ลูกสะใภ้ยอดกัลยาณมิตร
ในสมัยพุทธกาล ณ เมืองอุคคะ มีเศรษฐีท่านหนึ่ง ชื่อว่า อุคคะ เป็นเพื่อนสนิทของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนหนังสือด้วยกัน วันหนึ่งท่านทั้งสองได้ตกลงกันว่า ภายภาคหน้าเมื่อเราทั้งสองเจริญวัยมีครอบครัว และมีบุตรธิดาแล้ว หากผู้ใดขอลูกสาวเพื่อลูกชายตน ผู้นั้นก็ต้องให้ลูกสาวเมื่อทั้งสองเรียนจบแล้วต่างก็ได้แยกย้ายกันไปครองตำแหน่งเศรษฐีอยู่ในเมืองของตน
ต่อมาอุคคเศรษฐี ได้เดินทางไปยังเมืองสาวัตถีด้วยเกวียน 500 เล่ม เพื่อทำการค้าขายพออนาถบิณฑิกเศรษฐีทราบข่าวการมาของสหาย จึงเรียกนางจูฬสุภัททาผู้เป็นธิดาของตนมาแล้วสั่งว่า"ลูกเอ๋ย บิดาของเจ้าชื่ออุคคเศรษฐี ได้เดินทางมายังเมืองของเราแล้ว กิจที่สมควรทำแก่เขา พ่อขอมอบให้เป็นหน้าที่ของลูกก็แล้วกัน" นางรับคำแล้วก็ได้จัดโภชนะรสเลิศด้วยมือของตนเอง แล้วยังได้ตระเตรียมสิ่งของต่างๆ มีพวงดอกไม้ ของหอม และเครื่องลูบไล้เป็นต้นไว้ต้อนรับ เวลาที่ท่านเศรษฐีนั้นบริโภค ก็จัดแจงน้ำสำหรับอาบไว้คอย พอท่านเศรษฐีไปอาบน้ำ ก็ทำภารกิจทุกอย่างจนสำเร็จเรียบร้อยไม่มีที่ติเตียน
อุคคเศรษฐีได้เห็นกิริยามารยาท และการเอาใจใส่ในหน้าที่การงานของนางแล้ว ก็เกิดความพออกพอใจยิ่งนัก จึงได้นั่งสนทนากับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้เป็นสหาย ปรารภถึงความหลังครั้งยังเป็นหนุ่มและกติกาที่ได้ตกลงกันเอาไว้ ก็เลยสู่ขอนางจูฬสุภัททาให้เป็นภรรยาของบุตรชายตน โดยปกติแล้วอุคคเศรษฐีเป็นมิจฉาทิฏฐิมีความเห็นผิด ไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเหมือนอย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ดังนั้นท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงนำเรื่องนี้เข้าไปกราบทูลให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบพระพุทธองค์ทรงเห็นอุปนิสัย แห่งการบรรลุธรรมของอุคคเศรษฐีจึงทรงอนุญาต ท่านเศรษฐีก็กลับมาบอกภรรยาแล้วก็ได้ให้คำตอบแก่อุคคเศรษฐี ในที่สุดก็ได้จัดงานดุจงานวิวาห์ที่ธนัญชัยเศรษฐีจัดให้นางวิสาขาผู้เป็นธิดา
ในวันที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจะส่งลูกสาวไปนั้น ได้ถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์โดยมีพระพุทธองค์เป็นประมุข แล้วได้ส่งธิดาไปด้วยสักการะอันยิ่งใหญ่ มหาชนพร้อมกับตระกูลของสามีในเมืองอุคคนครก็ได้ทำการต้อนรับนางเมื่อนางจูฬสุภัททาไปถึงนางก็ได้แสดงตนแก่ชาวนครทั้งสิ้นเหมือนนางวิสาขาทำสิริสมบัติของตนให้ปรากฏต่อสายตาชาวเมือง โดยยืนอยู่บนรถพร้อมเครื่องประดับที่วิจิตรสวยงามประมาณค่ามิได้เข้าสู่นคร นางได้รับเครื่องบรรณาการที่ชาวนครส่งมาให้ แล้วได้ทำการตอบแทนชาวนครทั้งหลายด้วยการส่งวัตถุสิ่งของตามสมควร
ในวันอันเป็นมงคลวันหนึ่ง อุคคเศรษฐีตั้งใจจะทำสักการะแก่พวกชีเปลือย จึงบอกให้นางจูฬสุภัททามาไหว้ชีเปลือยเหล่านั้น เมื่อนางจูฬสุภัททาเห็นแล้วก็ไม่อาจมองดูได้ และไม่ปรารถนาจะเข้าไปหา เศรษฐีได้ส่งคนไปตามหลายครั้ง ก็ถูกนางปฏิเสธกลับมา จนกระทั่งเศรษฐีโกรธแล้วพูดขึ้นว่า พวกเจ้าจงไล่นางไปเสียให้พ้นบ้าน นางจูฬสุภัททาคิดว่า ไม่มีเหตุผลเลยที่พ่อสามีจะทำอย่างนี้ จึงให้คนเรียกกุฎมพี 8 คนมาตัดสิน
