ชาดก 500 ชาติ
กากาติชาดก ชาดกว่าด้วยนางกากี
ในพุทธกาลสมัย ครั้งที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วนั้น พระพุทธองค์มีพระประสงค์จะปักฐานพระพุทธศาสนาให้มั่นคง จึงได้เสด็จจาริกออกเผยแผ่พระธรรม โปรดแก่เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายยังดินแดนน้อยใหญ่ชมพูทวีป
แม้ว่าจะมีอุปสรรคยากลำบากสักเพียงใด แต่พระองค์ก็มิทรงย่อท้อต่อความเหนื่อยยากพระวรกายเลยแม้แต่น้อย จนในที่สุดก็สามารถแผ่พระธรรมคำสอนให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้ยึดถือปฏิบัติเป็นหลักธรรมดำเนินชีวิตใต้ร่มธงธรรมอย่างผาสุก
ณ พระอารามเชตวันมหาวิหาร ในสาวัตถีนคร ศาสนสถานอันเป็นที่ประทับของพระพุทธองค์นั้นเอง ชาวเมืองหลากตระกูลหลายชนชั้น ต่างเดินทางเพื่อมารับฟังพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดาด้วยความปีติยินดี เพราะบังเกิดความเลื่อมใสจนมีผู้คนศรัทธาเข้ามาบวชเป็นภิกษุสงฆ์เจริญภาวนาธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก
“อ้าว วันนี้มาสมาทานศีล รับฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ด้วยหรือท่าน” “จะพลาดได้อย่างไรล่ะท่าน โอกาสดีๆ ที่จะได้รับฟังพระธรรมจากพระพุทธองค์น่ะ ถือเป็นบุญวาสนาของพวกเราเลยล่ะ ดูซิ ชาวบ้านมากันเนืองแน่น โอ้โห! ทุกคนก็ล้วนอยากฟังพระพุทธโอวาทจากพระองค์ทั้งนั้นแหละ ช่างน่าชื่นใจจริงๆ” “งั้นก็รีบเข้าไปในโรงธรรมสภากันเหอะ จะได้นั่งแถวหน้า จะได้เห็นพระพุทธองค์ชัดๆ”
ในครานั้น ยังมีภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง มีความกระสันอยากจะสึก พระพุทธองค์จึงเมตตาเรียกให้ภิกษุหนุ่มมาเข้าเฝ้า เพื่อให้พุทธโอวาท “ดูก่อนภิกษุ จริงหรอที่ว่า เธอไม่ยินดีต่อการบวชในสมณะเพศเสียแล้ว” “ข้าแต่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นความจริงพระเจ้าข้า” “ดูก่อนภิกษุ แล้วเหตุอันใดเล่าที่ทำให้เธอกระสันอยากละจากเพศบรรพชิตเสียเล่า”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ไม่สามารถละกิเลสที่เกาะกุมจิตใจได้ อยู่ไปก็มีแต่จะทำให้พระศาสนาเสื่อมเสีย เหตุนี้ข้าพระองค์จึงอยากสึกพระเจ้าค่ะ” จากนั้นพระพุทธองค์จึงให้ธรรมโอวาทเตือนสติแก่ภิกษุหนุ่มผู้กระสันจะสึกว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาว่ามาตุคาม อันเป็นสตรีเพศนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็รักษาไว้ไม่ได้
