ข้อคิดจากชาดก
มุณิกชาดก
ชาดกว่าด้วยความมีอายุยืน
สถานที่ตรัสชาดก
.....เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี
สาเหตุที่ตรัสชาดก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่าพระภิกษุรูปหนึ่งมีความปรารถนาจะสึก เพราะได้รับการเอาอกเอาใจพูดจาชักชวนแทะโลมจากสาวแก่นางหนึ่ง พระพุทธองค์จึงทรงสอบถาม พระภิกษุรูปนั้นก็ยอมรับแต่โดยดี พระบรมศาสดาจึงตรัสเตือนสติว่า
“ ดูก่อน ภิกษุ มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้นที่หญิงคนนี้ทำให้เธอพินาศ เมื่อก่อนนี้ เธอถึงกับสิ้นชีวิตในวันวิวาห์ของหญิงคนนี้ ต้องเป็นอาหารอันโอชะเลี้ยงคนมากมายในงานทีเดียว ” ตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ทรงนำ มุณิกชาดก มาตรัสแสดงดังนี้
เนื้อหาชาดก
ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองกรุงพาราณสี ณ ชนบทแห่งหนึ่ง ชาวนาครอบครัวหนึ่งได้เลี้ยงโคไว้สองตัวพี่น้องชื่อ มหาโลหิต กับ จุฬโลหิต และเลี้ยงสุกรตัวหนึ่งชื่อ มุณิกะ
แต่เช้าตรู่ทุกๆ วัน ชาวนาจะนำโคทั้งสองไปไถนา บรรทุกน้ำ บรรทุกฟืน กว่าจะได้กลับบ้านพักผ่อนก็ตะวันตกดินไปแล้ว ไม่ว่างานใดๆ ที่เป็นงานหนักตรากตรำ ชาวนาได้อาศัยแรงโคทั้งสองนี้เสมอ กล่าวได้ว่าโคทั้งสองเป็นกำลังสำคัญของครอบครัวทีเดียว
อยู่มาวันหนึ่ง ชาวนาได้จัดพิธีหมั้นลูกสาวของตนให้กับชายหนุ่มคนหนึ่ง หลังจากพิธีหมั้นผ่านพ้นไปแล้ว แกก็คิดตระเตรียมงานสำหรับวันแต่งงานที่จะมาถึงในไม่ช้า ทุกๆ วัน ลูกสาวชาวนาจะนำข้าว ถั่ว รำ และอาหารอย่างดี จำนวนมากไปเลี้ยงหมูมุณิกะ เมื่ออากาศร้อน หญิงสาวจะอาบน้ำขัดถูร่างกายให้มัน แม้พื้นคอกสกปรกก็จะลงมือถูให้สะอาดเอี่ยม ตกกลางคืนจะสุมไฟไล่ยุงให้
ส่วนโคทั้งสองพี่น้องไม่เคยได้รับการเอาอกเอาใจเช่นนี้เลย ต้องออกทำงานแต่เช้าตรู่ ได้รับแต่เพียงข้าวลีบ หญ้าแก่ๆ หรือใบไม้แห้งๆ เท่านั้น โคจุฬโลหิตเห็นการกระทำของชาวนาและบุตรสาวเช่นนี้อดน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ จึงกล่าวรำพันกับโคมหาโลหิตผู้เป็นพี่ว่า “ ดูซิพี่ เราทั้งสองทำงานหนักสารพัดอย่างไม่มีว่างเว้น แทบจะเรียกว่าเราเป็นผู้ทำมาหาเลี้ยงครอบครัวนี้ก็ยังได้ แต่เราได้กินเพียงข้าวลีบ ฟางหญ้าแห้งๆ ใบไม้แก่ๆ อย่างนี้ ส่วนเจ้าหมูมุณิกะ วันทั้งวันเอาแต่นอน ไม่เคยทำอะไรสักอย่างเดียว กลับได้กินข้าวอย่างดี ช่างไม่ยุติธรรมเลย ”
