บทสวดมนต์แผ่เมตตา ให้ตนเอง และผู้อื่น

วันที่ 15 พย. พ.ศ.2556

บทสวดมนต์แผ่เมตตา
(ให้ตนเอง และผู้อื่น)
 


ความหมายและคุณค่าของการแผ่เมตตา     

      เมตตา หมายถึง ความรัก ความปรารถนาดี ต้องการให้มีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยปราศจากความอิจฉาริษยา และหมายถึงความมีไมตรีจิตต่อกันด้วยความจริงใจฐานมิตร ดังนั้น การแผ่เมตตาจึงได้แก่การส่งกระแสจิตของตนไปสู่ผู้อื่นทั้งที่เป็นเทวดา มนุษย์ และสัตว์ด้วยความหวังดีที่จะให้เขามีความสุข ได้รับความสมหวังในชีวิต เป็นการแสดงออกซึ่งน้ำใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมของผู้แผ่เมตตา

       การแผ่เมตตา เป็นสิ่งที่โบราณบัณฑิตทั้งหลายปฏิบัติต่อ กันมาตามลำดับ เพราะเห็นประโยชน์ว่า การแผ่เมตตานี้จะทำให้ผู้ปฏิบัติเป็นประจำมีจิตใจอ่อนโยน เยือกเย็นลงได้ และทำให้มองเห็นว่าการที่มนุษย์หวังดีต่อกันนั้นเป็นทางนำให้โลกเกิดสันติ สุขได้ และเมื่อตัวเองได้รับความสุขแม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องการให้เพื่อนร่วมโลกได้ รับความสุขอย่างนั้นบ้าง จึงได้แผ่กระแสจิตอันเยือกเย็นและอ่อนโยนนั้นไปยังผู้อื่น ผู้ได้รับเมตตาจิตนั้นแล้วก็จะพลอยมีจิตอ่อนโยน เยือกเย็น และได้พบกับความสุขทางใจไปด้วย ด้วยเหตุแห่งการแผ่เมตตาไปยังเพื่อนมนุษย์เช่นนี้จึงทำให้มนุษย์และสัตว์ อยู่กันด้วยความมีน้ำใจดีต่อกัน รักใคร่กันฉันพี่น้อง และหันหน้าเข้าหากันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้อยู่กันด้วยความอบอุ่นไว้วางใจกัน ปราศจากความระแวกันและกัน เป็นเหตุให้ไม่เบียดเบียนกันแต่จะอุดหนุนเกื้อกูลกันและกันด้วยน้ำใสใจจริง
 
 วิธีการแผ่เมตตา
     การแผ่เมตตานั้นควรแผ่ให้ตนเองก่อน คือต้องปรารถนาความสุขให้แก่ตัวเองเสียก่อนโดยวิธีสร้างความรักตัวเองในทาง ที่ถูกที่ควร คือไม่ทรมานตัวเองด้วยการกระทำ ด้วยความคิดที่ผิด ๆ ทำตัวเองให้มีอำนาจทางจิตด้วยความดีเสียก่อน แล้วค่อย ๆ ขยายวงเมตตาออกไปยังผู้อื่น สัตว์อื่น ตามลำดับ แม้ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ตนไม่ชอบหรือเป็นศัตรูกันก็ตาม เพราะถ้าหากสามารถแผ่เมตตาไปให้แก่ผู้ไม่ถูกกันได้ นั่นแสดงว่าผู้นั้นได้ยกระดับจิตให้พ้นจากอำนาจความโกรธเคืองหรือความอิจฉา ริษยาได้แล้วด้วยเมตตา เพราะเมตตานี้เป็นเครื่องกำจัดกิเลสคือ โกธะ