แม้แต่บัณฑิตในสมัยโบราณครั้งก่อน จะยกมาตุคามนี้ขึ้นไปไว้ยังวิมานฉิมพลี ท่ามกลางด้วยมหาสมุทรแล้วไซร้ ก็ยังมิอาจจะรักษาสตรีผู้นั้นไว้ได้เช่นกัน เธอจงตรองดูเถิด” แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ นำ กากาติชาดก มาสาธกแก่ภิกษุหนุ่ม พร้อมเหล่าสาวกดังนี้
ย้อนไปในอดีตกาล ก่อนยุคพุทธกาลสมัย ณ ดินแดนพาราณสีนคร ภายใต้ร่มฉัตรแห่งพระเจ้าพรหมทัตทรงครองราชย์สมบัติอยู่นั้น ในวาระเดียวกันนี่เอง พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ บังเกิดอยู่ในครรภ์ของพระอัครมเหสีแห่งพระเจ้าพรหมทัตนั่นเอง
ครั้นเมื่อทรงเจริญวัยแล้วนั้น ก็เกิดเหตุการณ์อันน่าโทมนัสยิ่งนัก “เสด็จพ่อ ฮือ สวรรคตเสียแล้ว ฮือๆๆๆ เสด็จพ่อ ฮือๆๆๆ เสด็จพ่อ ฮือๆๆ”
หลังจากที่พระเจ้าพรหมทัต พระราชบิดาสวรรคตสู่สวรรคาลัยแล้วนั้น พระโพธิสัตว์ก็ได้ทรงครองราชย์เป็นพระราชาแห่งพาราณสีสืบต่อมา จากนั้นไม่นาน พระราชาหนุ่มก็ทรงอภิเษกกับพระนาง กากาติ เป็นอัครมเหสี ผู้มีพระสิริโฉมงดงาม เปรียบประหนึ่งดุจนางเทพอัปสรแห่งสรวงสวรรค์ก็มิปาน จนเป็นที่ร่ำลือกันทั่วพระนคร
“จริงหรือไม่ ที่ผู้คนในเมืองนี้ เขาร่ำลือกันนักกันหนาว่า พระมเหสีของพระราชานั้นน่ะ สวยงามราวกับนางฟ้า นางสวรรค์เลยทีเดียว” “โอ๊ย ท่านเอ้ย งามสุดจะบรรยายเลยล่ะ เกิดมาน่ะไม่เคยพบไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ไหนสวยขนาดนี้ มองซ้ายมองขวา ไม่ว่ามุมไหนๆ ก็สวยไปหมดเลย ถ้าท่านเห็นนะ รับรองตาค้างแน่ๆ”
“ว่าแล้วก็ชักอยากจะเห็นเป็นบุญตาสักครั้งนึง” “โอ๊ย อย่างท่านอะนะ คงไม่มีบุญซะล่ะ มองข้าแทนก็แล้วกันนะ ข้าก็สวยพอไปวัดไปวาได้นะ เฮอะๆๆๆ” “อุ่ย เห็นแล้วสยอง”
ในครานั้นมีพญาครุฑตนหนึ่ง มีนิสัยชอบเล่นสกาอยู่เป็นนิจ มักแปลงร่างเป็นมนุษย์มาเล่นสกากับพระเจ้าพาราณสีพระโพธิสัตว์ ฉับพลันที่ได้ยลพระสิริโฉมของพระอัครมเหสี ก็มีจิตปฏิพัทธ์หลงใหลในความงามนั้น บังเกิดเป็นความสิเน่หาจนยากจะทอดถอนใจได้
“โอ้ ช่างสวยงามอะไรเช่นนี้ อื้ม! ช่างงามสมคำร่ำลือจริงๆ นี่เราตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกเห็นเลยหรือเนี่ย” ฉับพลันกิเลสก็เกาะกุมจิตใจพญาครุฑ บันดาลความคิดลอบลักพาตัวพระอัครมเหสีไปยังวิมานฉิมพลี อันเป็นที่พำนักของตน โดยที่พระราชาโพธิสัตว์ไม่ได้ระแวงแม้แต่นิดเดียว
และแล้วพญาครุฑลักพานางกากาติไปยังสู่สุบรรณภพของตนได้สำเร็จ “ฮ่าๆๆๆ มาอยู่กับพี่เถอะ ยอดยาหยี พี่เนี่ยจะใช้สองปีกโอบอุ้มเจ้าให้มีความสุข ฮ่าๆๆๆๆ” ไม่มีสิ่งใดจะต้านทานแรงกิเลสปรารถนาในใจของพญาครุฑได้
เมื่อไปถึงวิมานฉิมพลีของตน พญาครุฑก็ใช้กำลังบังคับพระนางกากาติ หมายจะให้นางตกเป็นของตน และแล้วพระนางกากาติก็มิอาจต้านทานแรงกิเลสราคะของพญาครุฑได้ ในที่สุดพญาครุฑก็ได้ร่วมอภิรมย์กับพระนางกากาติ สมดังใจปรารถนา
