ชาดก 500 ชาติ
สุวรรณกักกฏชาดก ชาดกว่าด้วยปูทองผู้ฉลาด
เหล่าพระภิกษุสงฆ์สำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ครั้งเมื่อพระพุทธศาสนาได้แบ่งแยกเป็น 2 สำนัก คือสำนักของพระเทวทัต และสำนักของพระพุทธเจ้า พระเทวทัตลุ่มหลงในกิเลส อยากเป็นหนึ่งเดียวแทนที่องค์พระศาสดา จึงได้คิดแผนต่างๆ เพื่อลอบปลงพระชนม์ ครั้งหนึ่งพระเทวทัตได้วางอุบายจะปลงพระชนม์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมอมเหล้าช้างนาฬาคีรี ซึ่งกำลังตกตกมัน แล้วปล่อยออกไป
พระเทวทัตผู้ลุ่มหลงในกิเลสได้คิดแผนการลอบปลงพระชนม์พระพุทธองค์
ในขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาต เมื่อช้างนาฬาคีรีวิ่งเข้ามาทางพระพุทธองค์ พระอานนท์ผู้เป็นปัจฉาสมณะ จึงได้เดินล้ำมาข้างหน้าพระศาสดาได้คิดหมายจะป้องกันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีพระดำรัสให้พระอานนท์จงหลีกไปอย่าป้องกันพระองค์เลย แต่พระอานนท์ยังยืนยันที่ปกป้ององค์พระศาสดาต่อไป
ช้างนาฬาคีรีถูกมอมเหล้าในขณะที่กำลังตกมัน
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชีวิตของพระองค์มีค่ายิ่งนัก พระองค์อยู่เพื่อเป็นประโยชน์ แก่โลก เป็นดวงประทีปของโลก เป็นที่พึ่งของโลก ขอพระองค์อย่าเสี่ยงกับอันตรายครั้งนี้เลยชีวิตของข้าพระองค์มีค่าน้อย ขอให้ข้าพระองค์ ได้สละซึ่งสิ่งมีค่าน้อย เพื่อรักษาสิ่งที่มีค่ามากเหมือนสละกระเบื้องเพื่อรักษาแก้วมณีเถิดพระเจ้าข้า”
พระอานนท์เถระได้เข้าขวางช้างนาฬาคีรีที่กำลังวิ่งตรงมายังพระพุทธองค์
“อย่าเลยอานนท์ บารมีเราได้สร้างมาดีแล้ว ไม่มีใครสามารถปลงชีวิตของตถาคตได้ ไม่ว่าสัตว์เดรัจฉาน หรือมนุษย์ หรือเทวดา มาร พรหมใด” ในขณะนั้นช้างนาฬาคีรีวิ่งมาจนจะถึงพระองค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์จึงได้แผ่พระเมตตาจากพระราชหฤทัย ซึ่งไปกระทบกับใจอันคุกรุ่นด้วยความมึนเมาของช้างนาฬาคีรีได้
พระอานนท์แสดงเจตนาที่จะปกป้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ช้างใหญ่หยุดชะงัก ใจสงบลงและหมอบลงแทบพระบาท “นาฬาคีรีเอ๋ย เธอกำเนิดเป็นเดรัจฉานในชาตินี้ เพราะกรรมอันไม่ดีของเธอในชาติก่อนแต่งให้ เธออย่าประกอบกรรมหนัก คือทำร้ายพระพุทธเจ้าเช่นเราอีกเลย เพราะจะมีผลเป็นทุกข์แก่เธอตลอดกาลนาน” ความภักดีของพระอานนท์ที่มีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เป็นที่ชื่นชมแก่เหล่าภิกษุและประชาชน ผู้รู้เห็นเหตุการณ์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนำเรื่่องในอดีตชาติมาตรัสเล่าให้กับเหล่าภิกษุสงฆ์ได้ฟัง