     ความโกรธ โทสะ ความประทุษร้าย อรติ ความไม่ชอบใจด้วยอำนาจของความอิจฉาริษยาเสียได้ ต่อไปตัวเองก็จะประสบความสุขความ สงบทางใจ ไม่มีความเดือดร้อนใจ ไม่มีความกระวนกระวายใจอะไรต่อไปอีก เพราะปล่อยวางความโกรธความไม่พอใจเสียได้แล้ว ซึ่งผิดกับตอนที่ยังโกรธอยู่ ยังอิจฉาริษยาเขาอยู่ ในตอนนั้นจิตใจจะมีแต่ความร้อนรุ่มกลุ้มอก กระวนกระวายใจ และไม่เป็นอันกินอันนอนอย่างเห็นได้ชัด

     เราควรแผ่เมตตาทุกวัน อย่างน้อยก็ก่อนนอนทุกคืน ถ้าสามารถทำให้มากครั้งต่อวันได้ก็ยิ่งจะเป็นกำไรชีวิต เช่น นึกแผ่เมตตาทุกอิริยาบถ ขณะเดินไปตามถนนหนทาง ขณะนั่งรถไปทำงาน ขณะเดินทางไปต่างจังหวัด หรือขณะนั่งพักผ่อน ณ ที่ใดที่หนึ่งหลังจากว่างงาน เพราะในขณะนั้นจิตใจจะปลอดโปร่งเหมาะที่จะนึกแผ่เมตตาอย่างยิ่ง และในขณะนั้นเท่ากับว่าได้ทำกรรมฐานไปในตัวด้วย เพราะการแผ่เมตตานี้จัดเป็นกรรมฐานประการหนึ่ง ที่จะทำให้ใจสงบเย็นลงได้ และจะคอยควบคุมจิตใจให้นึกคิดไปในทางที่ถูกที่ควรได้รวดเร็ว ฉะนั้น แม้ว่าผู้แผ่เมตตาจะทำได้เพียงวันละเล็กวันละน้อย แต่ทำทุกวันจนติดเป็นนิสัย ก็จะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลอย่างหนึ่งเป็นแน่แท้ หากมีจิตมากไปด้วย โลภ โกรธ หลง จะทำให้พลังที่แผ่เมตตามีกระแสน้อยไม่ได้ผลเต็มที่


คำแผ่เมตตา
     ผู้ต้องการจะแผ่เมตตา ให้นึกถึงคำภาวนาต่อไปนี้แล้วนึกภาวนาไป ๆ จะกี่เที่ยวก็ตามต้องการยิ่งมากเที่ยวก็จะยิ่งทำให้จิตใจสงบยิ่งขึ้น ทำให้จิตมีอานุภาพมีพลังมากขึ้น
  

บทแผ่เมตตา แบบที่หนึ่ง

    คำแผ่เมตตาสำหรับตนเอง 

อหํ สุขิโต โหมิ นิทฺทุกฺโข อเวโร อพฺยาปชฺโฌ อนีโฆ สุขี อตฺตานํ ปริหรามิ ฯ  

ขอข้าพเจ้าจงถึงความสุข ปราศจากความทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีความคับแค้นใจ
จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด ฯ


    คำแผ่เมตตาไปสู่ผู่อื่น

สพฺเพ สตฺตา สุขิตา โหนฺตุ นิทฺทุกฺขา อเวรา อพฺยาปชฺฌา สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ ฯ

ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงถึงความสุข ปราศจากความทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มี ความคับแค้นใจ จงมีความสุขการสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด ฯ


บทแผ่เมตตา แบบที่สอง

   คำแผ่เมตตาแบบทั่วไป

          สัพเพ สัตตา     สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น
          อะเวรา       จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
          สัพเพ สัตตา     สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น
          อัพยาปัชฌา      จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
          สัพเพ สัตตา      สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น
          อะนีฆา     จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
          สัพเพ สัตตา      สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น
          สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ     จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งสิ้นเถิด ฯ

     การแผ่เมตตาทั้งสองแบบนี้ จะใช้เพียงแบบใดแบบหนึ่งตามถนัดก็ได้หรือจะนึกภาวนาเฉพาะภาษาไทยหรือภาษา บาลีอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรือทั้งสองอย่างก็ได้ ฯ
 

