เส้นทางในการสร้างบารมีของหลวงพ่อทัตตชีโว
พระเดชพระคุณพระราชภาวนาจารย์ (หลวงพ่อทัตตชีโว) มีนามเดิมว่า เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ ถือกำเนิดในครอบครัวชาวไร่ในจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พุทธศักราช 2483 เวลา 0 นาฬิกา 30 นาที แต่ทางบ้านไปแจ้งเกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม พุทธศักราช 2484 โยมบิดาชื่อ นายสุน ผ่องสวัสดิ์ โยมมารดาชื่อ นางฮวย ผ่องสวัสดิ์
อาศัยที่โยมบิดาเป็นคนที่ขยันขันแข็งและมีวิสัยทัศน์กว้างไกลกว่าชาวไร่ธรรมดาทั่วไปจึงได้พยายามอบรมเคี่ยวเข็ญลูกๆ ทุกคน จนได้ดีทั้งทางด้านการศึกษาและความประพฤติ
เส้นทางในการสร้างบารมีของพระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณค่อนข้างจะโลดโผนและน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเพื่อรักษาอรรถรสและข้อมูลที่แท้จริง จึงขอใช้เรื่องราวที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังมานำเสนอดังต่อไปนี้
เมื่ออาตมามีอายุย่างเข้าวัยรุ่นนั้น อาตมารักการฝึกสมาธิมาก เริ่มต้นมาตั้งแต่ประมาณ ปี พ.ศ.2497-2498 ขณะเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม 4 แรกทีเดียวเป็นเพราะได้อ่านวิธีการฝึกสมาธิในคัมภีร์วิสุทธิมรรคซึ่งรจนาโดยพระพุทธโฆษาจารย์ เมื่อประมาณ พ.ศ. 900 ที่เจอเพราะรักการอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจนั่นเองอาตมาอ่านหนังสือทุกประเภทอ่านจนหมดห้องสมุดประชาชนประจำจังหวัดกาญจนบุรีพออ่านคัมภีร์วิสุทธิมรรคแล้วก็อยากฝึกสมาธิแต่ฝึกเองไม่ได้ผลจึงดั้นด้นค้นหาอาจารย์สอนสมาธิให้บังเอิญไปพบอาจารย์ที่ฝึกสมาธิเพื่อประโยชน์ทางอิทธิฤทธิ์เข้าก่อนจึงเลยเป็นไปตามฤทธิ์หนุ่มคือฝึกวิชาหนังเหนียวรูดโซ่ ลุยไฟ สะเดาะกลอนสารพัดใจมันอยากจะเป็นอย่างขุนแผนกับเขาบ้าง ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าวิชาเหล่านี้เป็นวิชามาร คิดว่าเป็นวิชาพระ เพราะมีคาถาประกอบเป็นบทสรรเสริญ พระพุทธคุณบ้าง บทสรรเสริญพระโมคคัลลาน์อัครสาวกผู้มีฤทธิ์บ้าง
ข้อสำคัญมีอาจารย์ท่านหนึ่งสรรเสริญคุณงามความดีของขุนแผนและขุนศึกทั้งหลายที่ใช้วิชาเหล่านี้ต่อสู้ศัตรูปกป้องประเทศชาติบ้านเมืองไว้ได้อาตมาจึงคิดแต่ว่าจะเอาวิชานี้ไปทำประโยชน์ให้ประเทศชาติเท่านั้นยิ่งตอนหลังเกิดหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพันขึ้นมาจริงๆ ก็เลยหลงคิดว่า มาถูกทางแล้ว