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในชาติก่อนพระอานนท์ก็สละชีวิตเพื่อเราเหมือนกัน” ดังนี้แล้วพระองค์จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาทกดังต่อไปนี้ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชาวบ้านดำรงชีวิตด้วยการทำไร่นาเรือกสวน ทั้งคนและสัตว์ต่างพึ่งพาอาศัยกันและกันและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
หมู่บ้านแห่งหนึ่งชาวบ้านดำรงชีวิตด้วยการทำไร่ทำนาอย่างมีความสุข
“เฮ้ย ทำงานมาเหนื่อย ได้มาพักล้างหน้าด้วยน้ำเย็นๆ อย่างนี้ค่อยชื่นใจหน่อย เอ๊ะ...นั่นปูนี่นา ตัวเล็กสีทองน่ารักจัง ไหนขอดูใกล้ๆ หน่อยสิ” พราหมณ์หนุ่มผู้มีอาชีพเกษตรกร เมื่อเห็นปูทองที่อยู่ในหนองน้ำก็เกิดความเอ็นดู จึงหยิบมันขึ้นมาไว้ที่อุ้งมือ “ตัวเล็กสีทองน่ารักจัง มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกันนะ”
ชาวนาได้เจอปูทองตัวเล็กน่ารักเลยจับมาดูเล่นด้วยความเอ็นดู
ชายหนุ่มทักทายปูสักครู่ แล้วก็ปล่อยลงไปในหนองน้ำเหมือนเดิม “เฮ้อไปทำงานต่อดีกว่า ไปนะเจ้าปู พรุ่งนี้เจอกันใหม่” วันต่อมาเมื่อพราหมณ์มาทำงาน เขาก็ได้ไปที่หนองน้ำอีก ได้จับตัวปูขึ้นมาเล่นแล้วก็กลับไปทำงานต่อ พราหมณ์ทำอย่างนี้อยู่หลายวัน จนเขากับปูทองรู้สึกคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี พราหมณ์เจ้าของนามีลักษณะแปลกอยู่อย่างหนึ่ง
ชาวนาแวะมาเยี่ยมปูทองอย่างสม่ำเสมอจนปูน้อยโตขึ้นเรื่อยๆ
คือดวงตาของเขาจะมีลักษณะเป็นดวงกลมสามชั้นใสแจ๋วทำให้มองเห็นอะไรได้ชัดเจน ที่ปลายนานั้น มีกาผัวเมียอยู่คู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ต้นตาลใหญ่ นางกาเกิดแพ้ท้อง อยากกินดวงตาของเจ้าของนา “พี่จ๊ะ น้องอยากกินตาคู่นั้นจัง พี่ดูซิ มันใสแจ๋วกลมโตอย่างนั้นน่ะ คงจะหวานดีนะจ๊ะพี่” “จ๊ะ เจ้านี่ก็แปลกอยากกินอะไรไม่กิน
พราหมณ์หนุ่มชาวนามีลักษณะพิเศษคือมีดวงตากลมสามชั้นมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน
อยากจะกินดวงตา เจ้ารู้มั๊ยว่า ดวงตาคนนั้นหน่ะ เอามาอยากจะตายไป ข้าจะเอามาให้เจ้ากินได้อย่างไร ” “ต้องได้ซิพี่ ก็น้องอยากกิน พี่ก็ต้องเอามันมาให้ได้” “เอ้...จะเอาตาเจ้าพราหมณ์นั้นมายังไงดีนะแค่คิดน้ำลายหกแล้วเนี่ย อยากกินจังเลย ทำยังไงดี อ๋อ...น้องออกแล้ว พี่จ๋าน้องคิดแผนออกแล้วนะ”
ใกล้ปลายนาของพราหมณ์หนุ่มมีกาสองผัวเมียอาศัยอยู่
“แผนอะไรของเจ้า ไหนว่ามาสิ” “ก็ใต้ต้นตาลนี้ มันมีงูเห่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ถ้าเราใช้งูเห่านี้กัดเขาตาย พอตายแล้วพี่ก็ค่อยควักดวงตาของเขามาให้น้อง อย่างนี้ มันน่าจะง่ายขึ้นนะพี่” “โอ้โห แผนเจ้านี่ ช่างร้ายลึกซะจริงๆ แต่พี่จะไปใช้เจ้างูเห่าได้อย่างไรล่ะ” “เรื่องนี้น้องจัดการเอง”