ฝ่ายพระราชานั้น เมื่อไม่เห็นพระนางกากาติ พระอัครมเหสีตนก็กระวนกระวายใจด้วยความเป็นห่วง แม้นแต่ถามเหล่าขุนนางอำมาตย์ ทหารก็มิมีผู้ใดพานพบ “พวกท่านทั้งหลาย มีใครพบเห็นพระนางกากาติ มเหสีของเราบ้างไหม” “ข้าพระองค์ให้ทหารค้นทุกซอกทุกมุมพระราชวังก็ไม่เห็นพระมเหสีเลยพะย่ะค่ะ”
เมื่อค้นหาจนทั่วพระนครแล้วก็ไม่มีวี่แววของพระอัครมเหสีเลยแม้แต่น้อย พระราชาจึงตรัสเรียกคนธรรพ์ นามว่า นฏกุเวร มาเข้าเฝ้าเพื่อให้ค้นหา พระมหาเทวี “นฏกุเวร เจ้าจงไปค้นหามเหสีของเรากลับคืนมาให้ได้โดยเร็วนะ” “รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”
นฏกุเวร คนธรรพ์นั้น ล่วงรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว พญาครุฑที่จำแลงแปลงกายมาเป็นมนุษย์ เพื่อมาเล่นสกากับพระราชา คือ ผู้ที่ลักพาตัวพระนางกากาติ อัครมเหสีไป จึงคิดวางอุบายหาทางพาพระนางกากาติกลับมา “จะทำยังไงดีหน๊า ถึงจะไปรังเจ้าครุฑได้น่ะ อ้า! คิดออกแล้ว” นฏกุเวร นั้น แอบนอนซุ่มอยู่ในดงตะไคร้น้ำ ข้างสระแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งพญาครุฑนั้นมาเล่นน้ำเป็นประจำ
เมื่อขึ้นจากสระ นฏกุเวร จึงได้แอบเกาะอยู่ในระหว่างปีกของพญาครุฑ ด้วยร่างกายอันใหญ่โต พญาครุฑจึงไม่ได้ทันสังเกต หรือเอะใจเลยแม้แต่น้อย ในที่สุดก็บินกลับมายังสุบรรณภพ วิมานฉิมพลีของตน “พี่กลับมาแล้วจ้า น้องหญิงจ๋า” “ฮึๆๆๆ ในที่สุดแผนของเราก็ได้ผล ฮ่าๆๆๆ เจ้าครุฑนี่ช่างโง่เขลาจริงๆ ตัวใหญ่ซะเปล่า ฮึบ”
เมื่อพญาครุฑเผลอ นฏกุเวร ก็หลบออกจากปีกของพญาครุฑแล้วหลบซ่อนตัว จนพญาครุฑลงไปเล่นสกากับพระราชายังเมืองมนุษย์ ตนจึงลอบเข้าไปยังตำหนักเพื่อพบกับพระนางกากาติ “น้องหญิงจ๋า พี่ขอไปเล่นสกาซักแป๊บนะจ๊ะ เดี๋ยวกลับมาจะหาของอร่อยๆ มาฝากนะจ๊ะ”
“ฮ่าๆๆๆ ทีของเราแล้ว ทางสะดวก ฮิๆๆๆ” แต่ทว่าทันทีที่ นฏกุเวร ได้ยลความงามของพระนางกากาติ ก็พลันเกิดกิเลสต้องตาต้องใจ จนสุดที่จะห้ามใจได้ดั่งเช่นพญาครุฑ “โห งามยิ่งกว่าหญิงใดในโลก งามดุจดั่งนางฟ้านางสวรรค์ โอ้! เห็นแล้วสุดจะห้ามใจได้ น้องนางกากาติ นางฟ้าของพี่ ช่างงดงามบาดใจข้าเหลือเกิน” นฏกุเวร เห็นสบโอกาสก็ไม่รอช้า เข้าไปกระทำการเคล้าคลึงด้วยกิเลสกับพระเทวีในทันที เสร็จสมอารมณ์ปรารถนาแล้ว
นฏกุเวร ก็หลบซ่อนตัว แล้วพอสบโอกาสก็แอบเกาะปีกพญาครุฑกลับมายังเมืองพาราณสีเหมือนเดิม “เจ้าพญาครุฑเอ๋ย ตัวโตซะเปล่าจะคิดบ้างไหม ว่าจะเป็นพาหนะให้ข้า ทั้งขามาและขากลับ โฮ้ย! รับส่งถึงที่เลย ฮ่าๆๆๆ”
