พระสูตร สะติปัฏฐานะปาโฐ
บทขัดสะติปัฏฐานะปาโฐ
สะติปัฏฐานะปาโฐ
อัตถิ โข เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปัสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ เอกายะโน อะยัง มัคโค สัมมะทักขาโต สัตตานัง วิสุทธิยา โสกะปะริเทวานัง. สะมะติกกะมายะ ทุกขะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมายะ ญายัสสะ อะธิคะมายะ นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ ยะทิทัง จัตตาโร สะติปัฏฐานา, กะตะเม จัตตาโร.
อิธะ ภิกขุกาเย กายานุปัสสีวิหะระติอาตาปีสัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ อาตาปีสัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง.
กะถัญจะ ภิกขุกาเยกายานุปัสสี วิหะระติ. อิธะ ภิกขุอัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสีวิหะระติพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสีวิหะระติ สะมุทะยะธัมมานุปัสสีวา กายัส๎มิง วิหะระติวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสีวา กายัส๎มิง วิหะระติอัตถิกาโยติวา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ ยาวะเทวะญาณะมัตตายะ ปะฏิสสะติมัตตายะ อะนิสสิโต จะ วิหะระตินะจะ กิญจิโลเก อุปาทิยะติ. เอวัง โข ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ.
กะถัญจะ ภิกขุ เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสีวิหะระติ. อิธะ ภิกขุ อัชฌัตตังวาเวทะนาสุเวทะนานุปัสสีวิหะระติพะหิทธาวา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสีวิหะระติ. อัชฌัตตะพะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนา นุปัสสี วิหะระติ สะมุทะยะธัมมานุปัสสีวา เวทะนาสุวิหะระติวะยะธัมมานุปัสสีวา เวทะนาสุวิหะระติ สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสีวา เวทะนาสุ วิหะระติอัตถิ เวทะนาติวา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติยาวะเทวะญาณะมัตตายะ ปะฏิสสะติมัตตายะ อะนิสสิโต จะ วิหะระติ นะ จะ กิญจิโลเก อุปาทิยะติ. เอวัง โข ภิกขุ เวทะนาสุเวทะนานุปัสสีวิหะระติ.
กะถัญจะ ภิกขุจิตเตจิตตานุปัสสีวิหะระติ. อิธะ ภิกขุอัชฌัตตัง วา จิตเต จิตตานุปัสสีวิหะระติพะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. อัชฌัตตะพะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปัสสีวิหะระติ สะมุทะยะธัมมานุปัสสีวา จิตตัส๎มิง วิหะระติวะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัส๎มิง วิหะระติสะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสีวา จิตตัส๎มิง วิหะระติอัตถิจิตตันติวา ปะนัสสะ สะติปัจจุปัฏฐิตา โหติ ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะฏิสสะติมัตตายะ อะนิสสิโต จะ วิหะระตินะจะ กิญจิโลเก อุปาทิยะติ. เอวัง โข ภิกขุจิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ.
กะถัญจะ ภิกขุธัมเมสุธัมมานุปัสสีวิหะระติ. อิธะ ภิกขุ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุธัมมานุปัสสีวิหะระติพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสีวิหะระติ. อัชฌัตตะพะหิทธาวาธัมเมสุธัมมานุปัสสี วิหะระติ. สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ วะยะธัมมานุปัสสีวา ธัมเมสุ วิหะระติสะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสีวา ธัมเมสุ วิหะระติอัตถิธัมมาติวา ปะนัสสะสะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะฏิสสะติมัตตายะ อะนิสสิโต จะ วิหะระตินะ จะ กิญจิโลเก อุปาทิยะติ. เอวัง โข ภิกขุธัมเมสุธัมมานุปัสสี วิหะระติ.
อะยัง โข เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปัสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ เอกายะโน มัคโค สัมมะทักขาโต สัตตานัง วิสุทธิยา โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ ทุกขะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมายะ ญายัสสะ อะธิคะมายะ นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ ยะทิทัง จัตตาโร สะติปัฏฐานาติ.
