สวดแจง
พระวินัย
ยันเตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปัสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ ปะฐะมัง ปาราชิกัง กัตถะ ปัญญัต-ตันติ ฯ เวสาลิยัง ปัญญัตตันติฯกังอารัพภาติฯ สุทินนังกะลันทะปุตตัง อารัพภาติฯ กัส๎มิง วัตถุส๎มินติฯ สุทินโน -กะลันทะปุตโต ปุราณะทุติยิกายะ เมถุนัง ธัมมัง ปะฏิเสวิตัส๎มิง วัตถุส๎มินติฯ
เตนะ สะมะเยนะ พุทโธ ภะคะวา เวรัญชายัง วิหะระตินะ เฬรุปุจิมันทะมูเล มะหะตา ภิกขุสังเฆนะ สัทธิง -ปัญจะมัตเตหิ ภิกขุสะเตหิฯ
อัสโสสิโขเวรัญโช พราหมะโณ สะมะโณ ขะลุโภ โคตะโม สัก๎ยะปุตโต สัก๎ยะกุลา ปัพพะชิโต เวรัญชายัง วิหะระตินะ เฬรุปุจิมันทะมูเล มะหะตา ภิกขุสังเฆนะ สัทธิง ปัญจะมัตเตหิ ภิกขุสะเตหิ
ตังโข ปะนะ ภะวันตัง โคตะมัง เอวัง กัล๎ยาโณ กิตติสัทโท อัพภุคคะโต อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา-สัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิสัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ
โส อิมัง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพรัหมะกัง สัสสะมะณะพราหมะณิง ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง สะ-ยัง อะภิญญา สัจฉิกัต๎วา ปะเวเทติโส ธัมมัง เทเสติอาทิกัล๎ยาณัง มัชเฌกัล๎ยาณัง ปะริโยสานะกัล๎ยาณัง สาตถัง สะพยัญชะนัง เกวะละปะริปุณณัง ปะริสุทธัง พรัหมะจะริยัง ปะกาเสติฯ
สาธุโข ปะนะตะถารูปานังอะระหะตัง ทัสสะนัง โหตีติ
พระสูตร
เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา อันตะรา จะ ราชะคะหังอันตะราจะ นาลันทังอัทธานะมัคคะปะฏิ-ปันโน โหติ มะหะตา ภิกขุสังเฆนะ สัทธิง ปัญจะมัตเตหิภิกขุสะเตหิฯ สุปปิโยปิโข ปะริพพาชะโกอันตะราจะราชะคะหังอันตะราจะ นาลันทัง อัทธานะมัคคะปะฏิปันโน โหติสัทธิง อันเตวาสินา พรัหมะทัตเตนะ มาณะเวนะฯตัต๎ระ สุทัง สุปปิโย ปะริพพาชะโก อะเนกะปะริยาเยนะ พุทธัสสะ อะวัณณัง ภาสะติธัมมัสสะ อะวัณณัง ภาสะ-ติสังฆัสะ อะวัณณัง ภาสะติฯ สุปปิยัสสะ ปะนะ ปะริพพาชะกัสสะ อันเตวาสีพรัหมะทัตโต มาณะโว อะเนกะปะริ-ยาเยนะ พุทธัสสะ วัณณัง ภาสะติธัมมัสสะ วัณณัง ภาสะติ สังฆัสสะ วัณณัง ภาสะติ ฯ อิติหะ เต อุโภ อาจะริยันเตวาสี อัญญะมัญญัสสะ อุชุวิปัจจะนิกะวาทา ภะคะวันตัง ปิฏฐิโต ปิฏฐิโตอะนุพันธาโหนติภิกขุสังฆัญจะ
คำแปล ความหมาย
พระวินัย
ในการทำสังคายนา ครั้งที่ ๑ พระมหากัสสปเถระผู้เป็นประธานได้สอบถามพระอุบาลีผู้มีหน้าที่วิสัชชาพระวินัย ดังนี้.-
พระมหากัสสปะ ถามว่า - พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบัญญัติพระวินัยว่าด้วยอาบัติปาราชิก สิกชาบทที่ ๑ ณ ที่ไหน?
พระอุบาลี ตอบว่า - พระองค์ทรงบัญญัติพระวินัยว่าด้วยอาบัติปาราชิกสิกชาบทที่ ๑ ณ กรุงไพสาลี ฯ
พระมหากัสสปะ ถามว่า - พระองค์ทรงปรารภถึงใคร?
