ความเชื่อเรื่องตายแล้วไม่สูญ
การกลับชาติมาเกิด หรือตายแล้วไม่สูญ เป็นเรื่องที่มีผู้คนสงสัย และพยายามแสวงหาคำตอบกันมานาน ดังเช่น ในสมัยพุทธกาล พระราชาองค์หนึ่งพระนามว่าพระเจ้าปายาสิ ผู้ครองเมืองเสตัพยะ พระองค์ทรงสงสัยอย่างมากว่าคนเราตายแล้วสูญหรือไม่ จึงได้ทำการศึกษาทดลองมากมาย สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปว่าตายแล้วสูญ ไม่มีการเกิดใหม่ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก พระองค์ทรงเชื่ออย่างนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่งพระองค์ได้พบพระอรหันต์ คือพระกุมารกัสสปะ จึงทรงเข้าไปสอบถาม เพราะคิดว่าคำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนานั้นเป็นคำสอนที่ผิด
พระองค์ทรงประกาศกับพระกุมารกัสสปะว่า ตายแล้วสูญไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก พระกุมารกัสสปะทูลถามว่า เพราะเหตุใดจึงทรงเชื่อเช่นนั้น พระเจ้าปายาสิตรัสเล่าถึงการทดลอง ของพระองค์ที่ทรงทำการทดลองในนักโทษประหารว่า ก่อนที่จะประหารนักโทษพระองค์สั่งนักโทษนั้นว่า เมื่อตายแล้วให้กลับมาบอกด้วยว่า ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร นอกจากนี้ยังทรงทดลองในคนเจ็บป่วยใกล้ตายโดยพระองค์จะทรงสั่งคนที่เจ็บป่วยไว้ว่า เมื่อตายไปแล้วหากชีวิตหลังความตายมีจริง ให้ช่วยมาบอกพระองค์ด้วยเช่นกัน แต่แล้วทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักโทษประหารหรือคนเจ็บ เมื่อตายแล้วก็เงียบหายไป ไม่มีใครกลับมาเลย พระองค์จึงเห็นว่าชีวิตหลังความตายไม่มี
ได้ยินดังนั้น พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามกลับไปว่า หากมีโจรคนหนึ่งได้ทำความผิดไว้ แล้วจะเดินทางเข้าไปในเมืองหากญาติบอกกับเขาว่า เมื่อเข้าเมืองได้แล้วให้ส่งข่าวมาด้วย ครั้นเขาเข้าเมืองไปแล้วถูกจับขังคุก เขาจะส่งข่าวได้ไหม พระราชาตอบว่า ไม่ได้ พระกุมารกัสสปะจึงอธิบายว่า เช่นเดียวกันกับคนที่ประพฤติชั่ว เมื่อถึงคราวตายไปก็ต้องตกนรกลงอบาย แม้อยากจะกลับมาบอกข่าวใครก็มาไม่ได้ เพราะวิบากกรรมที่เป็นอกุศลดึงไปสู่อบายภูมิเสียแล้ว
พระราชาแย้งว่าพระองค์ก็เคยทำการทดลองนี้กับคนดีมีศีลธรรมเช่นกัน โดยสั่งไว้ว่าถ้าชีวิตหลังความตายมีจริง ตายแล้วไปสวรรค์จริง จงช่วยมาบอกด้วย แต่แล้วก็หายเงียบไปทุกคน ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกเลย พระกุมารกัสสปะจึงทูลอธิบายว่า ธรรมดาของเทวดานั้นมีความรู้สึกว่ามนุษย์มีกลิ่นเหม็นเหมือนกลิ่นอุจจาระปัสสาวะ เทวดาย่อมไม่อยากเข้าใกล้มนุษย์ พระเจ้าปายาสิรับสั่งว่า ในบรรดาคนที่ตายไปแล้วนั้นมีหลายๆคนมีคนที่พระองค์ทรงคุ้นเคยรักใคร่ ดังนั้นแม้ว่าจะเหม็นเพียงไร เขาก็น่าจะกลั้นใจกลับมาบอกพระองค์บ้างสักนิดหนึ่งก็ยังดี