สะติปัฏฐานะปาโฐ แปล
อัตถิ โข เตนะ ภะคะวะตา ขานะตา
หนทางสายนี้ ซึ่งเป็นทางไปสายเอก
ปัสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้แจ้งเห็นจริง
เอกายะโน อะยัง มัคโค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ได้ตรัสไว้โดยชอบ
สัตตานัง วิสุทธิยา
เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย
โสกะปะริเทวานัง สะมะติกะมายะ
เพื่อก้าวล่วงความโศกและความร่ำไร
ทุกขะโทมะนัสสังนัง อัตถังคะมายะ
เพื่อความอัศดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส
ญายัสสะ อะธิคะมายะ
เพื่อบรรลุญายธรรม
นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ
เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน มีอยู่แล
ยะทิทัง จัตตาโร สติปัฏฐานะ
หนทางสายนี้ ก็คือ สติปัฏฐาน ๔
กะตะเม จัตตาโร
สติปัฏฐาน ๔ มีอะไรบ้าง
๑. อิธะ ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้พิจารณา
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา
เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียร
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
เครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
๒. เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ
ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา
เธอย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
มีความเพียรเครื่องเผากิเลสมีสัมปชัญญะ มีสติ
๓. จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ
ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา
เธอย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำมีสัมปชัญญะ มีสติ
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้
๔.ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่เป็น
อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา
ประจำ มีสัมปชัญญะ มีสติ
วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้
๕. กะถัญจะ ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ อัชฌัตตังวา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
ภิกษุย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยุ่เป็นประจำอย่างไรเล่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายในกายเป็นภายในบ้าง
พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นกายในภายนอกบ้าง
อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นกาย ทั้งกายในและภายนอกบ้าง
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา อายัสมิง วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัสมิง วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมไปในกายบ้าง
สะมุทะยะวะธัมมานุปัสสี วา กายัสมิง วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในกายบ้าง
อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ
ก็หรือว่า ความระลึกว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่
สติปัจจุปัฏฐิตา โหติ
เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะฏิสะติมัตตายะ
แค่เพียงสักว่าเป็นทีอาศัยระลึกแค่เพียงสักวาเป็นที่รู้
อะนิสสิโต จะ วิหะระตินะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ
เธอย่อมไม่ติดอยู่และย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นไรๆ ในโลก
เอวัง โข ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่อย่างนี้แล
๖. กะถัญจะ ภิกขุ เวทะนาสื
ก็ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา
เวทะนานุปัสสี วิหะระติ
ทั้งหลายอยู่เนืองๆ อย่างไรเล่า
อิธะ ภิกขุ อัชฌัตตั้ง วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายเป็นภายในบ้าง
พะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายเป็นภายนอกบ้าง
อัชฌัตตะพะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาทั้งหลาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเกิดขึ้นในเวทนาทั้งหลายบ้าง
วะยะธัมมานุปัสสีวา เวทนาสุ วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเสื่อมไปแห่งเวทนาบ้าง
สุมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปแห่งเวทนาบ้าง
อัตถิ เวทะนาติ วา ปะนัสสะ สติปัฏจุปัฏฐิตา โหติ
ก็หรือความระลึกว่ากายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะฏิสสะติมัตตายะ
แค่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แค่เพียงสักว่าเป็นที่อาสัยระลึก
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ
เธอย่อมไม่ติดอยู่และย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆ ในโลก
เอวัง โข ภิกขุ เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสิ วิหะระติ
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เนืองๆ อย่างนี้ แล
