ชาดก 500 ชาติ
ทุมเมธชาดก - ชาดกว่าด้วยการใช้อำนาจให้เป็นประโยชน์
วสันตฤดูครั้งนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จกลับมาพักผ่อนพระวรกาย หลังจากตรากตรำเผยแผ่พระศาสนามาเนิ่นนาน โดยไม่ย่อท้อต่อความทุรกันดารและอุปสรรคใดๆ พระเกียรติคุณนี้เป็นที่สรรเสริญกันอย่างกว้างขวางในหมู่พุทธบริษัท พระพุทธองค์ทรงใช้วาระนั้นปรารภถึงการบำเพ็ญประโยชน์แก่โลกในครั้งอดีตชาติขึ้นเรื่องหนึ่ง เป็นชาดกแสดงการใช้อำนาจด้วยปัญญาอันนำมาซึ่ง ประโยชน์ต่อชาวโลกอย่างมหาศาล
ณ กรุงพาราณสี ริมฝั่งคงคามหานทีแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ เหล่าประชาชีต่างใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ในวาระประสูติกาลของเจ้าชายพระองค์น้อยประชาชนทั้งเมืองได้ออกมาร่วมแซ่ซ้องถวายพระพร ทั้งเมืองเต็มไปด้วยความยินดีปลื้มปีติ “เอ้า! เดินเร็วๆ เข้าลูก เดินไปถวายพระพรให้เจ้าชายองค์น้อยกัน” “โอ้โห! ชาวบ้านมากันเยอะแยะเต็มวังเลย” โฮ้ย! เข้าไปข้างในกันสักทีซิวะ เป็นพนักงานต้อนรับกันรึไง? มายืนยิ้มอยู่หน้าทางเข้าน่ะ โฮ้ย”
“โอ้ย! พวกแกเล่นดนตรีกันไปสองคนได้ไหม ข้าอยากไปร่วมถวายพระพรด้วยน่ะ” “ตีกลองไปเถอะน่า เสียงดนตรีจากพวกเรา ก็คือคำถวายพระพรเช่นกันแหละ”
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานนับหลายปี แต่ความปลื้มปีติของชาวพสกนิกรที่มีต่อเจ้าชายพระองค์น้อยของพวกเขาก็ยังคงอยู่ทุกวันเวลา มิเคยเลือนหาย เจ้าชายน้อย นาม พรหมทัต ทรงเป็นสิ่งล้ำค่าสูงสุดของกรุงพาราณสี “องค์ชายของเราน่ารักน่าเอ็นดู ข้าน่ะ ทั้งเคารพและรักเลยแหละ” “ฮ่าๆๆๆ แต่ข้าเคารพรักมากกว่าแกอีกโว้ย” “ฮิๆๆ ไอ้พวกขี้คุย ข้าเคารพรักมากกว่าพวกแกสองคนรวมกันอีก ฮิๆๆๆ” “เจ้าชายของเราเมื่อทรงเติบใหญ่แล้วจะต้องเป็นเจ้าชายที่เก่งที่สุดเป็นแน่” “ข้าก็ว่าอย่างนั้นแหละ นอกจากเก่งแล้วยังหล่อเหลาด้วยนะ ฮ่าๆๆๆๆ”
.
“แม่... เมื่อไหร่พวกเราจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้าเจ้าชายน้อยอีกล่ะคะ” “ใจเย็นๆ สิจ๊ะลูก เดี๋ยวท่านก็เสด็จมาเยี่ยมเยียนพวกเราอีกนั่นอีกแหละ”
เจ้าชายน้อยทรงเพียบพร้อมในสรรพสิ่งตามสมควรแก่ขัตติยะราช มีชีวิตวัยเด็กด้วยความเกษมสำราญ “ท่านพี่ทอดพระเนตรโอรสของเราสิคะ ยิ่งเจริญวัย ยิ่งสง่างาม” “ฮ่าๆๆๆ ตอนพี่เด็กๆ ก็สง่างามเช่นนี้แหละ น้องหญิง พรหมทัตน่ะ ถอดแบบพี่ออกมาเลยแท้ๆ”