พระกุมารกัสสปะจึงทูลอธิบายเกี่ยวกับเรื่องเวลา ว่าเวลาบนสวรรค์กับเวลาบนโลกมนุษย์ไม่เท่ากัน วันหนึ่งคืนหนึ่งบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เทียบกับ 50 ปีบนโลกมนุษย์ วันหนึ่งคืนหนึ่งบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทียบเท่ากับ 100 ปีบนโลกมนุษย์ เมื่อเทพบุตรเทพธิดาขึ้นสวรรค์ไป เพียงแค่ขอเพลิดเพลินในวิมาน ทิพยสมบัติสักวันสองวันแล้วค่อยมาบอกข่าว เมื่อถึงเวลานั้นพระองค์ย่อมละโลกนี้ไปเสียแล้ว พระเจ้าปายาสิฟังแล้วก็ยังไม่ยอมจำนน พระองค์ทรงเล่าถึงการทดลองของพระองค์ต่อไปอีกว่า พระองค์เคยนำนักโทษประหารมาต้มจนตาย โดยจับนักโทษลงไปในหม้อปิดฝาผนึกแน่น ไม่ให้มีการรั่วซึมใดๆเลย เมื่อต้มจนมั่นใจว่านักโทษตายเรียบร้อยแล้ว จึงเปิดรูเล็กๆ คอยสังเกตว่ามีสิ่งใดออกมาทางรูนั้น เพราะหากวิญญาณมีจริง คงต้องเห็นแวบออกมาบ้าง ได้เฝ้าสังเกตอยู่นาน ก็ไม่เห็นมีอะไรออกมาเลย แสดงว่าคนเรามีแต่ร่างกายไม่มีวิญญาณ
พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามว่า พระองค์เคยหลับแล้วฝันไปใช่ไหม เช่นฝันว่าไปเที่ยวในอุทยานของพระองค์เอง พระองค์ตอบว่า เคยฝันเช่นนั้น พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามว่า ขณะที่พระองค์ฝันว่าไปเที่ยวในอุทยาน พวกนางสนมนางกำนัลเห็นพระองค์ไหม พระองค์ตอบว่าไม่เห็น พระกุมารกัสสปะจึงทูลว่า ก็ขนาดวิญญาณของพระองค์ออกไปเที่ยวในอุทยาน นางกำนัลยังไม่เห็นเลย แล้ววิญญาณของนักโทษที่ตายแล้วพระองค์จะเห็นได้อย่างไร
พระกุมารกัสสปะทูลอย่างนี้แล้วพระเจ้าปายาสิก็ยังทรงเล่าถึงการทดลองของพระองค์ต่อไปอีกว่า พระองค์เคยใช้เครื่องชั่งที่มีความละเอียดมาก มาชั่งน้ำหนักคนก่อนตายและเมื่อตายแล้วโดยเวลาห่างกันเพียงไม่กี่นาทีในการชั่งน้ำหนักจะถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดเหลือแต่ตัวเปล่าๆ แม้ก่อนจะตายก็ไม่ให้ดื่มน้ำ แล้วเปรียบเทียบว่าน้ำหนนักจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ถ้าวิญญาณมีจริงแล้วออกไปจากร่าง น้ำหนักก็ต้องลดลงบ้าง แต่ผลปรากฏว่าน้ำหนักไม่ได้ลดลง ทั้งยังรู้สึกว่าร่างที่แข็งทื่อนั้นจะหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ แสดงว่าวิญญาณไม่มีจริง
พระกุมารกัสสปะจึงทูลว่า เมื่อเอาเหล็กไปเผาไฟจนร้อนเหล็กนั้นกลับดูเหมือนว่าเบาลง ทั้งที่มีธาตุไฟร้อนอยู่ ครั้นปล่อยให้เย็นลง เหล็กนั้นกลับดูเหมือนว่าหนักขึ้น ทั้งที่ความร้อนได้ออกไปแล้ว ร่างกายของคนเราก็เช่นกันกับเหล็ก นอกจากนี้วิญญาณยังเป็นของละเอียดมากไม่สามารถตรวจวัดด้วยเครื่องชั่งน้ำหนักได้ พระเจ้าปายาสิตรัสถามคำถามอีกมากมายพระกุมารกัสสปะก็ทูลตอบทีละข้อๆ จนกระทั่งพระเจ้าปายาสิหายสงสัย แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังไม่ทรงเปลี่ยนความเชื่อ ทรงให้เหตุผลว่าชาวบ้านชาวเมืองตลอดจนพระราชาทั้งหลายต่างก็รู้ว่าพระองค์ไม่เคยเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ทรงเกรงว่าจะต้องอับอาย และเสียศักดิ์ศรีหากใครๆรู้ว่าพระองค์ได้เปลี่ยนความเชื่อเสียแล้ว
พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามว่า ถ้าคนๆหนึ่งแบกกระสอบหญ้าอยู่ แล้วไปเจอกระสอบป่านที่ไม่มีเจ้าของ เขาควรจะทิ้งกระสอบหญ้าแล้วแบกกระสอบป่านที่มีค่ามากกว่าไปแทนไหม พระองค์ตอบว่าควรสิ พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามต่อว่า แล้วถ้าเขาไม่ยอมทิ้งกระสอบหญ้า ด้วยเหตุว่าอุตส่าห์แบกมาตั้งนานแล้ว จะทิ้งก็เสียดายจึงแบกกระสอบหญ้าต่อไป และแม้ว่าจะเจอของดีๆอีกมากมาย เช่นกระสอบผ้าไหม กระสอบเพชรนิลจินดา เขาก็ไม่ยอมทิ้งของเดิม คนๆนั้นโง่หรือฉลาด พระองค์ตรัสตอบว่าโง่มาก พระกุมารกัสสปะจึงทูลถามว่า แล้วพระองค์ควรจะเป็นคนโง่หรือคนฉลาด พระองค์จะยึดถือทิฐิที่ผิด เพียงเพราะเสียดายด้วยอุตส่าห์ถือมาตั้งนานแล้ว จึงจำเป็นต้องถือต่อไป หรือว่าพระองค์จะถือทิฐิที่ถูกต้อง เพื่อรู้เห็นสิ่งที่ถูกต้องยิ่งๆขึ้นไป แต่นั้นมาพระเจ้าปายาสิก็หูตาสว่าง ยอมปรับความเห็นผิดแล้วหันมานับถือพระพุทธศาสนาจนตลอดชีวิต
พระเจ้าปายาสิ เคยพยายามใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์หาความจริงของชีวิต แม้ต้องลงทุนด้วยชีวิตคนด้วยวิธีการอันน่ากลัว แต่ไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนวิธีการอย่างไร ก็ไม่อาจเข้าถึงความจริง วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนี้ ก็ยังคงพยายามหาความจริงของโลกและชีวิต โดยศึกษาว่ากลไกของโลกกลไกของชีวิตเป็นอย่างไร แล้วทำความเข้าใจไปตามแนวทางของพื้นฐานความรู้ที่มีอยู่คือ ชีววิทยา ฟิสิกส์ และเคมี เพื่อนำความรู้เหล่านี้มาใช้พัฒนาความเป็นอยู่ของคนเราให้สะดวกสบายขึ้น เช่น นำความรู้ด้านชีววิทยามาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ นำความรู้ด้านฟิสิกส์และเคมีมาใช้ในการสร้างเครื่องจักร สร้างเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลาย จะเห็นว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ จะจำกัดอยู่ในเรื่องเหล่านี้
แต่มีอีกสิ่งหนึ่งคือ เรื่องของใจ ที่นักวิทยาศาสตร์ยังมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้น้อยมาก แม้นักจิตวิทยา นักจิตเวชก็ยังเข้าใจเพียงแค่ผิวเผิน เพราะนักจิตวิทยาเองก็ยังไม่เคยเห็นว่าใจของตนเองมีรูปร่างลักษณะอย่างไร ทำได้เพียงแค่สังเกตอาการแสดงออกของใจแล้วนำมาสรุปเป็นทฤษฎีต่างๆ ทางจิตวิทยาเท่านั้น