วิธีกรวดน้ำ
 

วิธีกรวดน้ำ

      เมื่อจะกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนบุญ นิยมทำกันดังนี้ คือ เริ่มต้นเตรียมน้ำสะอาดใส่ภาชนะไว้พอสมควร จะเป็นคณโฑขนาดเล็ก แก้วน้ำ หรือขันก็ได้ พอพระสงฆ์เริ่มสวดอนุโมทนาบุญขึ้นต้นด้วย ยะถา.... ก็เริ่มกรวดน้ำ จบด้วย ยะถา ฯ เราต้องหลั่งน้ำให้หมดในภาชนะ และการหลั่งน้ำกรวดนั้น ถ้าเป็นพื้นดินควรหลั่งลงในที่สะอาด ถ้าอยู่บนสถานที่ที่ไม่ใช่พื้นดิน ต้องหาถาดหรือขันรองน้ำกรวดไว้  เสร็จแล้วจึงนำไปเทลงดินตรงที่สะอาด อย่างใช้กระโถนหรือภาชนะสกปรกรองรับเป็นอันขาด เพราะน้ำที่กรวดเป็นสักขีพยานในการทำบุญของตนว่าทำด้วยใจสะอาดจริงๆ

     คำกรวดน้ำที่นิยมว่ากันในเวลากรวดทั่วๆ ไป มีอยู่หลายแบบคือ แบบสั้น แบบย่อ และแบบยาว ว่าเฉพาะคำบาลีแบบสั้น คือ

 

คำกรวดน้ำแบบสั้น

อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย ฯ
ขอบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอญาติทั้งหลายจงเป็นสุขๆ เถิดฯ

 

อานิสงส์ของการแผ่เมตตา
       สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในพระบาลีอังคุตตรนิกายว่า ผู้แผ่เมตตาเป็นประจำ ย่อมได้รับ 
อานิสงส์ 11 ประการ ดังนี้

1.  หลับเป็นสุข คือ หลับสบาย หลับสนิท

2.  ตื่นเป็นสุข คือเมื่อตื่นขึ้นมาก็สบายตัว สบายใจ หายอ่อนเพลีย ไม่มีอาการง่วงติดต่ออีก

3.  ไม่ฝันร้าย คือ จะไม่ฝันเห็นสิ่งเลวร้ายทำให้สะดุ้งตื่นกลางคัน หรือไม่ฝันหวาดเสียวต่าง ๆ

4.  เป็นที่รักของคนทั่วไป คือ จะเป็นคนมีเสน่ห์ ไปที่ใดก็ปราศจากศัตรูผู้คิดร้ายแม้ผู้ไม่ชอบใจก็จะกลับมาชอบได้

5.  เป็นที่รักของอมนุษย์ทั่วไป คือแม้สัตว์ต่าง ๆ ก็รักผู้แผ่เมตตา ไม่ขบกัด ไม่ทำร้ายทำให้ปลอดภัยจากเขี้ยวงาทุกชนิด

6.  เทวดารักษาคุ้มครอง คือ จะเดินทางไปไหนมาไหนเทวดาจะคุ้มครองให้ความปลอดภัยตลอดเวลา จะไม่ประสบอุปัทวภัยต่าง ๆ ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ

7.  ไฟ ศาสตรา ยาพิษ ไม่แผ้วพาน คือสิ่งเหล่านี้จะทำอันตรายมิได้ จะปลอดภัยจากสิ่งเหล่านี้

8.  จิตเป็นสมาธิเร็ว คือ ผู้แผ่เมตตาเป็นประจำ ถ้าทำสมาธิ จิตจะสงบนิ่งได้เร็ว หรือจะอ่านหนังสือจะทำงานอันใดก็ตาม จิตจะไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมตั้งใจได้เร็ว ทำงานนั้นสำเร็จสมประสงค์