จากวัยกุมารน้อยสู่วัยหนุ่ม เจ้าชายพรหมทัตทรงเจนจบกระบวนรบและศาสตราวุธดุจขุนทหารที่แข็งแกร่ง “โอ้! ทรงพระปรีชาสามารถแท้ๆ แม้จะมีชันษาได้เพียง 16 ปี แต่พระองค์ทรงสามารถเรียนจบศิลปศาสตร์ชั้นสูง ไตรเทพทั้ง 18 แขนงได้ ซึ่งไม่เคยมีใครผู้ใดทำได้มาก่อนเลยพะยะค่ะ” “ก็ได้ท่านช่วยฝึกปรือให้ข้าด้วยนั่นแหละ” ด้วยทรงพระปรีชาสามารถและความโอบอ้อมอารีของเจ้าชาย ทำให้ชาวพสกนิกรทวีความจงรักภักดี เชิดชูมากยิ่งขึ้น พรหมทัตกุมารมิได้ทรงหลงใหลในคำเยินยอสรรเสริญแต่ประการใด ยังคงเฝ้าดูและห่วงใยพสกนิกรด้วยความรักใคร่ “อืม พรหมทัต โอรสของเราเนี่ยะ ช่างอัจฉริยภาพทางการปกครองจริงๆ เห็นทีเราต้องพระราชทานพระยศให้เป็นมหาอุปราชแล้วล่ะ จะได้เรียนรู้การปกครองพาราณสีมากยิ่งขึ้น”
เมื่อเจ้าชายพรหมทัตได้พระราชทานเป็นมหาอุปราชก็ทรงทำหน้าที่ได้อย่างดี ออกเสด็จเยี่ยมประชาชนอย่างใกล้ชิด “อืม ประชาชนส่วนใหญ่ในพาราณสียังยากจนอยู่รึเนี่ย? เราต้องทำอะไรสักอย่าง ให้พวกเขาเหล่านี้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นบ้างแล้ว” “อุ้ย! เจ้าชายพรหมทัต มีม้าตั้ง 2 ตัว เราขอม้าพระองค์มากินสักตัวดีไหมตา?” “โอ้! เจ้าชายพรหมทัต เสด็จมาแล้ว อยากออกไปรับเสด็จใกล้ ๆ เหลือเกิน โอ้ย! แต่ไม่มีแรงเดิน โอ้! หิว”
ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น เจ้าชายพรหมทัตยังทรงพบว่าราษฎรส่วนใหญ่เกียจคร้านไม่ทำมาหากิน หวังพึ่งแต่ผีสางเทวดา เอาแต่เซ่นไหว้บูชายัญ “สาธุ! เจ้าพ่อต้นไทรโปรดช่วยดลบันดาลให้ลูกได้เจอแต่โชคลาภด้วยเถิด เฮ้อ! ไหว้เสร็จแล้วไปนอนดีกว่า เดี๋ยวโชคก็มาเอง ฮิๆๆๆ” “เจ้าพ่อต้นไทรเจ้าคะ ช่วยดลบันดาลให้มีอาเสี่ยมาเลี้ยงลูกสักคนด้วยเถิด ลูกช้างนะ ไม่เรื่องมากหรอกค่ะ เอาแบบรวยๆ หล่อๆ สูง ยาว เข่า ดี มีเชื้อเจ้า อืม...มีเค้าโง่หน่อยๆ ก็ดีนะเจ้าคะ” “สาธุ! เจ้าพ่อต้นไทร ลูกน่ะไม่ขออะไรมากหรอก ขอแค่เลขเด็ดๆ สัก 3 ตัว ติดต่อกันสักยี่สิบสามสิบงวดก็พอ ลูกเตรียมตัวนะขอรับ”
นานวันเข้าสัตว์ที่ถูกฆ่าเพื่อนำมาเส้นไหว้บูชายัญก็มากขึ้น เสียงร้องโหยหวนเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานดังระงมไปทั่วเมือง เป็นที่น่าสังเวชใจยิ่งนัก
“หึๆๆๆ งวดนี้น่ะได้มาเยอะ เอาของอร่อยๆ ไปเซ่นไหว้เจ้าพ่อต้นไทรสักหน่อย” เมื่อผู้คนเกียจคร้านไม่ทำมาหากิน หวังพึ่งแต่ผีสางเทวดา นานไปความจนความอดอยากก็เป็นเหตุให้มีโจรผู้ร้ายอยู่ทั่วเมือง “หึๆๆๆ เอาหัวหมูมาถวายได้ลาภจากเจ้าพ่อต้นไทรมาเพียบล่ะซิ อย่างนี้ต้องปล้นเอาหัวหมูมาแกล้มเหล้า เอ้ย! ไม่ใช่ต้องปล้นเงินให้เกลี้ยง หึๆๆๆ”