นางกาเกิดแพ้ท้องอยากกินดวงตาของพราหมณ์หนุ่มเจ้าของนา
เมื่อคิดแผนการได้ กาทั้งสองตัวก็เริ่มปรนนิบัติงูเห่าด้วยการนำอาหารมาให้เป็นประจำ “กินเยอะๆ นะท่านนะ วันพรุ่งเราจะนำอาหารดีๆ มาให้ท่านกิน” “เออดีๆ เราชอบกินไข่ เอาไข่มาอีกนะ เจ้าสองตัวเนี่ยใจดีจริงๆ เลยน่ะ วันหลังมีอะไรจะให้ราช่วยก็บอกแล้วกันนะ” “ท่านได้ช่วยเราแน่ ท่านงูเห่า” พอข้าวในนาเริ่มออกรวง ปูทองก็โตตามไปด้วย
นางกาและสามีคิดวางแผนหาวิธีการที่จะนำดวงตาของพราหมณ์มากิน
ทุกวันพราหมณ์ก็จะแวะมาทักทายปูทองตัวนี้ทุกครั้ง “ว่าไงเจ้าปู เดี๋ยวนี้เรียกเจ้าว่าปูน้อยไม่ได้แล้วซินะ ดูซิ เจ้าตัวโตขึ้นตั้งเยอะ” วันหนึ่งเวลาเช้าตรู่ พราหมณ์ได้ออกมา ดูนาตามปกติ เขาแวะไปที่หนองน้ำ จับปูขึ้นมาเล่นเหมือนเคย “กลับบ้านดีกว่าเรา หิวจนท้องกิ่วแล้ว แม่ทำกับข้าวอะไรไว้บ้างน๊า โอ้ย หิวๆๆ”
นางกาและสามีหาอาหารมาให้งูเง่าเพราะต้องการให้งูเง่าช่วยเหลือในแผนการของตน
แล้วความโชคร้ายก็มาเยือนพราหมณ์หนุ่ม เมื่องูเห่าเลื้อยออกมาโพรงแล้วเข้ามากัดที่น่องพ่นพิษใส่ จนพราหมณ์หนุ่มทนความเจ็บปวดไม่ไหว ล้มลงนอนร้องครวญคราง เหมือนคนจะขาดใจ “โอ้ย ปวด ใครก็ได้ช่วยที โอ้ย” งูเห่าที่กัดได้เลื้อยเข้าจอมปลวกไปแล้ว พราหมณ์หนุ่มนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น เป็นไปตามแผนของกาทั้งสอง
พราหมณ์หนุ่มชาวนาแวะมาเยี่ยมปูทองตามปกติ
แต่ยังไม่ทันที่กาตัวผู้จะเข้ามาจิกดวงตาของพราหมณ์หนุ่ม ปูทองเมื่อได้ยินเสียงของพราหมณ์หนุ่มที่ร้องครวญคราง ก็รีบไต่ขึ้นมาจากหนองน้ำ ขึ้นมาอยู่บนร่างของพราหมณ์ “ท่าน ท่านต้องไม่เป็นอะไรนะ เราจะช่วยท่านเอง เราจะไม่ให้ท่านตายเด็ดขาด” กาตัวผู้เมื่อเห็นงูเห่ากัดพราหมณ์แล้ว
พราหมณ์หนุ่มชาวนาเมื่อทำงานเสร็จแล้วก็เดินทางกลับบ้านของตน
ก็รีบโฉบลงมาเกาะที่ร่างชายโชคร้ายนั้น หวังจิกเอาดวงตาไปให้เมียของมัน แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำตามใจนึก ปูทองก็ใช้ก้ามปูหนีบคอกาเอาไว้แน่น “โอ้ย เจ็บๆ มาหนีบเราไว้ทำไม ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” “เจ้ากาตัวร้าย เจ้าไปเรียกงูเห่ามาเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเดือดร้อน เราจะเอาเจ้าถึงตายแน่ๆ”
พราหมณ์หนุ่มชาวนาถูกงูเห่าฉกกัดได้รับความทุกข์ทรมานยิ่งนัก
“โอ้ย ก็ได้ๆ งูเห่าเพื่อนรักกลับมาก่อนเถิด กลับมาช่วยข้าหน่อย ข้าถูกปูหนีบคอไว้ ออกมาก่อนเถอะท่าน” งูเห่าพอได้ยินเสียงเรียกก็เลื้อยกลับมาแผ่พังพานพร้อมจะฉกปู แต่โดนปูใช้ก้ามปูอีกข้างหนึ่งหนีบคอไว้ งูเห่าดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดสักที “เจ้าปูนา ปล่อยพวกข้าเดี๋ยวนี้นะ เจ้หนีบคอพวกข้าทั้งสองไว้ทำไม่ ปล่อยนะ มันเจ็บรู้มั๊ย”