โชคดีที่อาตมามีความสนใจใคร่รู้เรื่องนรก สวรรค์มาก ดังนั้นถึงแม้จะได้ร่ำเรียนวิชาที่ทำให้ มีอิทธิฤทธิ์มากเพียงใด วิชาเหล่านี้ก็ไม่สามารถดับความกระหายใคร่รู้เรื่องนรกสวรรค์ได้เลย อาตมาจึงยังคงเสาะแสวงหาผู้รู้ในเรื่องนี้เรื่อยมา เมื่อมีเวลาว่างก็ดั้นด้นไปตามป่าตามเขาไปฝึกสมาธิกับพระเกจิอาจารย์ต่างๆ ได้โอกาสก็ถามท่านเรื่องนรก-สวรรค์เสียทุกคนไป
แต่ไม่ว่าจะไปถามท่านใดทั้งที่เป็นพระภิกษุและฆราวาสว่านรกมีจริงไหม สวรรค์มีจริงไหม เทวดานางฟ้ามีจริงไหมก็ไม่มีใครให้คำตอบที่จริงจังชัดเจน น่าเชื่อตามได้สักรายเดียว
บางท่านครั้งแรกก็ตอบเสียงแข็งว่าสวรรค์มีจริง นรกมีจริง แต่พอถามว่าท่านไปเห็นไปพิสูจน์มาแล้วหรือ กลับได้รับคำตอบว่า ยังไม่เคย แต่อ่านเจอในพระไตรปิฎกบ้าง อาจารย์เล่าให้ฟังบ้าง หลวงพ่อเล่าให้ฟังบ้าง พอได้ยินว่าตำราบอก เขาเล่าว่า ไม่เคยเห็นเองสักที อาตมาก็เบ้หน้าหนี แล้วอย่างนี้จะมาสอนให้เราเห็นได้ยังไงบางท่านยังบอกเคยน่ะไม่เคยไปหรอก แต่บางครั้งมันฝันไปก็ไปเห็นเข้าโดยบังเอิญขนาดอ้างถึงความฝันอาตมาก็หมดศรัทธาแล้ว
ช่วงนั้นความมั่นใจเรื่องนรก-สวรรค์ เรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องเทวดานางฟ้า หรือโอปปาติกา ไม่มีเลย เพราะหาคนที่ยืนยันขันแข็ง และพิสูจน์ให้เห็นไม่ได้ อาตมาจึงเชื่อในสิ่งที่สามารถพิสูจน์ ได้เฉพาะหน้า คือ เชื่อเรื่องหนังเหนียว รูดโซ่ ลุยไฟ เพราะเขาทำให้เราดูได้ และเมื่อเราลองทำก็ทำได้จริงอีกด้วย ตอนนั้นรู้สึกภูมิใจมาก
แต่การไปพบบุคคลที่อาตมาเสาะแสวงหามานานนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะหลวงพ่อธัมมชโยบอกว่าท่านผู้นี้เป็นแม่ชีสูงอายุ ลูกศิษย์เรียกคุณแม่บ้าง คุณยายอาจารย์บ้างท่านเป็นคนรักสงบไม่ชอบคนเอะอะมะเทิ่ง แล้วลูกศิษย์ของท่านก็เป็นคนหนุ่มสาวชาวมหาวิทยาลัยเหมือนกับเราหรือไม่ก็เป็นคนเรียบร้อยกันทั้งนั้นถ้าวางมาดลูกทุ่งโคบาลเข้าไปเดี๋ยวท่านเกิดรำคาญขึ้นมาก็ จะไม่ยอมรับเป็นลูกศิษย์ แล้วยังเสียชื่อมหาวิทยาลัยอีกด้วย
เนื่องจากหลวงพ่อธัมมชโยเป็นนิสิตรุ่นน้องจึงไม่กล้าชี้ข้อบกพร่องของอาตมาตรงๆ เพียงแต่พูดอ้อมๆ ว่าจะต้องทำตัวอย่างไรบ้าง และรั้งตัวอาตมาไว้อบรมก่อนเกือบ 3 เดือน
ในขณะเดียวกันท่านก็ได้สอนวิธีนั่งสมาธิเบื้องต้นเพื่อการเข้าถึงธรรมกายให้บ้าง แต่เนื่องจากอาตมาเคยฝึกสมาธิมาหลายสำนัก แบบยุบหนอพองหนอก็ฝึกมาแล้วแบบอานาปานสติหรือ ทำแบบกำหนดลมหายใจก็ทำมาจนคุ้นพอมาเจอแบบวิชชาธรรมกายซึ่งท่านบอกให้กำหนดดวงแก้วง่ายๆ สบายๆ กลับทำไม่ได้คอยเผลอกลั้นลมหายใจทุกทีบางทีก็เอาวิธีนี้ไปปนกับวิธีนั้นให้ยุ่งไปหมดโดยไม่รู้ตัว