เมื่อกุฎมพีทราบว่านางไม่มีความผิดจึงบอกให้เศรษฐียอมความเสีย เมื่อเป็นเช่นนั้นเศรษฐีก็พูดกับภรรยาว่า ลูกสะใภ้คนนี้ไม่ยอมไหว้ สมณะของเรา ด้วยเข้าใจว่า ท่านเหล่านี้ไม่มีความละอาย แต่ภรรยาของเศรษฐีกลับคิดว่า แล้วสมณะของลูกสะใภ้นี้เป็นเช่นไรหนอ นางถึงสรรเสริญคุณของสมณะของตนเหลือเกินจึงให้คนเรียกนางมาแล้วได้ถามถึงลักษณะ สีลาจารวัตรของสมณะที่นางเคารพนับถือว่าเป็นอย่างไร
นางจูฬสุภัททาเมื่อจะประกาศคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ จึงกล่าวว่า
"พระสมณะของดิฉันนั้น ท่านเป็นผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจสงบ ท่านเดินยืนเรียบร้อย มีจักษุทอดลงต่ำ พูดก็พอประมาณ กายกรรมของท่านสะอาด วจีกรรมไม่มัวหมอง มโนกรรมหมดจดดี
ท่านไม่มีมลทินคืออุปกิเลสทั้งหลาย มีรัศมีดุจแก้วมุกดา บริสุทธิ์ทั้งภายในและภายนอกเต็มเปี่ยมแล้วด้วยคุณธรรม ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ แม้โลกจะฟูขึ้นเพราะลาภ ยศ สรรเสริญสุข หรือจะฟุบลงเพราะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา หรือมีความทุกข์เข้าครอบงำ ท่านก็เป็นผู้มีใจปกติ สม่ำเสมอไม่หวั่นไหว ในโลกธรรมเหล่านั้นเลย สมณะของดิฉันเป็นอย่างนี้"
เมื่อนางจูฬสุภัททากล่าวสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยให้ฟังโดยย่อแล้ว แม่สามีก็พูดกับนางว่า "ถ้าอย่างนั้น เธอจะเชิญท่านเหล่านั้นมาให้ฉันเห็นได้หรือเปล่า" นางจึงตอบว่า "ได้คุณแม่" จากนั้นจึงจัดเตรียมมหาทานอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เสร็จแล้วได้ยืนอยู่บนปราสาทชั้นบน หันหน้าไปทางวัดพระเชตวัน ระลึกถึงพระพุทธคุณ ทำการสักการะด้วยของหอมดอกไม้และธูปเทียนด้วยความเคารพ แล้วทูลอาราธนาว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันขอกราบนิมนต์พระองค์พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ เพื่อฉันภัตตาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น ด้วยสัญญาณของหม่อมฉันนี้ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเถิดว่า พระองค์เป็นผู้อันหม่อมฉันนิมนต์ไว้แล้ว"
เมื่อทูลอาราธนาเสร็จแล้วก็ได้โปรยดอกมะลิ 8 กำขึ้นไปในอากาศ ดอกไม้เหล่านั้นได้ลอยไปรวมตัวกันเป็นเพดานตาข่ายกลางอากาศเบื้องบนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้กำลังแสดงธรรมในท่ามกลางบริษัททั้ง 4 นั่นเอง
เมื่อพระธรรมเทศนาจบแล้ว อนาถบิณฑิกเศรษฐีซึ่งได้มาฟังธรรมด้วย ก็ได้ทูลนิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อฉันภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น แต่พระพุทธองค์ก็ตรัสบอกว่า ได้รับนิมนต์จากนางจูฬสุภัททาแล้ว ฝ่ายเศรษฐีจึงกราบทูลว่า
"นางจูฬสุภัททานั้นอยู่ไกลตั้ง 120 โยชน์ นางจะมานิมนต์พระองค์ได้อย่างไร"พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนคฤหบดีสัตบุรุษทั้งหลาย แม้อยู่ในที่ไกล ย่อมปรากฏอยู่ในที่ใกล้ เหมือนยืนอยู่เฉพาะเบื้องหน้า แล้วได้ตรัสพระคาถาว่าสัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมปรากฏในที่ไกลเหมือนภูเขาหิมพานต์ส่วนอสัตบุรุษย่อมไม่ปรากฏในที่นี้ เหมือนลูกศรที่ถูกยิงไปในยามราตรีฉะนั้น"
วันรุ่งขึ้น พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระขีณาสพ ก็ได้เสด็จไปฉันภัตตาหารตามที่นางจูฬสุภัททานิมนต์ ยังความปลาบปลื้มปีติยินดีและความเลื่อมใสให้บังเกิดขึ้นแก่ครอบครัวของ อุคคเศรษฐีเป็นอย่างมาก ในที่สุดทุกคนก็ได้บรรลุธรรมาภิสมัย