธานลง หมู่มนุษย์ก็สิ้นคุณธรรม ประพฤติแต่อสัทธรรม อันเป็นบาปอกุศล อายุของมนุษย์จะลดลงตลอดเวลา โดยอัตรา หนึ่งร้อยปี อายุขัยของมนุษย์ลดลง ๑ ปี  

              เมื่อเหล่ามนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปี อาหารที่ดีที่สุดสมัยนั้นคือข้าวนกในสมัยนี้ พวก เด็กหญิงอายุเพียง ๕ ขวบ จะมีสามี มีลูกได้แล้ว ในสันดานของผู้คนมีแต่บาปอกุศลกรรม ๑๐ ปราศจากความละอายในบาป ไม่เกรงกลัวบาป มีความเป็นอยู่เหมือนสัตว์ดิรัจฉาน ทั้งหลาย คำพูดที่ดีๆ คำที่เกี่ยวกับความดีงาม คุณธรรม บุญกุศล สูญหายไปหมด ไม่มี ผู้ใดจำได้หรือรู้จัก


             แต่ละชีวิตไม่ยึดถือความสัมพันธ์ใดๆ ไม่รู้จักแม้ความเป็น พ่อ แม่ ลูก ญาติพี่น้อง ชอบใจก็ประพฤติผิดกาเมสุมิจฉาจาร สมสู่กันได้ไม่เลือก ไม่ชอบใจก็เบียดเบียนเฆี่ยนตี ฆ่าแกงกันโดยทั่วไป มีความอาฆาตพยาบาทแรงกล้า จิตใจเต็มเปี่ยมด้วย ราคะ (โลภะ) โทสะ โมหะ  

              มหาภัยต่างๆ ก็บังเกิดขึ้น เช่น ความอดอยากไม่มีอาหาร การรบราฆ่าฟัน และ โรคภัยร้ายแรงต่างๆ โดยเฉพาะเมื่อต้องแย่งอาหารกันกิน โทสะ จะเกิดขึ้นมากที่สุด ต้องรบราฆ่าฟันกันเอง ในเวลาอายุมนุษย์มีกำหนด ๑๐ ปี จะมีอยู่คราวหนึ่ง เรียกว่า สัตถันตรกัป เกิดขึ้นอยู่ ๗ วัน คือ


               มนุษย์ทั้งหลายจะเกิดวุ่นวายเป็นโกลาหล โกรธแค้นกันทั่วไป จึงฆ่าฟันกันเป็นการ ใหญ่ ใครจับสิ่งใดขึ้นมาได้ แม้กระทั่งต้นไม้ใบหญ้า ก็จะใช้เป็นอาวุธประหารกันได้หมด จึงพากันล้มตายมากมาย นับจำนวนประมาณไม่ได้ตลอดเวลา ๗ วัน เป็นดังนี้ทั่วชมพูทวีป


              ในจํานวนผู้คนเหล่านี้ จะมีอยู่ส่วนน้อยมาก บางคนมีปัญญา ไม่เข้าร่วมใน สงครามล้างเผ่าพันธุ์ จึงจัดหาสะสมเสบียงพอเลี้ยงตัวได้ราว ๗ วัน หลบหลีกกลุ่มคนไป แอบซ่อนตัวอยู่ตามซอกเขา หุบเขา ในที่ห่างไกล เพื่อรักษาชีวิตให้อยู่รอด


              เมื่อครบ ๗ วัน ผู้คนล้มตายหมดสิ้น เลือดนองแผ่นดิน มีแต่ซากศพเกลื่อนกลาด พวกที่ซ่อนตัวอยู่เห็นเงียบเสียงวิวาทสู้รบกันแล้ว ก็พากันออกมาจากที่ซ่อน พอเห็นหน้ากัน ก็ดีใจสงสารรักใคร่ ซึ่งกันและกันยิ่งนัก ที่ยังรอดตายอยู่เป็นเพื่อน พากันร้องไห้สวมกอดกัน

 

