ชาดก 500 ชาติ
กุสนาฬิชาดก-ชาดกว่าด้วยประโยชน์ของการคบมิตร
ณ บ้านมหาเศรษฐีนามอนาถบิณฑิกะ ได้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น เมื่ออนาถบิณฑิกะเศรษฐีได้คบหากับมิตรผู้ที่ฐานะต่ำต้อยกว่า และได้แต่งตั้งให้บุรุษผู้นั้นเป็นผู้ดูแลสมบัติทั้งหมดของตน เหล่าบรรดาญาติพวกพ้องของท่านอนาถบิณฑิกะต่างแสดงความไม่พอใจ และขอให้ท่านเศรษฐีเลิกคบหากับมิตรผู้นั้น “ท่านเศรษฐีเชื่อฉันเถอะ อย่าคบหากับบุคคลท่านนี้เลย” “พวกเราไม่เข้าใจว่าท่านคบกับบุคคลที่ต่ำต้อยกว่าได้เช่นไร” “ท่านเศรษฐีดูเอาเถอะ คนผู้นี้ไม่ทัดเทียมกับท่านเลย ทั้งชาติ โคตร ทรัพย์ และธัญชาติ” “ธรรมดาความสนิทสนมกันฉันมิตรกับคนที่ต่ำกว่าก็ดี คนที่เสมอกันก็ดี คนที่สูงกว่าก็ดี ควรกระทำทั้งนั้น พวกท่านหยุดพูดเถิด เราได้ตัดสินใจแล้ว”
ในครั้งนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ เชตะวันมหาวิหาร เมื่อพึงทราบเรื่องที่เกิดขึ้น พระองค์จึงกับเหล่าญาติเศรษฐีว่า “ดูก่อนคฤหบดี ธรรมดามิตรเสมอด้วยตนก็ดี ต่ำกว่าตนก็ดี ยิ่งกว่าตนก็ดี ควรคบไว้เหตุว่ามิตรเหล่านั้นแม้ทั้งหมดย่อมช่วยแบ่งเบาภาระที่มาถึงตนได้ทั้งนั้น บัดนี้ท่านอาศัยมิตรผู้ชี้ขาดการงานของตน จึงเป็นเจ้าของขุมทรัพย์ได้สืบไป” อนาถบิณฑิกะเศรษฐีได้กราบทูลอาราธนา องค์พระศาสดาจึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาทกดังต่อไปนี้
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
ในอุทยานของพระราชามีต้นรุจมงคล อาศัยมงคลศิลา มีลำต้นตั้งตรงแผ่กิ่งก้านสาขาสวยงามได้รับการยกย่องจากราชสำนักเรียกกันว่า ต้นสมุขกะ หรือต้นไม้พูดได้ เพราะมีเทวดาสิงอยู่ เทวราชผู้มีศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่งบังเกิดที่ต้นไม้นั้น
บริเวณข้างๆ ต้นไม้มงคลมีกอหญ้าที่มีรุกขเทวดาอาศัยอยู่ด้วย
รุจาเทวดา เทวราชผู้มีศักดิ์ที่อาศัยอยู่ในตนไม้มงคล และกุสนาฬิเทวดา รุกขเทวดาที่อาศัยอยู่ในกอหญ้า คบหาเป็นมิตรสหายโดยมิได้คำนึงถึงศักดิ์ที่ต่างกันแม้แต่น้อย “วันนี้อากาศดีจริงๆ เลยนะท่าน” “อึม..ใช่ อากาศดีอย่างนี้น่าจะมีแต่เกิดเรื่องดีๆ ขึ้นนะท่านว่ามั๊ย เฮอะๆๆ” “ก็ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกันหรือเปล่า แต่ก็อยากให้เป็นดังที่ท่านว่า เฮอะๆๆๆ”
