เมื่อความตายไม่มีนิมิตหมาย แล้วจะมีหลักประกันใดที่ทำให้เราละโลกไปแล้วมุ่งสู่สุคติเพียงทางเดียว
พระอาจารย์ตอบ : ความตายไม่มีนิมิตหมายนำหน้า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะตั้งหลักได้ทันถ้าความตายมาเยือน วิบากกรรมที่จะนำให้เราไปเกิดใหม่ในภพใดนั้นมี "ครุกรรม” คือ กรรมหนักที่สุดให้ผลก่อน
ถ้าเรามีกรรมหนักฝ่ายดี คือ นั่งสมาธิจนได้ฌานสมาบัติขั้นต้น คือ ปฐมฌาณ เห็นดวงสว่างที่กลางท้อง อย่างนี้ปิดอบาย เปิดประตูสวรรค์แน่นอน มีสวรรค์เป็นทางไปอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะนั่งสมาธิจนได้ดวงสว่างแห่งองค์พระชัดๆ หรือดวงแก้วใสๆ ก็ได้ทั้งนั้นเพราะถือว่าเป็นปฐมฌาน
ถ้าเรามีกรรมหนักฝ่ายเลว มีวิบากกรรม เช่น ทำอนันตริยกรรม ๕ ฆ่าแม่ ฆ่าพ่อ ฆ่าพระอรหันต์ ท่าร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนฮ้อเลือด หรือยุแยงให้คณะสงฆ์แตกกัน ตายไปตกนรกแน่นอน ปิดสวรรค์ ปิดนิพพานในชาตินั้น
แต่ถ้าเกิดไม่มีครุกรรมเลย กรรมที่จะให้ผลต่อมา ได้แก่ "อาสันนกรรม” คือ กรรมก่อนตาย บางทีทำบาปไว้มากแต่ก่อนตายนึกถึงพระนึกถึงบุญได้ กุศลบุญก็จะได้ช่องส่งผลก่อน
บางคนรู้หลักแล้วบอกว่า พอเข้าใกล้ลมหายใจสุดท้ายก็ค่อยนึกถึงองค์พระ นึกถึงบุญกุศลที่เคยทำไว้ก็ได้ อย่างนี้เสี่ยงเกินไป เพราะความจริงแล้ว ความตายมาแบบปุบปับไม่ทันให้ตั้งตัว แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าพอถึงตอนนั้นเราจะนึกถึงองค์พระออก ยิ่งถ้าเจ็บป่วยทรมาน ทุกขเวทนาบีบคั้น ยิ่งมืดตื้อมืดมิดนักบุญกุศลไม่ออกอย่างแน่นอน
ดังนั้น วิธีที่จะสร้างความมั่นใจ คือ เราต้องมี “อาจิณณกรรม” กรรมที่ทำเป็นประจําสม่ำเสมอทุกวันนี้ เกิดเป็นความคุ้นเคยทําให้ใจเราคุ้นอยู่กับกุศลกรรมความดี ทั้งการให้ทาน รักษาศีล สวดมนต์ นั่งสมาธิ เจริญภาวนา
อาจิณณกรรมจะทำให้บุญกุศลที่เราสั่งสมไว้เป็นเครื่องผลักดันให้สภาวะจิตของเราคุ้นกับความดี ความผ่องใส เมื่อจิตผ่องใส ก่อนตายก็นึกถึงบุญอยู่เนืองนิตย์ ได้ไปสวรรค์ หรือถ้าโชคดีหน่อย ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุตายอย่างกระทันหัน
แต่เกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ทันได้รู้ตัวได้ตั้งหลักก่อน ถึงตอนนั้นจะนึกถึงบุญกุศลที่เคยทําไว้ หรือนึกถึงองค์พระให้ใสสว่างก็นึกออกได้ง่ายๆ ทันที เพราะเคยอุ่นเครื่องด้วยอาจิณณกรรมมาอย่างยาวนานแล้ว
เจริญพร.