             ต่างคนต่างเห็นโทษของการทำปาณาติบาตฆ่าฟันกันเอง จึงปรึกษากันทำความดี ข้อนี้ คือให้ทุกคนเว้นจากปาณาติบาต


             เมื่อทุกคนเว้นจากการฆ่าฟัน การเบียดเบียน ลูกหลานของพวกเขาก็มีอายุยืน ขึ้นอีกเท่าตัว เป็น ๒๐ ปี ต่อจากนั้นคนรุ่นต่อๆ มา ก็ทำความดีต่างๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยมา ทำให้อายุขัยของมนุษย์เพิ่มขึ้นทีละเท่าตัวตลอด จนถึงอสงไขยปี แล้วเกิดความประมาท ทำชั่วใหม่ อายุก็ลดลงเป็นลำดับจนเหลือ ๑๐ ปีอีก


             ดังเช่นตัวอย่างโลกมนุษย์เราทุกวันนี้ อายุของพวกเราจะลดลงเรื่อยจนไปถึง ๑๐ ปี แล้วสูงขึ้นเรื่อยๆ ใหม่ จนกระทั่งอายุมนุษย์มีกำหนด ๘ หมื่นปี สตรีมีอายุ ๕๐๐ ปี จึง มีครอบครัว เวลานั้นมีความทุกข์เรื่องโรคภัยไข้เจ็บอยู่เพียง ๓ อย่าง คือ ความหิว ความง่วง และความแก่ ผู้คนยังทำความดีเพิ่มขึ้น อายุยิ่งทวีตาม จนกระทั่งอายุอสงไขยปี  

              ในสมัยมนุษย์มีอายุอสงไขยปี มองเห็นความแก่ความตายได้ยาก ความเจ็บไม่มี เลยทำให้เกิดความประมาท ทิฏฐิมานะก็เกิดอีก เวียนเป็นวัฏฏจักรของมนุษย์ใน ยุคต้นกับใหม่ มีกิเลสเกิด อายุมนุษย์ก็เริ่มลดลงกระทั่งเหลือ ๘ หมื่นปี เมื่อนั้น พระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จมาอุบัติขึ้นในโลก อันเป็นพระสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๕ องค์สุดท้ายในภัทรกัปนี้


              เมื่อพระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตั้งพระศาสนาเรียบร้อยและเสด็จ ตับขันธปรินิพพานไป พระพุทธศาสนาจะตั้งอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง แล้วจึงเสื่อมสูญ อายุของ มนุษย์จะลดลงเรื่อยไปและไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาตรัสรู้ที่โลกของเราอีก


               เมื่อขาดหลักธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียแล้ว ผู้คนย่อมมีแต่กิเลสพอกพูน ธรรมชาติในโลกก็แปรปรวนไปต่างๆ กิเลสของมนุษย์ทำลายสิ่งแวดล้อมในโลกให้เลวลง เรื่อยๆ เต็มไปด้วยมลพิษทุกหนทุกแห่ง จนโลกตั้งอยู่ไม่ได้ ต้องพินาศลง


ถ้าหมู่มนุษย์มีกิเลสราคะแรงกล้า จักรวาลถูกทำลายด้วยไฟ ถ้ามีโทสะ ถูกทำลายด้วยน้ำ (น้ำกรด) ถ้ามีโมหะ ถูกทําลายด้วยลม ถ้าจะคิดเป็นอัตราส่วนแล้ว มีเกณฑ์ดังนี้  

            ถูกทำลายด้วยไฟ ๗ ครั้ง ครั้งที่ ๘ จะถูกทำลายด้วยน้ำ เป็นดังนี้จนกระทั่งถูก ทำลายด้วยน้ำ ๗ ครั้ง จึงจะเป็นการถูกทำลายด้วยลมเสียหนึ่งครั้ง  