9.  หน้าตาผิวพรรณจะผ่องใส คือผู้มีเมตตาจิตเป็นประจำ หน้าตาและผิวพรรณจะมีน้ำมีนวลมีเสน่ห์เรียกความสนใจได้ จะดูอิ่มเอิบตลอดเวลา แม้จะมีอายุมาก แม้รูปร่างจะไม่สวยงาม แม้จะไม่ได้รับการแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางใด ๆ หน้าตาผิวพรรณก็ผ่องใสน่าดูน่าชมได้เสมอ

10. ไม่หลงเวลาตาย คือเวลาใกล้ตาย จะไม่หลงเพ้อ ละเมอ หรือโวยวายอย่างนั้นอย่างนี้หรือไม่ดิ้นทุรนทุรายเป็นที่น่าเวทนาของผู้พบ เห็น จะสิ้นใจอย่างสงบเหมือนนอนหลับไป ฉะนั้น

11.  เมื่อไม่อาจบรรลุธรรมชั้นสูง ย่อมเข้าถึงพรหมโลก คือ ผู้มีเมตตาจิตเป็นประจำแม้ไม่ได้บรรลุธรรมชั้นสูงขึ้นไปกว่านี้ ก็ย่อมจะไปบังเกิดในพรหมโลกอันเป็นที่เกิดของผู้ได้ฌาน

       เพราะฉะนั้น ผู้ประสงค์เป็นที่รักเป็นที่นับถือของผู้อื่น หรือหวังความสุขความสงบความเยือกเย็นแห่งจิตใจจึงควรได้แผ่เมตตากันดูเถิด สร้างเมตตาธรรมไว้ในใจดีกว่าจะมานั่งเดือดร้อนใจด้วยไฟโกรธไฟริษยาอาฆาต และดีกว่าจะมาเสียเวลาหานะหาเมตตามหานิยม นะหน้าทอง เพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้แก่ตัวเอง เพราะวิธีปลูกต้นเมตตานี้ ไม่ทำให้หนักตัวเพราะพกพาไป ไม่ต้องกลัวหาย และไม่ต้องกลัวถูกลักขโมย เพราะมีติดตัวติดใจประจำอยู่ตลอดเวลา
 

คำอฐิษฐานจิตประจำวัน
 

คำอฐิษฐานจิตประจำวัน
       บุญใด ที่ข้าพเจ้าใด้ทำในบัดนี้ เพราะบุญนั้น และการอุทิศแผ่ส่วนบุญนั้น ขอให้ข้าพเจ้า ทำให้แจ้ง โลกุตตระธรรม 9 ในทันที ข้าพเจ้า เป็นผู้อาภัพอยู่ ยังต้องท่องเที่ยวไป ในวัฏฏสงสาร

       ขอให้ข้าพเจ้า เป็นเหมือนพระโพธิสัตว์ ผู้เที่ยงแท้ ได้รับพยากรณ์ แต่พระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ถึงฐานะ แห่งความอาภัพ 18 ประการ

      ขอให้ข้าพเจ้า พึงเว้นจากเวรทั้ง 5 พึงยินดีในการรักษาศีล ไม่เกาะเกี่ยวในกามคุณทั้ง 5 พึงเว้นจากเปลือกตมดังกล่าว คือ กามคุณ

     ขอให้ข้าพเจ้า ไม่พึงประกอบด้วย ทิฏฐิชั่ว พึงประกอบด้วย ทิฏฐิที่ดีงาม ไม่พึงคบมิตรชั่ว พึงคบแต่บัณฑิตทุกเมื่อ

       ขอให้ข้าพเจ้า เป็นบ่อที่เกิดแห่งคุณ คือ ศรัทธา สติ หริ โอตัปปะ ความเพียร และขันติ พึงเป็นผู้ที่ ศัตรูครอบงำไม่ได้ ไม่เป็นคนเขลา คนหลงงมงาย