ความอยากพบคุณยายอาจารย์มาก อาตมาจึงยอมทำตามคำแนะนำของหลวงพ่อธัมมชโยทุกอย่าง เมื่อเห็นคุณยายครั้งแรก คุณยายคือแม่ชีวัยเกือบ 60 ปี รูปร่างผอมบาง ผิวคล้ำ แต่ใบหน้าผุดผ่องเป็นนวลตอง เค้าหน้าที่แสนจะธรรมดาของท่าน ทำให้อาตมาลืมคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับผู้ที่อาสา พามาเสียสิ้น จึงถามโพล่งขึ้นว่า
ยาย คุณไชยบูลย์เขาว่า ยายพาไปดูนรก-สวรรค์ได้จริงมั้ย
จริง ยายเคยไปช่วยพ่อขึ้นจากนรกมาแล้ว
เจอคำตอบตรงเผงไม่อ้ำอึ้งแบบนี้เข้า อาตมาก็บอกกับตัวเองทันทีว่าเจอคนจริงที่ตามหามานานแสนนานแล้ว ความศรัทธาเกิดขึ้นอย่างท่วมท้น แต่ยังไม่วายถามต่อ
แล้วอย่างผมนี่ ไปดูได้ไหม
คราวนี้คุณยายตอบยาว แถมให้กำลังใจเสร็จสรรพ
ได้ซิ คุณน่ะมีบุญมากอยู่แล้ว ถึงได้มาถึงที่นี่ไงล่ะ อย่างนี้ฝึกไม่นานหรอก
ได้ยินอย่างนี้ใจก็พองโตด้วยความยินดี เพราะแสดงว่าคุณยายรับจะฝึกให้แล้ว วันนั้นเลยขอประเดิมนั่งสมาธิรวดเดียว 3 ชั่วโมง ใจมันอยากให้คุณยายรู้ด้วยว่า เราก็เอาจริงเหมือนกัน
พอคุณยายลงนำนั่งสมาธิ บุคลิกก็เปลี่ยนไปทันที ท่านั่งตัวตั้งของท่านสง่างาม มั่นคงเฉียบขาด เหมือนทวนของขุนพลที่ปักผงาดอยู่บนรถรบ ความศรัทธาของอาตมาที่มีต่อท่านยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา จิตใจของอาตมาก็ผูกพันอยู่กับคุณยายอาจารย์ ยอมมอบกายถวายชีวิตให้ท่านอบรมบ่มนิสัยโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้นราวกับเคยอยู่ในปกครองของท่านมาหลายภพหลายชาติ
การซักไซ้ไล่เรียงเรื่องนรก สวรรค์ เรื่องนิพพาน ซึ่งข้องใจมานาน ไม่จบง่ายๆ แต่คุณยายก็ตอบให้เข้าใจได้เป็นฉากๆ ราวกับจำลองเอาสิ่งเหล่านั้นมาวางไว้ให้ดูต่อหน้า
คุณยายชวนบวช
หลังจากที่พระเดชพระคุณพระราชภาวนาจารย์ (หลวงพ่อทัตตชีโว) ได้ตั้งสัจจะประพฤติพรหมจรรย์ เมื่อต้นปี พ.ศ.2513 แล้ว ท่านก็ยังคร่ำเคร่งอยู่กับงานสร้างวัด ไม่คิดถึงเรื่องบวชเลย คุณยายคงกลัว ท่านพลาดพลั้งเสียสัจจะ วันหนึ่งคุณยายจึงเรียกท่านไปเตือนว่า
คุณเด็จ คุณอยู่ทางโลกไม่ได้หรอกนะ เพราะคุณเป็นคนใจกว้าง มีสมบัติอะไรคุณก็ให้เขาหมด ขืนมีครอบครัวก็จะลำบาก คุณยายยังบอกต่อว่า
คุณเกิดมาเพื่อสร้างบารมีเท่านั้น บวชเสียแล้วจะประสบความสำเร็จทุกสิ่งอย่างที่ต้องการ คุณเป็นคนมีความเพียร คุณมีสิทธิ์จะรู้จะเห็นธรรมได้ เพราะฉะนั้นบวชเถอะ ยายจะกำหนดวันให้
ต่อมาพระเดชพระคุณพระราชภาวนาจารย์ (หลวงพ่อทัตตชีโว) ได้บวชเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2514 ได้เป็นกำลังหลักในการรองรับงานพระพุทธศาสนาจากนโยบายของพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) และคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เป็นอย่างดีเยี่ยม