โคมหาโลหิตผู้พี่ จึงกล่าวเตือนน้องว่า “ น้องรัก เจ้าอย่างได้คิดอิจฉามุณิกะเลย ที่มันกินอย่างนี้ ไม่ได้กินเพื่ออยู่ แต่กินเพื่อตาย คอยดูสิอีกไม่กี่วัน เมื่อถึงวันแต่งงานของคุณหนู เขาก็จะจับมันแกงเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน เจ้ากินแต่ข้าวลีบอย่างนี้น่ะดีแล้ว อายุจะได้ยืน ”
และแล้วก็เป็นจริงตามคำของโคมหาโลหิต เพราะต่อมาอีกไม่นาน เขาก็ช่วยกันจับสุกรมุณิกะฆ่าทำแกงเลี้ยงแขกที่มาร่วมงานแต่งงาน มิใยที่หมูมุณิกะจะแผดเสียงร้องขอชีวิตอย่างน่าสงสารก็ไม่มีใครเห็นใจ ซ้ำนายสาวซึ่งเคยเอาอกเอาใจมันอย่างดีตลอดมาเมื่อครั้งก่อน ยังลงมือช่วยฆ่าอีกแรงเสียด้วย โคจุฬโลหิตจึงกล่าวกับโคมหาโลหิตว่า
“ พี่จ๊ะ ฉันเห็นโทษของการกินมากๆ ของเจ้าหมูมุณิกะแล้วว่าเป็นอย่างไร ทำให้รู้สึกว่ากินหญ้าแก่ ๆ กับใบไม้แห้งๆ ของเราช่างเป็นอาหารที่ประเสริฐสุดจริงๆ กินแล้ว อายุยืนกว่าอาหารอร่อยๆ ของเจ้ามุณิกะตั้งร้อยเท่าพันเท่าเชียว ” แล้วโคทั้งสองพี่น้องก็สนทนากันต่อด้วยความเบิกบานใจ
ประชุมชาดก
เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจบแล้ว ทรงเทศนาอริยสัจ ๔ พระภิกษุรูปนั้นส่งใจไปตามคำพระธรรมเทศนา บังเกิดความสลดใจเห็นภัยในวัฏสงสารและโทษของการครองเรือน สามารถประคองใจให้หยุดนิ่งตั้งมั่นในศูนย์กลางกาย ได้บรรลุธรรมดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วพระบรมศาสดาทรงประชุมชาดกว่า
สุกรมุณิกะ ได้มาเป็นภิกษุผู้คิดจะสึกรูปนี้
โคจุฬโลหิต ได้มาเป็นพระอานนท์
โคมหาโลหิต ได้มาเป็นพระองค์เอง
ข้อคิดจากชาดก
๑ . ไม่ว่ากาลไหนๆ ภิกษุไม่ควรใกล้ชิดสตรี พระอานนท์เคยทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ภิกษุควรประพฤติตนอย่างไรต่อสตรี
พระพุทธองค์ทรงตอบว่า “ อย่าได้พบปะสตรีใดๆ เลย ”
พระพุทธองค์ทรงตอบว่า “ ก็อย่าพูดคุยด้วย ”
พระอานนท์ทูลถามว่า “ ถ้าต้องพูดคุยด้วยจะทำอย่างไร ”
พระพุทธองค์ทรงตอบว่า “ ก่อนจะพูด ตั้งสติให้มั่นคงแล้วรีบพูดให้เสร็จธุระโดยไว ”
๒ . ผู้ที่เป็นผู้นำได้ ต้องหมั่นสังเกต หมั่นอบรมตนเองและบริวารให้มีความมักน้อย สันโดษ พอใจในปัจจัยตามมีตามได้ ไม่โลภ มีความหนักแน่น ไม่อิจฉาริษยา
ข้อคิดจากชาดก
มุณิกชาดก
ชาดกว่าด้วยความมีอายุยืน