       ขอให้ข้าพเจ้า เป็นผู้ฉลาดในอุบาย แห่งความเสื่อม และความเจริญ เป็นผู้เฉียบแหลม ในอรรถและธรรม ขอให้ญาณของข้าพเจ้า เป็นไปไม่ข้องขัด ในธรรมะที่ควรรู้ ประดุจลมพัดไปในอากาศฉะนั้น

      ความปรารถนาใดๆ ของข้าพเจ้า ที่เป็นกุศล ขอให้สำเร็จ โดยง่ายทุกเมื่อ คุณที่ข้าพเจ้า กล่าวมาแล้วทั้งปวงนี้ จงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้า ทุกภพทุกชาติ

      เมื่อใด พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แสดงธรรมเครื่องพ้นทุกข์ เกิดขึ้นแล้วในโลก เมื่อนั้น ขอให้ข้าพเจ้า พ้นจากกรรมอันชั่วช้าทั้งหลาย เป็นผู้ได้โอกาส แห่งการบรรลุธรรม

      ขอให้ข้าพเจ้า พึงได้ความเป็นมนุษย์ ได้เพศบริสุทธิ์ ได้บรรพชา อุปสมบทแล้ว เป็นคนรักศีล มีศีล ทรงไว้ซึ่งพระศาสนา ของพระบรมศาสดา

      ขอใด้เป็นผู้มีการปฏิบัติธรรมได้ โดยสะดวก ตรัสรู้ได้พลัน กระทำให้แจ้ง ซึ่งอรหัตผลอันเลิศ อันประกอบด้วยธรรมะ มีวิชชา เป็นต้น

     ถ้าหากพระพุทธเจ้า ไม่บังเกิดขึ้น แต่กุศลธรรม ของข้าพเจ้า เต็มเปี่ยมแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอให้ข้าพเจ้า พึงได้ญาณ เป็นเครื่องรู้เฉพาะตน อันสูงสุดเทอญฯ

นิพพาน ปัจจะโย โหตุ

 

 

บทสวดแผ่เมตตาอัปปมัญญา (แผ่เมตตาครอบจักรวาล)