๗. กะถัญจะ ภิกขุ จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ
ก็ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆอยู่เป็นอย่างไร
อิธะ ภิกขุ อัชฌัตตัง วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ
ภิกษุโนธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นภายในบ้าง
พะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นภายนอกบ้าง
อัชฌัตตะพะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งเป็นภายใน ทั้งเป็นภายนอกบ้าง
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัสมิง วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือ ความเกิดขึ้นในจิตบ้าง
วะยะธัมมานุปัสสีวา จิตตัสมิง วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเสื่อมไปในจิตบ้าง
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัสมิง วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในจิตบ้าง
อัตถิ จิตตันติ วา ปะนัสสะ สะติ
ก็หรือว่า ความระลึกว่า มีจิตๆ ย่อมปรากฏอยู่
ปัจจุปัฏฐิตา โหติ
เฉพาะหน้าเธอนั่น
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ
เพียงแต่สักรู้ว่า เพียงแต่สักว่า
ปะฏิสสะติมัตตายะ
เป็นที่อาศัยระลึก
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ
เธอย่อมไม่ติดอยู่
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ
และย่อมไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
เอวัง โข ภิกขุ จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เนืองๆ อย่างนี้แล
๘. กถัญจะ ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
ก็ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเนื่องๆ อยู่อย่างไร
อิธะ ภิกขุ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นธรรมใน
ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
ธรรมทั้งหลาย เป็นภายในบ้าง
พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเป็นภายนอกบ้าง
อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายทั้ง
ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
ภายในทั้งภายนอกบ้าง
สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือ ความเกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายบ้าง
วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเสื่อมไปในธรรมทั้งหลายบ้าง
สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปในธรรมทั้งหลายบ้าง
อัตถิ ธัมมาติ วา ปะนัสสะ สะติ
ก็หรือว่า ความระลึกว่า
ปัจจุปัฏฐิตา โหติ
ธรรมทั้งหลายมีอยู่
ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ
ย่อมปรากฏอยู่ต่อหน้าเธอ
ปะฏัสสะติมัตตายะ
เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่า
อะนิสสิโต จะ วิหะระติ
เป็นที่อาศัยระลึกเท่านั้น
นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ
เธอย่อมไม่ติดอยู่ และย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นสิงไรๆ ในโลก
เอวัง โข ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเนืองๆ อยู่อย่างนี้แล
อะยัง โข เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา
หนทางสายนี้แหละ เป็นหนทางสายเอก
ปัสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ เอกายะโน มัคโค สัมมะทักขาโต
ซึ่งพระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้แจ้งเห็นจริง อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้โดยชอบ
สัตตานัง วิสุทธิยา
เพื่อความหมดจดวิเศษของสัตว์ทั้งหลาย
โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ
เพื่อความก้าวล่วงความเศร้าโศกและความคร่ำครวญพิไรรำพัน
ทุกขะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมายะ
เพื่อความอัศดงค์ดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส
ญายัสสะ อะธิคะมายะ นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ
เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง
ยะทิทัง จัตตาโร สติปัฏฐานาติ
หนทางที่กล่าวถึงซึ่งเป็นหนทางสายเอกนี้ก็คือ สติปัฏฐาน ๔
เอกายะนัง ชาติขะยันตะทัสสี
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เล็งเห็นพระนิพพาน
มัคคัง ปะชานาติ หิตานุกัมปี
ผู้ทรงอนุเคราะห์หมู่สัตว์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล
เอเตนะ มัคเคนะ ตะริงสุ ปุพเพ
ย่อมทรงรู้แจ้งซึ่งหนทางสายเอก ในอดีต อนาคต
ตะริสสะเร เจวะ ตะรันติ โจฆันติ
หรือแม้กระทั่งในปัจจุบัน สัตว์ทั้งหลายล้วนใช้หนทางสายเอกนั้นข้ามห้วงน้ำคือกิเลส
** อ้างอิงจากหนังสือ มนต์วิธานและศาสนพิธี **
เหมาะสําหรับภิกษุผู้นวกะพระเถระและพุทธศาสนิกชนผู้สนใจทั่วไป
* ขออนุโมทนาบุญกับเสียงสวดมนต์จาก omasign san youtube