เมื่อขาดความรู้ในเรื่องของใจ ก็ขาดเครื่องมือที่จะศึกษาเรื่องชีวิตหลังความตาย และการไปเกิดมาเกิด เมื่อไม่รู้จะศึกษาอย่างไร จึงทำได้เพียงเก็บข้อมูลของผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการระลึกชาติแต่ไม่สามารถศึกษาได้ถึงกลไกการเวียนว่ายตายเกิดได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังสร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการวิทยาศาสตร์ เพราะข้อมูลเกี่ยวกับการระลึกชาติที่เก็บได้ นั้นมีเป็นจำนวนมาก และมีความน่าเชื่อถืออีกด้วย ปัจจุบันจึงมีผู้ที่อยู่ในวงการวิชาการเริ่มหันมาเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ เรื่องชีวิตหลังความตายมากขึ้นเรื่อยๆ มีคำถามว่าเหตุใดคนบางคนจึงระลึกชาติได้ ขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถระลึกชาติได้ คำตอบก็คือ กฏทุกกฏย่อมมีข้อยกเว้น แม้ว่าเมื่อคนเรามาเกิดในครรภ์มารดา แล้วจะลืมเรื่องราวต่างๆไปหมด แต่ก็จะมีบางคนที่มาเกิดในจังหวะที่ลงตัวพอดี จึงมีความทรงจำเหลืออยู่ ซึ่งกลไกของการไปเกิดมาเกิดเหล่านี้ เราคงเห็นแล้วว่าเป็นเรื่องที่ยากจะศึกษา แม้จะใช้สุดยอดเทคโนโลยีหรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ทั้งหมด
ถ้าอยากจะเข้าใจเรื่องราวของการเวียนว่ายตายเกิดจริงๆ จะต้องศึกษาตามหลักพระพุทธศาสนา คือการปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ ให้ไปรู้ไปเห็นจริงๆ เท่านั้น เมื่อใจเป็นสมาธิหยุดนิ่งเมื่อไร ใจจะปรากฏให้เห็นเอง จะรู้ว่าใจเรามีรูปทรงเช่นไร ประกอบขึ้นจากอะไร วิเคราะห์แยกธาตุ แยกส่วนได้หมด ทั้งเห็นจำ คิด รู้ ทั้งดิน น้ำ ไฟ ลม ว่าเป็นอย่างไร จะสามารถระลึกชาติได้ ไม่ใช่เพียงแค่ชาติเดียวแต่นับร้อยนับพันชาติ หรืออสงไขยชาติก็สามารถทำได้ หากว่าใจหยุดนิ่งอย่างแท้จริง ชาวพุทธทุกคนจึงนับว่าโชคดี มีบุญ ที่ได้รู้จักหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เพราะทั้งเรื่องราวของการเวียนว่ายตายเกิด และหลักธรรมปฏิบัติต่างๆ พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงบัญญัติขึ้น แต่พระองค์ได้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมจนเข้าไปถึงความเป็นจริงของโลก และชีวิต แล้วทรงนำมาสั่งสอน ดังนั้นเราควรตั้งใจศึกษาให้ดี อย่ามัวเสียเวลาหลงทางลองผิดลองถูกอยู่เลย ความเชื่อผิดๆที่คิดว่าตายแล้วสูญนั้น เป็นอันตรายอย่างยิ่ง อาจนำไปสู่การดำเนินชีวิตที่ผิดพลาด และส่งผลร้ายไปอีกนับชาติไม่ถ้วน ตรงข้ามหากเราเชื่อมั่นในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน เชื่อว่าตายแล้วไม่สูญ เราจะมีพลังใจสูงส่งในการทำความดี เราจะเป็นผู้ที่รู้เหตุรู้ผล ไม่โอดครวญ ยามเมื่อชีวิตต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือวิบากกรรม ที่สำคัญเราจะสามารถยับยั้งชั่งใจ ไม่ทำความชั่ว ไม่ว่าจะมีใครรู้ใครเห็นหรือไม่ก็ตาม เพราะเรารู้แล้วว่าชีวิตไม่ได้สิ้นสุดเพียงแค่ชาตินี้
----------------------------------------------------------------------------------
หนังสือ " ทันโลกทันธรรม 4 "
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