อะหัง อะเวโร โหมิ
ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ไม่มีเวร
อัพยาปัชโฌ โหมิ
อย่าได้มีความอาฆาตพยาบาทและเบียดเบียน
อะนีโฆ โหมิ
อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจ
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ
ขอให้มีแต่ความสุขตลอดไป
มะมะ มาตาปิตุ
ขอให้มารดาบิดา
อาจาริยา จะ ญาติมิตตา จะ
ครูบาอาจารย์ ญาติสนิทมิตรสหาย
สะพราหมะจาริโน จะ
พร้อมทั้งเพื่อนประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลายของข้าพเจ้า
อะเวรา โหนตุ
จงอย่าได้มีเวร
อัพยาปัชฌา โหนตุ
อย่ามีความอาฆาตพยาบาทและเบียดเบียน
อะนีฆา โหนตุ
อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจ
สุขี อัตตานัง ปะริหรันตุ
ขอให้มีแต่ความสุขตลอดไป
อิมัสมิง อาราเม สัพเพ โยคิโน
ขอให้ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งปวง ในอารามแห่งนั้
อะเวรา โหนตุ
จงอย่าได้มีเวร
อัพยาปัชฌา โหนตุ
อย่าได้มีความอาฆาตพยาบาทและเบียดเบียน
อะนีฆา โหนตุ
อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจ
สุขี อัตตานัง ปริหะรันตุ
ขอให้มีแต่ความสุขตลอดไป
อิมัสมิง อาราเม สัพเพ ภิกขู
ขอให้พระภิกษุ
สามะเณรา จะ
สามเณร
อุปาสะกา อุปาสิกายา จะ
และอุบาสก  อุบาสิกา ทั้งปวงในอารามแห่งนี้
อะเวรา โหนตุ
จงอย่าได้มีเวร
อัพยาปัชฌา โหนตุ
อย่าได้มีความอาฆาตพยาบาทและเบียดเบียน
อะนีฆา โหนตุ
อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจ
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
ขอให้มีแต่ความสุขตลอดไป
อัมหากัง จะตุปัจจายะทา ยะกา
ขอให้ผู้ถวายปัจจัย๔ ให้แก่ข้าพเจ้า
อะเวรา โหนตุ
จงอย่าได้มีเวร
อัพยาปัชฌา โหนตุ
อย่าได้มีความอาฆาตพยาบาทและเบียดเบียน
อะนีฆา โหนตุ
อย่ามีความทุกข์กายทุกข์ใจ
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
ขอให้มีแต่ความสุข ตลอดไป
อัมหากัง อารักขา เทวาตา
ขอให้เหล่าเทวดาอารัก ที่อารักขาข้าพเจ้า
อิมัสมิง วิหาเร
และมหาเทวดาอารักที่อยู่ในวิหาร
อิมัสมิง อาวาเส
อาวาส
อิมัสมิง อาราเม
....... 
อารักขา เทวาตา
อารามแห่งนี้
อะเวรา โหนตุ
จงอย่าได้มีเวร
อัพยาปัชฌา โหนตุ
อย่าได้มีความอาฆาตพยาบาทและเบียดเบียน
อะนีฆา โหนตุ
อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจ
สุขี อัตตานัง ปะริหรันตุ
ขอให้มีแต่ความสุข ตลอดไป
สัพเพ สัตตา
ขอให้สัตว์ทั้งหลาย
สัพเพ ปาณา
สิ่งที่มีชีวิตทั้งปวง
สัพเพ ภูตา
ภูติทั้งปวง
สัพเพ ปุคคะลา
บุคคลทั้งปวง
สัพเพ อัตตภาวา ปริยาปันนา
สัตว์ที่เนื่องด้วยอัตภาพทั้งหลายทั้งปวง
สัพพา อิตถีโย
หญิงทั้งปวง
สัพเพ ปุริสา
ชายทั้งปวง
สัพเพ อริยา
พระอริยบุคคลทั้งปวง
สัพเพ อนริยา
ปุถุชนทั้งปวง
สัพเพ เทวา
ขอเทวาทั้งปวง
สัพเพ มนุสสา
มนุษย์ทั้งปวง
สัพเพ วินิปาติกา
สัตว์นรก อสุรกายทั้งหลายทั้งปวง
อะเวรา โหนตุ
จงอย่าได้มีเวร
อัพยาปัชฌา โหนตุ
อย่าได้มีความอาฆาตพยาบาทและเบียดเบียน
อะนีฆา โหนตุ
อย่ามีความทุกข์กายทุกข์ใจ
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
ขอให้มีแต่ความสุข ตลอดไป
ทุกขา มุจจันตุ
ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีกรรมเป็นของของตน
ยถาลัทธาสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ
จงพ้นจากความทุกข์ยากลำบาก จงอย่าแคล้วคลาดจากสมบัติ คือความสุข ความเจริญ ที่ตนจะพึงได้
กัมมัสสะกา
ขอสรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีกรรมเป็นของของตน
ปุรถิมายะ ทิสายะ
ที่อาศัยอยู่ในทิศบูรพา ( ทิศตะวันออก )
ปัจฉิมายะ ทิสายะ
ในทิศปัจฉิม ( ทิศตะวันตก )
อุตตรายะ ทิสายะ
ในทิศอุดร ( ทิศเหนือ )
ทักขิณายะ ทิสายะ
ในทิศทักษิณ ( ทิศใต้ )
ปุรถิมายะ อนุทิสายะ
ในทิศอาคเนย์ ( ทิศตะวันออกเฉียงใต้ )
ปัจฉิมายะ อนุทิสายะ
ในทิศพายัพ ( ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ )
อุตตระ อนุทิสายะ
ในทิศอิสาน ( ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ )
ทักขิณายะ อนุทิสายะ
ในทิศหรดี ( ตะวันตกเฉียงใต้ )
เหฎฐิมายะ ทิสายะ
ในทิศเบื้องล่าง
อุปาริมายะ ทิสายะ
ในทิศเบื้องบน
สัพเพ สัตตา
ขอสัตว์ทั้งหลาย
สัพเพ ปาณา
สิ่งที่มีชีวิตทั้งปวง
สัพเพ ภูตา
ภูติทั้งปวง
สัพเพ ปุคคะลา
บุคคลทั้งปวง
สัพเพ อัตตภาวา ปริยาปันนา
สัตว์ที่เนื่องด้วยอัตภาพทั้งหลายทั้งปวง
สัพพา อิตถีโย
หญิงทั้งปวง
สัพเพ ปุริสา
ชายทั้งปวง
สัพเพ อริยา
พระอริยบุคคลทั้งปวง
สัพเพ อนริยา
ปุถุชนทั้งปวง
สัพเพ เทวา
เทวาทั้งปวง
สัพเพ มนุสสา
มนุษย์ทั้งปวง
สัพเพ วินิปาติกา
สัตว์นรก อสุรกายทั้งหลายทั้งปวง
อะเวรา โหนตุ
จงอย่าได้มีเวร
อัพยาปัชฌา โหนตุ
ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีกรรมเป็นของของตน
อะนีฆา โหนตุ
อย่ามีความทุกข์กายทุกข์ใจ
สุขี อัตตานัง ปะริหรันตุ
ขอให้มีแต่ความสุขตลอดไป
ทุกขา มุจจันตุ
ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีกรรมเป็นของของตน
ยถาลัทธา สัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ
จงพ้นจากความทุกข์ยากลำบาก จงอย่าแคล้วคลาดจากสมบัติ คือความสุข ความเจริญ ที่ตนจะพึงได้
กัมมัสสะกา
ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีกรรมเป็นของของตน
อุทธัง ยาวะ ภะวัคคา จะ
เบื้องบนไปจนถึงภวัคคพรหมณ์
อโธ ยาวะ อวิจจิโต
เบื้องล่างไปจนกระทั่งถึงอเวจีมหานรก
สมันตา จักกะวาเลสุ
โดยรอบแห่งจักรวาล
เย สัตตา ปถวิจารา
ขอให้สัตว์ทั้งหลายที่ท่องเที่ยวไปบนแผ่นดิน
อัพยาปัชฌา นิเวรา จะ
จงอย่าได้มีความอาฆาต พยาบาตและเบียดเบียน
นิทุกขา จะ นุปัททวา
ปราศจากเวร ปราศจากทุกข์ ปราศจากอันตรายทั้งปวง
อุทธัง ยาวะ ภะวัคคา จะ
ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีกรรมเป็นของของตน
อโธ ยาวะ อวิจจิโต
เบื้องบนไปจนถึงภวัคคพรหมณ์ เบื้องล่างไปจนกระทั่งถึงอเวจีมหานรก
สมันตา จักกะวาเลสุ
โดยรอบแห่งจักรวาล
เย สัตตา อุทักเขจารา
ขอให้สัตว์ทั้งหลายที่ท่องเที่ยวไปในน้ำ
อัพยาปัชฌา นิเวรา จะ
จงอย่าได้มีความอาฆาต พยาบาตและเบียดเบียน
นิทุกขา จะ นุปัททวา
ปราศจากเวร ปราศจากทุกข์ ปราศจากอันตรายทั้งปวง
อุทธัง ยาวะ ภะวัคคา จะ
ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีกรรมเป็นของของตน
อโธ ยาวะ อวิจิโต
เบื้องบนไปจนถึงภวัคคพรหมณ์ เบื้องล่างไปจนกระทั่งถึงอเวจีมหานรก
สมันตา จักกะวาเฬสุ
โดยรอบแห่งจักรวาล
เย สัตตา ปฐวีจารา
ขอให้สัตว์ทั้งหลายที่ท่องเที่ยวใปในอากาศ
อัพยาปัชฌา นิเวรา จะ
จงอย่าได้มีความอาฆาต พยาบาตและเบียดเบียน
นิทุกขา จะ นุปัททวา
ปราศจากเวร ปราศจากทุกข์ ปราศจากอันตรายทั้งปวงเทอญ