              รวมแล้วในการที่จักรวาลเกิดขึ้น และแตกทำลายลงถึง ๖๔ ครั้งนั้น จะถูกทำลาย ด้วยไฟ ๕๖ ครั้ง ด้วยน้ำ ๗ ครั้ง และด้วยลม ๑ ครั้ง  

            กําหนดเวลาที่โลกจะถูกทำลาย ให้ดูที่อายุขัยของมนุษย์ คือเมื่ออายุครั้งแรก อสงไขยปีแล้วลดลงเรื่อยๆ เรียกว่าไขลงจนถึง ๑๐ ปี แล้วเพิ่มขึ้นเรียกว่าไขขึ้น จนถึง อสงไขยปีอีกครั้ง ไขลง ไขขึ้น ดังนี้เรียกว่า ๑ อันตรกัป เมื่ออายุของโลกชมพูทวีปครบ ๖๔ อันตรกัป และเวลานั้นอายุขัยของมนุษย์กำหนดหนึ่งพันปี สองอย่างนี้ประจวบ กันเมื่อใด เวลานั้นจะเป็นเวลาโลกพินาศ

19-8-65-4-p.jpg

รายละเอียดเมื่อโลกถูกทําลายด้วยไฟ


            ก่อนโลกถูกทำลายแสนปี จะมีเทวดาประเภทหนึ่งเรียกว่า โลกพยุหเทวดา นุ่งห่มด้วยผ้าสีแดงพากันสัญจรเที่ยวไปในมนุษยโลกประกาศป่าวร้องว่า อีกแสนปีข้างหน้า โลกจะพินาศ รวมทั้งจักรวาลทั้งสิ้น มีแผ่นดิน มหาสมุทร ภูเขาจักรวาล (กั้นเขตแต่ละ จักรวาล) เขาสิเนรุ ตลอดจนเทวภูมิทั้งหมด ไปจนถึงพรหมโลกชั้นปฐมฌานภูมิ ขอให้ เร่งบำเพ็ญคุณงามความดีอย่าประมาท เพื่อให้ไปบังเกิดในสถานที่ๆ พ้นภัย  

             เทวดาผู้มีหน้าที่ป่าวประกาศเหล่านี้ มีกําหนดเวลาร้อยปี ลงมาบอกยังโลกมนุษย์ หนึ่งครั้ง เมื่อเหล่ามนุษย์และเทพยดาได้ยินข่าวก็บังเกิดความสังเวชสลดใจ เห็นอกเห็นใจ งกันและกัน รีบบำเพ็ญบุญกุศลประการต่างๆ โดยเฉพาะบำเพ็ญภาวนาเจริญพรหมวิหาร เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้ได้ฌานสมาบัติ แล้วพากันไปเกิดในพรหมโลกชั้นที่ สูงกว่าที่จะถูกทําลาย  

             แม้แต่สัตว์ในอบายภูมิทั้งปวง เมื่อมีอกุศลเบาบางลง ก็ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ทราบข่าวเรื่องโลกพินาศ ก็รีบบำเพ็ญบุญกุศลดังกล่าวแล้ว พากันไปเกิดในพรหมโลก ท่านองเดียวกัน (ยกเว้นพวกที่มีความเห็นผิดแน่นแฟ้นแก้ไขตนเองไม่ได้ จะต้องอยู่ใน อบายภูมิ พวกนี้จะตายแล้วไปเกิดในอบายภูมิของจักรวาลอื่นที่ยังไม่พินาศ)  

               แต่ตามความเป็นจริงแล้ว คนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิมีความเห็นผิด มักจะเป็นเฉพาะ เวลามีชีวิตเป็นมนุษย์อยู่ เมื่อตายไปอยู่ในนรก ถูกลงโทษทุกข์ทรมาน ย่อมทราบ แจ่มแจ้งถึงความเห็นผิดของตน รู้สำนึก ละทิฏฐิเลวทรามเหล่านั้นได้ เมื่อพ้นโทษได้เกิด เป็นมนุษย์ ทราบข่าวเรื่องโลกพินาศ ก็รีบเร่งบำเพ็ญฌาน เพื่อไปเกิดในพรหมโลก  