ครั้งนั้นพระราชาเสด็จประทับอยู่ในปราสาทเสาเดียว เสาของปราสาทนั้นสั่นไหว พวกราชบุรุษพากันกราบทูลความสั่นไหวของเสานั้นแด่พระราชา “โอ๊ะๆๆ..โอ๊ย..เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมปราสาทของเรามันถึงได้สั่นไหวเช่นนี้” “ขอเดชะ เป็นเพราะเสาปราสาทนั้นผุกร่อนสั่นไหว จึงทำให้ปราสาทไหวตามพะยะค่ะ” “โอ๊ะ...พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่ รู้ว่าเสาผุก็หาเสาใหม่มาเปลี่ยนซิ ไม่ไหวเลย ปล่อยให้ปราสาทไหวอยู่ได้” “พะยะค่ะ” เมื่อรู้ว่าปราสาทสั่นไหวเหตุเพราะเสาผุกร่อน พระราชาจึงรับสั่งให้ทหารรีบหาเสาใหม่มาเปลี่ยนเร็ววัน
เหล่าทหารต่างก็เร่งหาต้นไม้ต้นใหม่มาใช้แทนเสาต้นเก่ากันจ้าละหวั่น ในที่สุดก็พบต้นไม้ที่เหมาะสม “เฮ้ยพวกเราช่วยกันเร่งมือหาหน่อยเว้ย เอาต้นไม้ต้นไหนดีเนี่ย..เฮ้อ” “เฮ้ย...นั่นไงๆ เอาต้นไม้ต้นนั้นซิ ต้นใหญ่เชียว น่าจะแข็งแรงดีนะพี่เนี่ย” “เออดีๆๆ แต่เอ้ ต้นไม้ต้นนี้เป็นต้นไม้มงคล ต้นสมุขกะต้องเรียนพระราชาก่อน จะตัดได้หรือเปล่าก็ไม่รู้น่า” “ก็ดีนะซี พรุ่งนี้เราค่อยมากันใหม่แล้วกันนะ”
“พบแล้วพะยะค่ะ ต้นไม้ที่เหมาะสำหรับทำเสาปราสาท” “ว่ายังไงนะ พวกเจ้าเห็นแล้วเหรอ” “พะยะค่ะ พวกข้าพระองค์พากันเข้าสู่พระอุทยาน ในพระอุทยานนั้นเล่าเว้นต้นมงคลพฤกษ์แล้ว ก็ไม่เห็นต้นอื่นๆ เนื่องจากเป็นมงคลพฤกษ์ พวกข้าพระองค์จึงไม่กล้าตัดต้นไม้นั้นพระเจ้าค่ะ” “พวกเจ้าจงพากันไปตัดเถิด จะได้ทำปราสาทให้มั่นคง เราจะตั้งต้นอื่นเป็นมงคลพฤกษ์แทน” “พะยะค่ะ”
หลังจากรับคำสั่งจากพระราชาแล้ว พวกช่างไม้และทหารจึงพากันถือเครื่องพลีกรรมไปสู่อุทยาน “วันนี้พวกเรามากระทำพลีกรรมแก่ต้นไม้ก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาตัด” “ดีเลย วันนี้เดินไปเดินมาล้าไปหมดแล้วเนี่ย ไปๆๆ..กลับกันก่อนดีกว่าพวกเรา พรุ่งนี้ค่อยทำงานกันก่อนนะ”
เมื่อรุจาเทวดารู้ว่าต้นไม้มงคลที่อาศัยอยู่จะถูกตัดพรุ่งนี้ก็เศร้าโศกเสียใจ “เฮ้อ...พวกทหารจะมาตัดต้นไม้แล้ว ที่นี้เราจะเอาต้นไม้ที่ไหนสถิตละทีเนี่ย..เฮ้อ” หมู่รุกขเทวดาที่รู้จักมักคุ้นของเทวดานั้น พากันไต่ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ครั้นได้ฟังแล้วก็ไม่สามารถที่ช่วยอะไรได้ “เรามองไม่เห็นหนทางที่จะช่วยท่านได้จริงๆ” “นั่นนะซี ในอุทยานเนี่ยก็มีไม้ใหญ่แค่ต้นนี้ต้นเดียว”
กุสนาฬิเทวดาเมื่อรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็เข้ามาปลอบใจและคิดหาวิธีแก้ไข “ชั่งเถอะ อย่ามัวเสียใจเลย เราจะไม่ให้คนตัดต้นไม้นั้น พรุ่งนี้เวลาพวงช่างมา พวกท่านคอยดูเถอะเราจะจัดการแก้ไขปัญหานี้เอง”