 

ความเข้าใจเรื่องการแผ่เมตตา

     การแผ่เมตตา คือ การตั้งความปรารถนาดีไปในมวลสรรพสัตว์  ตลอดจนเทพเทวาภูติ ผี ปีศาจทั้งหลายไม่มีประมาณ  ไม่มีขอบเขต  ไร้พรมแดนขีดขั้น ไม่ว่าเขาผู้นั้น หรือสัตว์นั้นจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนาอะไร จะเกี่ยวข้องกับเราโดยความเป็นญาติ  โดยความเป็นประเทศ เชื้อชาติ ศาสนาหรือไม่ก็ตาม ให้มีจิตกว้างขวางไร้พรมแดน ไม่มีขอบเขตขีดขั้น ขอให้เขาได้มีความสุข  อย่าได้มีความทุกข์ระทมขมขื่นใจ

     ตามหลักการแผ่เมตตาในทางพระพุทธศาสนานั้น ในชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง สิ่งที่ทุกคนปรารถนาก็คือความสุข และต้องการหลีกเลี่ยงจากภัยอันตรายต่างๆ  ซึ่งจะทำให้ชีวิตเป็นทุกข์  เราต้องการความสุขอย่างไรคนอื่นและสัตว์อื่นก็ต้องการความสุขอย่างนั้น 

    พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เอาความรู้สึกตัวเราเองเป็นเครื่องเปรียบเทียบ วัดความรู้สึกของคนอื่นและสัตว์อื่น จะได้เห็นอกเห็นใจมีเมตตาต่อคนอื่นและสัตว์อื่นมากขึ้น  แล้วไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน 

  การแผ่เมตตาจึงควรแผ่ให้ทั้งแก่ตนและคนอื่นตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลาย  โดยตั้งความปรารถนาให้ทุกสรรพชีวิตมีความสุขเสมอกัน

    ก่อนแผ่เมตตาควรทำสมาธิ ๓-๕ นาที น้อยหรือมากกว่านั้นตามโอกาส  เพื่อให้จิตอ่อนโยน งดงาม  สว่างสะอาด  ผ่องแผ้ว  จิตที่ผ่องแผ้วอันเกิดจากกำลังสมาธิ แม้จะชั่วระยะเวลาอันสั้น  ก็เป็นจิตที่ว่างจากความอาฆาตพยาบาท ความอิจฉาริษยา ว่างจากกามราคะ และว่างจากความหม่นหมองเศร้าซึม ลังเลสงสัยจับจดไม่แน่นอน เป็นจิตที่มีพลัง จึงเหมาะแก่การแผ่เมตตา

    ในการแผ่เมตตา ไม่จำเป็นต้องกล่าวเป็นภาษาบาลีเสมอไป  จะนึกเป็นภาษาไทยก็ได้  แม้จะไม่กล่าวเป็นภาษาบาลีก็ให้นึกเป็นภาษาไทย  ขอให้เป็นภาษาของความรู้สึก  เรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ  รู้สึกเมตตาสงสารการเกิดของตนเองที่ต้องเผชิญความทุกข์ ความเศร้าโศก โรคภัยไข้เจ็บ และต้องเผชิญกับความแก่ความเจ็บความตายไม่รู้จักจบสิ้น 

    ความรู้สึกนี้ให้เกิดตลอดไปจนถึงสรรพสัตว์ทุกจำพวกทุกหมู่เหล่า ไร้ขอบเขต ไร้พรมแดน ไร้เชื้อชาติศาสนา แม้แต่ศัตรูที่จ้องทำลายล้างเราก็ให้รู้สึกเช่นนั้น  ให้นึกไปถึงสิ่งที่มองไม่เห็นเช่น เทวาอารักษ์พระภูมิเจ้าที่ทั้งหลายด้วย

 


อ้างอิงจาก www.dmc.tv

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.054026647408803 Mins