พระอุบาลี ตอบว่า - พระองค์ทรงปรารภถึง พระสุทิน ผู้เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อ กลันทะ ฯ
พระมหากัสสปะ ถามว่า - ทรงปรารภถึงพระสุทิน ผู้เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อ กลันทะ ในเพราะเรื่องอะไร?
พระอุบาลี ตอบว่า - ในเพราะเรื่อวที่พระสุทิน ผู้เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อ กลันทะ ได้ร่วมประเวณีกับ ภรรยาเก่า (ภรรยาสมัยเป็นฆราวาส)
สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับยับยั้งอยู่ที่โคมต้นสะเดา ซึ่งเป็นที่อยู่ของยักษ์ชื่อ นเฬรุ พร้อมด้วยหมู่ภิกษุจำนวนมากประมาณ ๕๐๐ รูป
ก็แล พราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่า เวรัญชะ ได้ยินเสียงเล่าลืมมาอย่างนี้ว่า "ข่าวว่าพระสมณโคดมศากยบุตรผู้เจริญได้เสด็จออกผนวชจากศากยสกุล เสด็จประทับยับยั้งอยู่ที่โคมต้นสะเดา ซึ่งเป็นที่อยู่ของยักษ์ชื่อ นเฬรุ พร้อมด้วยหมู่ภิกษุจำนวนมากประมาณ ๕๐๐ รูป"
ก็เสียงยกย่องสรรเสริญคุณงามความดีของพระโคดมผู้เจริญ ได้ฟุ้งขจรขจายไปอย่างนี้ว่า "มีเสียงยกย่องสรรเสริญอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ผู้ควรกราบไหว้บูชา เป็นผูัตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้ และความประพฤติปฏิบัติอันงาม เป็นผู้เสด็จไปสู่ที่ดีงามคือพระนิพพาน เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นผู้สามารถฝึกคนที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยมไม่มีผู้อื่นเทียบได้ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้วเบิกบานแล้ว และเป็นผูสามารถจำแนกธรรมสอนหมู่สัตว์ได้ถูกต้องตามอัธยาศัยฯ"
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงทำพระนิพพานให้แจ้งเองด้วยพระปัญญาอันยิ่ง แล้วทรงสอนโลกนี้ กับทั้งเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ ตลอดถึงเทวดาและมนุษย์ ให้รู้ตามพระองค์ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงแสดงธรรมอันงาม ในเบื้องต้น คือศีล ธรรมอันงามในท่ามกลาง คือสมาธิ และธรรมอันงามในที่สุด คือปัญญา ทรงประกาศแสดงถึงการปฏิบัติให้ถึงความเป็นผู้ประเสริฐ พร้อมทั้งอธิบายความละเอียดและข้อปฏิบัติให้เข้าถึงความเป็นผู้ประเสริฐนั้นอย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์ โดยไม่ให้มีข้อสงสัย ฯ
ก็การได้เห็นหมู่พระอรหันต์ผู้งามเห็นปานนั้น เป็นการดียิ่งแล ฯ
พระสูตร
พระอานนทเถรพุทธอุฏฐาก ได้กล่าวแสดงต่อคณะสงฆ์ ในการทำสังคายนาครั้งที่ ๑ ว่าดังนี้.-
ข้าพเจ้าได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า ในสมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จดำเนินไปในหนทางไกล ระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทา พร้อมด้วยหมู่ภิกษุจำนวนมากประมาณ ๕๐๐ รูป
ก็ในคราวนั้นมีปริพาชกผู้หนึ่งชื่อว่า สุปิยะ พร้อมด้วยลูกศิษย์ซึ่งเป็นเด๋กหนุ่มชื่อว่า พรหมทัต ก็ได้เดินทางไปในหนทางไกล ระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทานั้นด้วย
ทราบว่าในระหว่างเดินทางนั้น สุปิยปริพาชก ผู้อาจารย์ได้กล่าวโทษพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอันมาก
แต่ว่าพรหมทัต มานพผู้เป็นลูกศิษย์ ของสุปิยปริพาชกนั้น ได้กล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอันมาก
อาจารย์กับลูกศิษย์ทั้งสองคน ได้กล่าวถ้อยคำที่ขัดกันแบบตรงกันข้าม พร้อม ๆ กับเดินตามหลังพระผู้มีพระภาคเจ้าและหมู่ภิกษุไปด้วยอาการอย่างนี้ ฯ
** อ้างอิงจากหนังสือ มนต์วิธานและศาสนพิธี ** เหมาะสําหรับภิกษุผู้นวกะพระเถระและพุทธศาสนิกชนผู้สนใจทั่วไป