ข้อคิดจากชาดก
สังขธมนชาดก
ชาดกว่าด้วยโทษของการไม่รู้จักประมาณ
.....สถานที่ตรัสชาดก
.....เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี
.....สาเหตุที่ตรัสชาดก
.....ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระบรมศาสดาประทับ ณ เชตวันมหาวิหาร ได้ทรงทราบว่ามีพระภิกษุรูปหนึ่ง มีนิสัยดื้อรั้นไม่อยู่ในโอวาทของพระเถระผู้ใหญ่ และไม่สนใจรับฟังคำตักเตือนของเพื่อนพระภิกษุด้วยกัน ประพฤติตนเป็นที่เบื่อหน่าย เอือมระอาแก่เพื่อภิกษุทั้งหลาย
.....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงเรียกพระภิกษุรูปนั้นมา เมื่อทรงซักถามได้ความแล้ว จึงทรงตำหนิ แล้วทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ ถึงภพในอดีตของพระภิกษุรูปนั้น ทรงชี้โทษของการเป็นคนว่ายากสอนยาก ที่พระภิกษุนั้นเคยได้รับในชาติก่อน โดยตรัสว่า สังขธมนชาดก ดังนี้
.....เนื้อหาชาดก
.....ในอดีตกาล สมัยเมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ ณ กรุงพาราณสี คราวหนึ่ง มีงานนักขัตฤกษ์ประจำปี พ่อลูกสองคนซึ่งเป็นนักเป่าสังข์ ได้พากันมาแสดงการเป่าสังข์ในงานนี้ด้วย
.....สองพ่อลูกเป่าสังข์เป็นเพลงได้ไพเราะจับใจมาก ไม่ว่าจะเป็นเพลงช้า เพลงเร็ว เพลงใหม่ เพลงเก่าอย่างไร ทั้งสองก็เป่าได้ถูกอกถูกใจคนฟังยิ่งนัก ทั้งยังร่ายรำทำท่าตามจังหวะเพลงได้อย่างเหมาะเจาะ ทำให้ผู้ฟังสนุกสนานเพลิดเพลินไปด้วยกันอย่างเต็มที่
.....คนที่มาเที่ยวงานต่างมุงฟังเสียงสังข์ของสองพ่อลูกอย่างแน่นขนัด ทุกครั้งที่เสียงสังข์หยุดลง ก็จะได้ยินเสียงปรบมือและเสียงเงินเหรียญที่คนฟังหย่อนใส่ถุงให้ทั้งสองพ่อลูก ยิ่งมีคนฟังมากก็ได้เงินมาก เขาก็ยิ่งครึ้มอกครึ้มใจ เป่าสังข์ได้สนุกสนานครื้นเครงยิ่งขึ้นไปอีก
.....สองพ่อลูกเป่าสังข์จนกระทั่งงานเลิกแล้ว จึงพากันเดินลัดเลาะมาตามชายป่าเพื่อกลับบ้าน ขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น ผู้เป็นพ่อรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ จึงหยิบสังข์ขึ้นมาเป่าทำนองที่ใช้ประกอบการเสด็จของเจ้านายชั้นสูง ลูกชายก็ไม่ว่าอะไร ได้แต่เดินเคียงข้างไปเรื่อยๆ
.....หลังจากเป่าทำนองขบวนเสด็จกองเกียรติยศไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็เป่าสังข์เป็นทำนองสนุกสนานครื้นเครง ตามจังหวะเพลงที่กำลังนิยมกัน ลูกชายจึงเขย่าแขนพ่อแล้วเตือนขึ้นทันที
....."พ่อ…พ่อ…!! เป่าเพลงอะไรน่ะ หยุดเถอะ"
......แต่ผู้เป็นพ่อกลับเบี่ยงตัวหลบ แล้วเป่าสังข์ต่ออย่างครึ้มใจ แม้ลูกชายจะท้วงติงอย่างไร ก็ไม่สนใจฟัง
.....ฝ่ายพวกโจรซึ่งอยู่ในป่า ได้ยินเสียงเป่าสังข์ในตอนแรก ก็ซ่อนตัวเงียบอยู่ เพราะคิดว่ามีขบวนเสด็จผ่านมา แต่เมื่อฟังไปเรื่อยๆ ทำนองเพลงสังข์กลับเปลี่ยนไปไม่ใช่ขบวนเสด็จเสียแล้ว ก็แปลกใจ ครั้นออกจากที่ซ่อน เห็นสองพ่อลูกกำลังเป่าสังข์อยู่ก็โกรธ จึงพากันกรูเข้ามารุมตีสองพ่อลูก แล้วชิงเงินทั้งหมดไป
.....เมื่อโจรไปหมดแล้ว ลูกชายได้พยุงพ่อให้ลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า
....."พ่ออยากเป่าสังข์ก็เป่าไปเถิด แต่ไม่น่าเป่าเกินประมาณอย่างนี้ เราอุตส่าห์เป่าสังข์ได้ทรัพย์มา แต่พ่อกลับเป่าสังข์พร่ำเพรื่อเลยเป่าเอาทรัพย์ไปแท้ๆ ทีเดียว"
.....จากนั้น ทั้งสองคนพ่อลูกก็พากันเดินโซซัดโซเซกลับบ้านด้วยความทุลักทุเล
.....ประชุมชาดก
.....เมื่อพระบรมศาสดาทรงแสดงชาดกจบแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
.....บิดา ได้มาเป็นพระภิกษุผู้ว่ายาก
.....ลูกชาย ได้มาเป็นพระองค์เอง
.....ข้อคิดจากชาดก
.....๑. ผู้ใหญ่ทั้งหลาย ควรรับฟังความคิดเห็น คำท้วงติงของเด็กบ้าง อย่าถือว่าตนเองผ่านโลกมามากกว่า เพราะโดยทั่วไปคนเรามักมองไม่ค่อยเห็นความผิดของตัวเอง ต้องให้คนอื่นช่วยบอกให้
.....๒. ผู้ใหญ่ดื้อ แก้ยาก เหมือนไม้แก่ดัดยาก บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเป็นคนหัวดื้อ
บางคนรู้ตัวว่าเป็นคนดื้อรั้น อยากแก้ไขตัวเองเหมือนกัน แต่ก็มีทิฐิจัด ใครเตือนก็โกรธ ไม่ยอมรับ อย่างนี้ต้องแก้ไขตัวเอง โดยหมั่นนั่งสมาธิมากๆ สำรวจตัวเองทุกวันว่า มีข้อบกพร่องอะไรแล้วพยายามแก้ไขตัวเองไปเรื่อยๆ
.....๓. ลูกที่เห็นว่า พ่อ แม่ ดื้อรั้นในบางเรื่อง เมื่ออยากจะตักเตือนต้องฉลาดหาอุบายที่เหมาะสม อย่าผลีผลามพูดจาว่ากล่าวโดยไม่ถูกกาลเทศะ และต้องรู้จักขัดเกลาสำนวนให้ไพเราะ มิฉะนั้นจะกลายเป็นลบหลู่พ่อแม่ไป
ข้อคิดจากชาดก
สังขธมนชาดก
ชาดกว่าด้วยโทษของการไม่รู้จักประมาณ