เจ้าชายพรหมทัต แม้จะทรงรู้ว่าความเชื่อผิดๆ ของชาวบ้านเป็นสาเหตุของปัญหาก็มิได้ทรงใช้อำนาจทำลายโดยทันที กลับเสด็จไปบูชาเจ้าพ่อต้นไทรร่วมกับชาวบ้านแทน “โอ้! เจ้าชายพรหมทัต เสด็จมาบูชาเจ้าพ่อต้นไทรอีกแล้ว ช่างขยันขันแข็งจริงๆ น่านับถือๆ” “นี่แหละ เจ้าชายผู้เป็นมหาราชของพาราณสี ช่างน่าชื่นชมจริงๆ”
ต่อมาราชาแห่งพาราณสีก็เสด็จสวรรคต องค์อุปราชพรหมทัตได้ขึ้นครองบัลลังก์แทน ทรงพระนาม “พระเจ้าพรหมทัต” เมื่อได้ครองราชย์พระเจ้าพรหมทัตก็ทรงปราบปรามเหล่าโจรผู้ร้าย และทำนุบำรุงปวงประชาเป็นอย่างดี “ปัญหาต่างๆ เราก็ขจัดจนหมดสิ้น เหลือเพียงอย่างเดียวต้องขจัดความลุ่มหลง มัวเมาของประชาชนให้หมดไป ท่านราชบุรุษ เราเคยบนบานเจ้าพ่อต้นไทรไว้ ว่าหากได้ครองบัลลังก์เมื่อใด เราจะจัดเครื่องเซ่นไหว้บูชาอย่างยิ่งใหญ่ ท่านช่วยหาเครื่องเซ่นไหว้และประกาศให้ชาวบ้านมาร่วมพิธีด้วยนะ”
“จะให้หม่อมชั้นเตรียมเครื่องเซ่นไหว้เป็นอะไรรึพระเจ้าค่ะ?” “เอาเป็นชีวิตของคนบาปที่ทำผิดศีล 5_น่ะ โดยเฉพาะไอ้พวกที่ชอบฆ่าสัตว์ หามาเซ่นสังเวยสักพันชีวิตซิ” “หา! โอ่! ไม่น่าเชื่อ อะไรเนี่ย”
เมื่อชาวบ้านทั่วกรุงพาราณสีได้ทราบข่าวการเซ่นไหว้ของพระเจ้าพรหมทัต ก็เกิดความกลัว สิ่งนี้นั่นเองที่ทำให้ชาวบ้านเกิดสติ คิดพิจารณาผิดชอบชั่วดี “เฮ้อ! เจ้าลาที่เราเอาหัวมันมาเซ่นไหว้นี้ มันก็คงรักชีวิตของมันเหมือนสินะ เราเนี่ย..ช่างทำเรื่องผิดศีลธรรมแท้ๆ เลย เอาหัวเจ้าคืนไปเถอะ ฉันผิดไปแล้ว ขอโทษด้วยนะ เจ้าลา”
“อุ้ย! พระเจ้าพรหมทัตน่ะ ทรงขึ้นครองราชย์ได้เพราะพระปรีชาสามารถแท้ๆ ไม่ใช่เพราะเจ้าพ่อต้นไทรดลบันดาลซักหน่อย ทำไมต้องเอาชีวิตคนไปเซ่นไหว้ด้วยละ” “เฮ้อ พระราชาทรงทำให้พวกเราคิดได้แท้ๆ ที่ผ่านมาเรามีความเชื่อที่ผิดๆ มาตลอดหรือเนี่ย”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวบ้านกรุงพาราณสีก็ขยันทำมาหากิน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ชาวบ้านต่างดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข “ลูกรัก แม่มีข้าวมาให้เจ้ากินแล้วล่ะ วันหลังแม่จะไปทำงานบ้านเศรษฐีอีก ลูกจะไม่อดอยากอีกแล้วนะจ๊ะ”
“เอ้า! มารับค่าแรงกันได้แล้ว วันนี้ท่านเศรษฐีใจดีเอาข้าวของมาแจกให้เรากินกันที่บ้านด้วย” “โอ่ย หลงพึ่งเจ้าพ่อต้นไทรมานานจนอดอยากปากแห้ง คราวนี้ทำงานเองมีข้าวกินแล้วเว้ย” จากนั้นกรุงพาราณสีของพระเจ้าพรหมทัตก็สงบสุขร่มเย็นเป็นแผ่นดินธรรมไปตลอดรัชสมัย
ทุมเมธานํ สหสฺเสน ยญโณ เม อุปยาจิโต
อิทานํ โขหํ ยชิสฺสามิ พหฺ อธมฺมิโก ชโน
เราเข้าไปบนไว้ว่า จะบูชายัญด้วยคนโง่ๆ พันคน
บัดนี้เราจะต้องกระทำ เพราะคนที่ประพฤติ “อธรรม” เช่นนี้มีมากแล้ว