เล่าตามใจ 36 : จับขโมย
สภาพพื้นที่ 2,000 ไร่ ในช่วงที่มาตั้งอาศรมใหม่ๆ ยังไม่มีรั้วโดยรอบ สามารถเข้ามาได้ทุกทิศทุกทาง กลางคืนก็มืดมาก อาศรมอุบาสกด้านหลังมีรั้วไม้โปร่งๆ แบบรั้วคอกม้า มีบ้านน้องอาสาสมัครอยู่หลังหนึ่ง
อาคารที่อยู่หลังสุดของอาศรมอุบาสกคือโรงเก็บ Locker และห้องรีดผ้า อาคารนี้มีประตูทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ถ้าเข้ามาด้านหน้าจะเจอห้องเก็บLocketซึ่งอุบาสกจะได้ใช้คนละ 1ตู้ เก็บทุกสิ่งอย่างทั้งเสื้อผ้า หนังสือ ของใช้ต่างๆ พอเดินต่อไปจะเจอห้องรีดผ้า แล้วก็ทะลุประตูออกไปทางด้านหลัง
ความที่อยู่กันเองจนชิน ประตูก็เปิดเข้าออกได้ตลอดเวลา เพราะทุกคนก็กลับมาไม่พร้อมกัน ตู้Lockerก็ไม่ค่อยLockทั้งๆที่อาศรมประกาศเตือน จนมาถึงมีขโมยเข้ามาลักของในเวลากลางคืนหลายครั้ง
เราเลยต้องมาแบ่งบุญซุ่มจับขโมยเวลากลางคืน เฝ้ากันมาหลายวัน จนคืนวันหนึ่งก็เจอขโมย ก็วิ่งไล่กันไปอย่างโกลาหลในท่ามกลางความมืด และก็จับผู้ชายได้คนหนึ่ง
พี่สถาพร ในฐานะหัวหน้าอาศรมก็มาสอบสวน พอเจอเค้าก็บอกว่าผมเป็นตำรวจ มีปืนนะ พร้อมทั้งจะเอามือไปจับปืนที่เอว แต่พี่สถาพรไวกว่า คว้าปืนมาได้ก่อน ด้วยอารมณ์ที่เราสะสมมาหลายวัน อดหลับอดนอน อุณหภูมิในหัวจึงขึ้นสูงเฉียบพลัน พี่สถาพรจึงถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด ด้วยมือและปืนที่อยู่ในมือไปอย่างทะนุถนอมที่หน้าของชายผู้คนนั้นดังพัวะ
ที่นี้ไม่บอกว่าเป็นตำรวจแล้ว ร้องเรียก พี่แดงช่วยด้วยๆ และแล้วพี่แดงก็มาพอดี อย่างกับหนังไทย แดงในที่นี้คือนายกแดง แห่ง อบต.คลองสามในปัจจุบัน สมัยนั้นทำงานสำนักเลขาธิการและงานมูลนิธิ ติดต่องานราชการเยอะ เลยรู้จักข้าราชการและตำรวจในอำเภอดี
แดงรีบบอกพี่สถาพร พี่ๆตำรวจจริงๆพี่ เป็นอันว่าเราซุ่มจับขโมยแต่ได้ตำรวจ เพราะเค้าไม่แจ้งเราเลยว่า มาซุ่มจับขโมยเหมือนกัน ความจริงน่าจะแจ้งพี่สถาพรสักหน่อยก็ยังดี ครั้งนั้นขโมยตัวจริงหนีไปได้เหลือตำรวจที่ถูกจับ
เราก็ต้องซุ่มจับต่อไป จนวันหลังสามารถจับขโมยตัวจริงได้ เป็นเด็กอายุ 10 กว่าขวบ มากัน 3 คน พี่สถาพร สอบสวนเองด้วยวิธีพิเศษ แล้วส่งตำรวจ ภายหลังขโมยก็ไม่กล้าเข้ามาอีกเลย
และแล้วเรื่องจับขโมยก็เป็นเรื่องขำขันที่เราคุยกันในอาศรมได้อีกยาวนาน(ความจริงมีฉากฮาฮาอีกหลายฉากที่จำเป็นต้องตัดออก)
