การบรรลุธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสร้างบารมีมานานนับได้ 20 อสงไขย แสนมหากัป เมื่อบารมีเต็มเปียมแล้ว ในภพชาติสุดท้ายจึงได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เส้นทางการบรรลุธรรมในภพชาติสุดท้ายนั้นเริ่มตั้งแต่ในตอนต้นแห่งชีวิตครั้งยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านได้เสวยสุขจากความเพียบพร้อมด้วยความสุขอย่างโลกๆ ที่ได้รับจากการเป็นราชบุตรซึ่งกำลังจะได้รับ สืบทอดตำแหน่งพระราชา ผู้มีอำนาจสูงสุดในแว่นแคว้นและในอีก 7 วัน ก็จะได้เป็นถึงพระเจ้าจักรพรรดิครอบครองราชสมบัติอันยิ่งใหญ่ แต่พระองค์ก็ได้ทรงพิจารณาเห็นแล้วว่า แนวทางแห่งการเข้าถึงความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ไม่สามารถที่จะนำตนและบุคคลอื่นให้เข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้ พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัย สละชีวิตในพระราชวังที่สมบูรณ์ด้วยกามคุณต่างๆ ประพฤติตนเฉกเช่นนักบวช ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ และแสวงหาวิถีทางเพื่อให้เข้าถึงความหลุดพ้นจากทุกข์
ในการแสวงหาของพระองค์ กล่าวกันว่า พระองค์ได้ทรงพบกับดาบสองท่าน คือ อาฬารดาบ และ อุทกดาบ และก็ได้ลองฝึกปฏิบัติสมาธิตามแนวทางของทั้งสองท่าน จนกระทั่งได้อภิญญา 5 สมาบัติ 8 สามารถแสดงฤทธิ์โดยประการต่างๆ ได้ ซึ่งถือว่าปฏิบัติได้จนสิ้นภูมิรู้ครูอาจารย์ แต่พระองค์ก็พบว่าหาใช่หนทางที่พระองค์ปรารถนาไม่ ทั้งยังไม่ใช่หนทางที่ทำให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้อย่างแท้จริง จึงได้ทดลองด้วยการบำเพ็ญทุกกรกิริยาอย่างอุกฤษฏ์ตามที่ปฏิบัติกันมากในสมัยนั้น ทรงทดลองปฏิบัติทุกวิธีสุดท้ายจึงได้ทดลองอดพระกระยาหารเป็นเวลาหลายเดือน แต่ก็ยังไม่ค้นพบหนทางหลุดพ้น เมื่อพิจารณาใคร่ครวญอย่างถ่องแท้แล้วว่า ไม่อาจนำตนให้พ้นจากทุกข์ จึงทรงเลิกปฏิบัติ ในขณะนั้น ได้ทรงระลึกถึงวันที่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ได้ทรงนั่งที่ใต้ร่มไม้หว้า ที่มีบรรยากาศอันเป็นที่สบาย และได้เข้าถึงสภาวะจิตที่เป็นสมาธิแน่วแน่ จึงได้พิจารณาเห็นถึงการปฏิบัติที่เป็นทางสายกลาง ไม่ตึง ไม่หย่อนเกินไปว่า น่าจะเป็นทางบำเพ็ญเพียรเพื่อการหลุดพ้น
ในวันตรัสรู้ พระองค์ได้รับข้าวมธุปายา ซึ่งเป็นข้าวปรุงรส ที่ สมบูรณ์ด้วยคุณค่าทางโภชนาหารจากนางสุชาดา เมื่อได้เสวยข้าวมธุปายา ทำให้ร่างกาย สดชื่นมีกำลังแล้ว พระองค์ทรงรับเอาฟ่อนหญ้าจากพราหมณ์ผู้หนึ่งและได้มาปูลาดใต้โคนไม้ศรีมหาโพธิ์ แล้วอธิษฐานจิตด้วยบุญฤทธิ์ ทำให้ฟ่อนหญ้านั้นเป็น รัตนบัลลังก์สูง 18 ศอก ทรงนั่งขัดสมาธิคู้บัลลังก์ ณ ภายใต้ควงไม้ศรีมหาโพธิ์ และได้เริ่มตั้งความเพียรเป็นจาตุรังควิริยะว่า "แม้เนื้อเลือดจะแห้งเหือดหายไป เหลือแต่กระดูก หนังก็ตามที หากไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จะไม่ลุกจากที่นี้เป็นเด็ดขาด" และด้วยการบำเพ็ญเพียรทางจิตในคืนวันเพ็ญ เดือนวิสาขะนั้นเอง ในปฐมยามคือยามแรก ในตอนหัวค่ำพระองค์ก็ทรงเข้าถึงพระธรรมกาย อันเป็นกายตรัสรู้ที่พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ได้บรรลุบุพเพนิวาสานุสติญาณสามารถที่จะระลึกชาติของพระองค์เองได้ ในยามที่ 2 เมื่อเวลาเข้าใกล้เที่ยงคืน ทรงเข้าถึง แจ่มแจ้งในจุตูปปาตญาณ รู้แจ้งในการเกิดและการตายของสัตว์ที่ได้ทำกรรมต่างๆ กัน ซึ่งทำให้มีกำเนิดสูงต่ำต่างกัน และก่อนใกล้รุ่ง ทรงเข้าถึงอาสวักขยญาณสามารถกำจัดกิเลส ให้หมดไปประดุจพระอาทิตย์กำจัดความมืดให้หมดสิ้นไป เข้าถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้หลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลส ทั้งหลาย เข้าสู่ความเป็นอิสระแท้จริงของชีวิต
หนทางที่ทำให้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงค้นพบนั้น เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง เป็นหนทางหรือข้อปฏิบัติ ที่ไม่ตึงเกินไปจนสร้าง ความลำบากแก่ตน(อัตตกิลมถานุโยค) ไม่หย่อนเกินไปจนเป็นการพอกพูนกามกิเลส (กามสุขัลลิกานุโยค)
มัชฌิมาปฏิปทานี้ ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่กล่าวถึงปฐมเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสกับพระปัญจวัคคีย์ ให้ได้ทราบถึงทางที่ทำให้พระองค์ตรัสรู้ไว้ว่า หมายถึง "อริยมรรค มีองค์ 8 คือสัมมาทิฏฐิสัมมาสังกัปโปสัมมาวาจาสัมมากัมมันโตสัมมาอาชีโวสัมมาวายาโม สัมมาสติสัมมาสมาธิ"
มรรคมีองค์ 8 นี้เอง ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า "ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุด องอย่างนั้นนั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่งเพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน"
จากหนังสือ DOU
วิชา MD102 หลักการเจริญสมาธิภาวนา
กลุ่มวิชาสูตรสำเร็จการพัฒนาสังคมโลก