               เมื่อโลกเริ่มพินาศ จะไม่มีฝนตกเลยเป็นเวลาช้านาน ต้นไม้น้อยใหญ่พากัน เหี่ยวแห้งล้มตาย ล่วงเวลาต่อมา เมื่อดวงอาทิตย์โคจรลับฟ้าไปแล้ว ควรจะเป็นเวลา

กลางคืน แต่กลับไม่มี เพราะจะบังเกิดดวงอาทิตย์ใหม่ขึ้นมาอีกดวงหนึ่ง ในจักรวาลเวลา นั้นจึงไม่มีกลางคืนอีกต่อไป และดวงอาทิตย์ดวงใหม่นี้ ไม่มีสุริยเทพบุตรอยู่ประจำ เหมือนดวงอาทิตย์ดวงเดิม จึงมีความร้อนรุนแรงกว่า (ในหลักวิทยาศาสตร์ ดวงอาทิตย์ ดวงใหม่อาจเป็นดาวดวงอื่นที่ยังมีความร้อนลุกเป็นไฟอยู่ โคจรเข้ามาในจักรวาลที่กำลัง เริ่มพินาศ) ส่วนเหล่าสุริยเทพบุตรในดวงอาทิตย์ดวงเดิม ก็เร่งรีบทำความเพียร เจริญ ภาวนาให้ได้ฌาน หนีไปบังเกิดในพรหมโลกชั้นสูงกันทั้งหมด  

             เมื่อมีดวงอาทิตย์เป็นสองดวงดังนี้แล้ว ความร้อนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ท้องฟ้าจึง ไม่มีเมฆหมอกใดๆ เหลืออยู่เลย ในชมพูทวีปยังเหลือแม่น้ำใหญ่ที่พอมีน้ำอยู่ ๕ สาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี มหิ และสรภู นอกนั้นเหือดแห้งหมด คนทั้งหลายไม่มีชีวิต เหลืออยู่อีก ต่างไปบังเกิดในพรหมโลกกันหมด  

             ล่วงเวลาต่อมาอีกช้านาน ดวงอาทิตย์ดวงที่ ๓ จึงบังเกิดขึ้น แม่น้ำทั้ง ๕ แห้งหมด  

             เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๔ บังเกิด สระใหญ่บริเวณป่าหิมพานต์ (แถบภูเขาหิมาลัย) ซึ่งมีน้ำละลายจากหิมะขังอยู่แห้งทั้งหมด น้ำในมหาสมุทรของจักรวาลเริ่มแห้งงวดลง เป็นล่าดับ  

              พอดวงอาทิตย์ดวงที่ ๕ บังเกิด น้ำในมหาสมุทรแห้งหมด ไม่เหลือแม้องคุลี  

               พอดวงอาทิตย์ดวงที่ ๖ บังเกิด แผ่นดินภูเขาทั้งหลายก็สิ้นธาตุน้ำ อันเป็นยาง เหนียวเกาะกุมก็หลุดกระจาย กลายเป็นฝุ่นเป็นควันคลุ้งตลบ ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเปรียบไว้ว่า เหมือนช่างปั้นหม้อเรียงภาชนะดินดิบใส่เข้าเตาเผา พอจุดไฟเผาก็เกิด ควันฟุ้งตลบไปทั่วเตา  

             ถ้าจักรวาลจะพินาศพร้อมกันทั้งแสนโกฏิจักรวาล ฝุ่นควันก็จะฟุ้งไปทั่วทั้งแสนโกฏิ จักรวาล เป็นอยู่ทั้งนี้ยาวนานนับเวลาไม่ได้  

              ครั้นแล้วเมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ ๗ บังเกิด โลกธาตุทั้งแสนโกฏิจักรวาลก็รุ่งโรจน์ โชตนาการลุกเป็นไฟขึ้นพร้อมกัน มีเสียงดังสนั่นด้วยการระเบิดกึกก้องกัมปนาทน่า สะพรึงกลัว ยอดเขาพระสุเมรุก็ถอดถอนหลุดลุ่ยกระจัดกระจายสูญหายไปในอากาศ  