พราหมณ์หนุ่มชาวนาทนพิษของงูไม่ไหวล้มลงหมดสติไปในที่สุด
“เจ้างูร้าย ชายคนนี้เป็นเพื่อนของข้า ถ้าเขาตายไป ข้าก็ตายด้วยเพราะไม่มีผู้คุ้มครอง เจ้าทำให้เค้าตาย พวกเจ้าต้องรับผิดชอบ เจ้าต้องช่วยให้เค้าฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้” งูเห่าและกาได้ฟังดังนั้น ก็คิดที่จะล่อลวงปูให้ตายใจแล้วหนีไป “ได้ซิ ข้าจะช่วยดูดพิษออกจากตัวเค้าให้ แต่เจ้าปล่อยพวกข้าก่อนซิ เร็ว เร็วเข้า
ปูทองช่วยพราหมณ์หนุ่มไว้ให้รอดพ้นจากนายกาที่จะมาจิกลูกนัยน์ตาไปให้นางกาภรรยา
ก่อนที่พิษร้ายจะเข้าสู่ร่างกายเขามากกว่านี้ ไม่งั้นเราคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้นะ” “ใช่แล้วเจ้าปู ได้ยินแล้วก็รีบปล่อยพวกเราซิ” “สัญชาตญาณงูเห่าอย่างเจ้าข้าไม่เชื่อหรอก ข้าจะปล่อยเจ้ากับกาไปก็ต่อเมื่อชายคนนี้ฟื้นแล้วเท่านั้น เร็วเข้าสิ รีบดูดพิษออกจากร่างเพื่อนข้าเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นเราจะหนีบคอพวกเจ้าให้ขาดออกจากกันเลย”
กาเรียกงูเง่าออกมาเพื่อให้ช่วยเหลือตนแต่สัตว์ทั้งสองก็โดนกาหนีบคอไว้
เจ้าปูทองคลายก้ามปูออกเล็กน้อยเพื่อให้งูเห่าเลื้อยไปดูดพิษคืน ต่อมาพราหมณ์ได้ฟื้นคืนมา ฝ่ายปูคิดว่าถ้าปล่อยให้สัตว์ทั้งสองนี้รอดไป ก็จะกลับมาทำร้ายพราหมณ์ เจ้าของนาอีกได้ “นั้นไง เราช่วยให้เพื่อนของเจ้าฟื้นแล้ว คราวนี้ปล่อยพวกเราไปได้หรือยัง” “นั่นสิ เจ็บจะตายอยู่แล้ว หนีบแรงชะมัดเลย”
งูเง่าได้ดูดพิษของตนออกจากตัวพราหมณ์หนุ่มจนสามารถฟื้นคืนสติได้ดังเดิม
“ปล่อยเจ้าไปก็โง่นะสิ สัตว์เดรัจฉานอย่างพวกเจ้าหน่ะ อย่ามีชีวิตอยู่อีกเลยนะ นี่แน่ะๆๆ” ปูทองใช้ก้ามปูหนีบคอสัตว์ทั้งสองจนเสียชีวิตทันที ฝ่ายนางกาที่เกาะอยู่บนต้นตาลเห็นเหตุการณ์กลับตาลปัตรเช่นนั้นก็รีบบินหนีไปอยู่ที่อื่น “กาๆ อยู่ไม่ไหวแล้ว หนีดีกว่า กาๆๆ อยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้แล้ว ไปดีกว่า”
นางกาบินหนีไปเมื่อได้เห็นสามีกาของตนและงูเง่าถูกปูทองหนีบคอจนตาย
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พราหมณ์เจ้าของนาและปูทองในหนองน้ำสนิทกันยิ่งขึ้น ทั้งปูทองและพราหมณ์ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนถึงสิ้นชีวิต
พระเทวทัต ในครั้งนั้น ได้กำเนิดเป็น กา
ส่วนช้าง กำเนิดเป็น งูเห่า
พระอานนท์ กำเนิดเป็น ปู
พราหมณ์หนุ่ม เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า