รุ่งเช้าทหารและนายช่างถือเครื่องมือและพากันเดินเข้ามาในอุทยานเตรียมตัวที่จะตัดต้นไม้มงคล “เฮ้ย....เช้านี้อากาศดีจริงๆ เว้ย..ทำงานกันเถอะพวกเรา รีบตัดไป จะได้รีบไปซ่อมเสาที่ปราสาท” "อึบ..เอ่อ..เช้าๆ อย่างนี้แรงกำลังดีเลยละพี่ เอ้า..ลุยเลยพวกเรา” “เอ้า ฮุยเลฮุย เอ้า” "ทำยังไงดีละท่าน พวกทหารเข้ามาตัดไม้กันแล้ว” “ท่านอย่าวิตกกังวลไปเลย เดี๋ยวเราจัดการเอง”
เมื่อทหารกับนายช่างเดินเข้ามาใกล้ต้นไม้ กุสนาฬิเทวดาจึงแปลงกายเป็นกิ้งก่าวิ่งนำหน้าพวกช่างไม้เข้าไปสู่โคนของมงคลพฤกษ์
กุสนาฬิเทวดา รุกขเทวดาที่อาศัยอยู่ในกอหญ้า เมื่อแปลงร่างเป็นกิ้งก่าแล้วก็วิ่งเข้าไปสู่โคนของมงคลพฤษ กระทำประหนึ่งต้นไม้นั้นเป็นโพรง
“ฮ้า..ต้นไม้นี้ เป็นโพรงรึเนี่ย ทำไมเมื่อวานเจ้าไม่ตรวจให้ดีๆ เสียเวลาไหม๊เนี่ย..ฮึย” “แย่เลย เอาต้นนี้ไปทำเป็นเสาปราสาทต้องหล่มแน่ๆ เลย งานนี้โดนด่าอีกแล้วเรา”
“เจ้านี่ทำงานไม่ได้เรื่อง ไปเลยไปรีบไปหาต้นไม้ที่อื่นเลย ในอุทยานไม่มีเจ้าก็ต้องออกไปหาในป่าโน้น ไปเลย” “โห๊ย..เหนื่อยอีกแล้วละตู..เฮ้อ” แผนที่กุสนาฬิวางไว้ประสบผลสำเร็จ ทหารและช่างไม้เลิกล้มความคิดที่จะตัดต้นไม้มงคล เหล่ารุขเทวดาต่างก็แสดงความยินดีกับรุจาเทวดาจึงได้จัดการประชุมกลุ่มรุขเทวดาขึ้นเพื่อแสดงความดีใจกับรุจาเทวดาที่ไม่ต้องเสียต้นไม้มงคลแหล่งอาศัย
“เราได้วิมานของเรากลับคืนมาแล้ว ดูก่อนเทพเจ้าผู้เจริญทั้งหลายชาวเราถึงจะเป็นเทวดามเหศักดิ์ไม่รู้อุบายนี้ เพราะปัญญาทึบ ส่วนเทวดากุสนาฬิได้กระทำให้เราเป็นเจ้าของวิมานได้เพราะญาณสมบัติของตน ข้าพเจ้าเป็นเทวดาเกิดที่ไม้รุจาและเทวดาเกิดที่กอหญ้าคามีศักดิ์น้อย ข้าพเจ้าแม้จะมีศักดามากก็ไม่อาจบำบัดทุกข์ที่เกิดแก่ตนได้ เพราะเป็นคนเขลาไม่ฉลาดในอุบาย แต่ได้อาศัยเทวดาผู้นี้ แม้จะมีศักดาน้อยก็เป็นบัณฑิตจึงพ้นจากทุกข์ได้ ฉะนั้นแม้คนอื่นๆ ประสงค์จะพ้นทุกข์ก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความเสมอกันและความวิเศษกว่ากัน พึงคบมิตรทั้งต่ำทั้งประณีต” รุจาเทวดาแสดงธรรมแก่หมู่เทวดาด้วยคาถานี้ดำรงอยู่ชั่วอายุขัยแล้วไปตามยถากรรมพร้อมกุสนาฬิเทวดา
รุจาเทวดาในครั้งนั้นได้มาเป็น พระอานนท์
ส่วนกุสนาฬิเทวดาเสวยพระชาติเป็น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า