               เปลวไฟประลัยกัลป์เกิดที่มนุษยโลกก่อน แล้วลุกลามไปยังเทวโลกชั้น จาตุมหา ราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี หมดทั้ง ๖ ชั้น แล้วต่อขึ้นไป ยังพรหมโลกชั้นต้น ปฐมฌานภูมิ ๓ คือ พรหมปาริสัชชา พรหมปุโรหิตา มหาพรหมา แล้วหยุดอยู่เพียงนั้น


              ถ้าครั้งใดจักรวาลถูกทำลายด้วยน้ำ จะพินาศไปถึงพรหมโลกทุติยฌานภูมิ

 

               ถ้าถูกทําลายด้วยลม ก็พินาศเพิ่มไปจนถึงพรหมโลกตติยฌานภูมิ


              พรหมภูมิที่เหนือจากตติยฌานภูมิ ไม่มีสิ่งใดทำลายได้ ไม่ว่าอยู่ในจักรวาลใด เว้นแต่ต้องจุติตามอายุขัย คือ ๕๐๐, ๑,๐๐๐, ๒,๐๐๐ ไปจนถึง ๘๔,๐๐๐ มหากัป (เป็น อายุของพรหมตั้งแต่ชั้นเวหัปผลา จนถึงอรูปพรหมชั้นสุดท้าย คือ เนวสัญญานาสัญญา ยตนะ)


             ไฟประลัยกัลป์ที่กล่าวถึงนี้ไหม้อยู่เป็นเวลาช้านาน ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลยแม้ เพียงอณูเดียว เมื่อหมดสิ้นเชื้อเพลิงแล้ว ไฟก็ดับลง เหลือแต่อากาศว่างเปล่าโล่งตลอด ถึงกันหมด มีสภาพดังนี้ไปนานแสนนาน


             ถ้าจักรวาลถูกทําลายด้วยน้ำ ไม่มีดวงอาทิตย์ดวงอื่นๆ เกิดขึ้น แต่มีฝนตกแทน ฝนมาจากเมฆน้ากรด (เมฆคงรวมสารเคมีอันตรายไว้) ตกทีละน้อยแล้วมากขึ้นๆ จนเต็ม ไปทั้งจักรวาล และแสนโกฏิจักรวาล น้ำกรดจะละลายทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีเหลือ โดยมีลม พัดห่อหุ้มไม่ให้ไหลไปทางอื่น ให้ไหลสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนท่วมถึงพรหมโลกทุติยฌานภูมิขึ้น ไปจรดชั้นสุภกิณหาจึงหยุด เมื่อทำลายทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีเหลือแม้แต่อณูเดียวแล้ว น้ำกรดนั้นจึงยุบแห้งอันตรธานไป อากาศเบื้องบนกับเบื้องล่างก็ต่อเนื่องเป็นอันเดียวกัน โล่งตลอด  

               ถ้าจักรวาลถูกทำลายด้วยลม ก็ไม่มีดวงอาทิตย์ดวงอื่นเกิดขึ้นทํานองเดียวกัน แต่จะมีลมพัดมาแทน แรกๆ ก็เป็นลมพัดอ่อนๆ แล้วจึงแรงขึ้นๆ พัดเอาทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ต้นไม้ ก้อนหินให้เลื่อนลอยไปในอากาศ แล้วหมุนให้กระทบกระทั่งกันจนแหลก ละเอียดสูญหายไปไม่มีเศษเหลือ ส่วนที่ใต้พื้นดินก็มีลมพัดหวนพลิกแผ่นดินให้กระจุย กระจายไปกระทบระเบิดกันเองกลางอากาศ จนละเอียดไม่มีเศษแม้กระทั่งภูเขา แม่น้ำ ก็เป็นทำนองเดียวกันหมด ย่อยยับไม่เหลือแม้แต่อณูเดียว จนเป็นอากาศโล่งไปจนถึง ตติยฌานภูมิในพรหมโลก


เวลาโลกเริ่มพินาศ จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือ มีแต่ความว่างเปล่า เวลาที่มีแต่ความว่างจนกระทั่งมีฝนตกใหม่เพื่อที่จะเกิดจักรวาลใหม่ เวลาฝนเริ่มตก จนถึงมีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์เกิดขึ้น เวลาที่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์เกิดขึ้น จนกระทั่งมีการพินาศอีก ทั้ง ๔ ระยะเวลาเหล่านี้ มีความช้านานเท่าๆ กัน เรียกว่า อสงไขยกัป นานเท่ากับ ๖๔ อันตรกัป (อายุขัยของมนุษย์ไขลงไขขึ้น ๑ ครั้ง เรียกว่า อันตรกัป)

 

              นับตั้งแต่จักรวาลถูกทำลาย จนกระทั่งเกิดใหม่ และพินาศอีกครั้งจึงเป็นเวลา ๔ อสงไขยกัป หรือ ๒๕๖ อันตรกัป นับเป็น ๑ มหากัป


            ส่วนคำว่า “กัป” หมายถึงเวลาที่ยาวนานนับประมาณไม่ได้ เปรียบเหมือนมีภูเขา แท่งศิลาทึบ กว้าง ยาว สูง อย่างละ ๑ โยชน์ (ประมาณ ๑๖ กิโลเมตร) ครบร้อยปี มี เทวดาเอาผ้าทิพย์ที่บางเบาราวกับควันไฟมาลูบภูเขานี้ ๑ ครั้ง เมื่อใดภูเขาสึกกร่อนจน เรียบเสมอพื้นดิน เรียกว่า ๑ กัป


             หรือจะเปรียบเหมือนบ่อใหญ่ กว้าง ยาว ลึก อย่างละ ๑ โยชน์ ใส่เมล็ดพันธุ์ ผักกาดให้เต็ม ทุกๆ ๑๐๐ ปี จะนำออกทิ้งเสีย ๑ เมล็ด ต่อเมื่อใดหมดบ่อจึงเรียกว่า ๑ กัป ก็ได้  

            คำว่า “กัป” กับ “มหากัป” ต่างกันดังที่กล่าว


            ทั้งหมดนี้ คือความเป็นไปของจักรวาล ตั้งแต่เริ่มก่อตัวเกิดขึ้น จนกระทั่งพินาศ ลง เป็นเหมือนกันเช่นเดียวกันทุกแห่งไป และเมื่อจักรวาลเหล่านี้มีจํานวนมาก ไม่มีที่ สิ้นสุดนับไม่ถ้วน ชนิดที่ต้องเรียกว่าอนันตจักรวาล ดังนี้เมื่อใดเราฝึกจิตมีคุณภาพดีเต็มที่ ย่อมสามารถเห็นได้ว่า ขณะนี้จักรวาลบางแห่งกำลังเกิดอยู่ก็มี บางแห่งกำลังถูกทำลายก็มี บางแห่งมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ก็มี เป็นเรื่องปกติ ธรรมดาของความเป็นไปของจักรวาล

 

เชิงอรรถ

ในจักรวรรดิสูตร ที.ปาฏิ กล่าวถึงตอนกัปเจริญขึ้น อายุมนุษย์จาก ๑๐ ปี เจริญขึ้นทีละหนึ่งเท่าตัว จนอายุได้ ๘ หมื่นปี พระศรีอริยเมตไตรยจึงเสด็จอุบัติ แต่ในอรรถกถา กล่าวอธิบายไว้ว่า เป็นช่วง อายุไขลง จากอสงไขยปี ลดลงเหลือ ๘ หมื่นปี พระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเสด็จอุบัติ

 

อุบาสิกาถวิล (บุญทรง) วัติรางกูล

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0079230825106303 Mins