วันหนึ่งในขณะที่พญาครุฑแปลงร่างลงเล่นสกากับพระราชาอย่างเคยนั้น คนธรรพ์ นฏกุเวร ก็แสร้งทำทีถือพิณมาที่สนามสกา พร้อมขับกล่อมดนตรีเป็นทำนองเพลงว่า “หญิงคนรักของเราอยู่ ณ ที่แห่งใด กลิ่นของนางยังคงหอมฟุ้งมาจากที่แห่งนั้น ใจของเรายินดีในนางใด นางนั้นชื่อ กากาติ ซึ่งอยู่ไกลจากที่แห่งนี้”
พญาครุฑเมื่อได้ฟังก็ตกใจ ว่าเหตุไฉนคนธรรพ์นี้ ถึงได้รู้ความจริงที่ตนนั้น ลักพาพระนางกากาติ จึงเอ่ยถามเป็นนัยว่า “ท่านข้ามทะเลไปได้ยังไง” “เราข้ามไปได้ก็เพราะท่าน” “แล้วไหนจะแม่น้ำเกปุระล่ะ ท่านข้ามไปได้อย่างไร” “เราข้ามแม่น้ำไปได้เพราะท่าน” “แล้วท่านข้ามทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลอีกตั้ง 7_แห่งไปได้ยังไงกัน” “เราข้ามทะเลทั้ง 7 แห่งได้ก็เพราะท่านอีกนั่นแหละ” “หา! แล้วท่านขึ้นไปยังวิมานฉิมพลีได้ยังไง” “ฮึ้ย! ก็ท่านอีกนั่นแหละ ที่นำเราขึ้นไป ฮ่าๆๆๆ เราเกาะอยู่ในระหว่างปีกของท่าน กระทำการกิจทั้งปวงนี้ เพราะท่านเป็นผู้ชักนำเราไป”
พญาครุฑพอทราบความจริงแล้วก็ถึงกับกล่าวติเตียนตนด้วยความเสียใจว่า “อันตัวเราเอง ก็มีร่างกายใหญ่โตซะเปล่า ช่างไม่มีความคิดซะเลย ปล่อยให้ชายชู้ใช้เป็นพาหนะใช้ไปหาเมียทั้งขาไป และขากลับ โอ่ย น่าเจ็บใจตัวเองซะจริงๆ”
ด้วยความละอายใจ พญาครุฑก็เนรมิตกายคืนร่างดั่งเดิม แล้วบินกลับไปสู่สุบรรณภพ วิมานฉิมพลีของตน พาพระนางกากาติมาส่งคืนพระราชา แล้วก็ไม่หวนคืนมาเล่นสกากับพระราชาและเหล่ามนุษย์อีกเลย
พระพุทธองค์เมื่อตรัสชาดกแก่ภิกษุหนุ่มผู้กระสันอยากสึก พร้อมเหล่าพุทธสาวกทั้งหลายจบแล้ว ภิกษุหนุ่มผู้กระสันอยากสึกก็น้อมนำพุทธโอวาทฟื้นคืนสติกลับมาเจริญภาวนา จนในที่สุดก็บรรลุโสดาปัตติผล
พุทธกาลครั้งนั้น นฏกุเวร กำเนิดเป็น ภิกษุผู้กระสันอยากสึก
พระราชา เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
พระคาถาประจำชาดก
วาติ จายํ ตโต คนฺโธ ยตฺถ เม วสตี ปิยา
ทูเร อิโต หิ กากาติ ยตฺถ เม นิรโต มโน ฯ
หญิงคนรักของเราอยู่ ณ ที่แห่งใด
กลิ่นของนางยังหอมฟุ้งมาจากที่แห่งนั้น
ใจของเรายินดีในนางคนใด
นางคนนั้นชื่อกากาติ อยู่ไกลจากที่นี้ไป
กถํ สมุทฺทมตริ กถํ อตริ เกปุกํ
กถํ สตฺต สมุทฺทานิ กถํ สิมฺพลิมารุหิ ฯ
ท่านข้ามทะเลไปได้อย่างไร
ท่านข้ามแม่น้ำชื่อเกปุกะไปได้อย่างไร
ท่านข้ามสมุทรทั้ง 7 ไปได้อย่างไร
ท่านขึ้นต้นงิ้วได้อย่างไร
ตยา สมุทฺทมตรึ ตยา อตริ เกปุกํ
ตยา สตฺต สมุทฺทานิ ตยา สิมฺพลิมารุหิ ฯ
เราข้ามทะเลไปได้เพราะท่าน
ข้ามแม่น้ำชื่อเกปุกะไปได้เพราะท่าน
ข้ามสมุทรทั้ง 7 ไปได้เพราะท่าน
ขึ้นต้นงิ้วได้เพราะท่าน
ธิรตฺถุ มํ มหากายํ ธิรตฺถุ มํ อเจตนํ
ยตฺถ ชายายหํ ชารํ อาวหามิ วหามิ จาติ ฯ
กากาติชาตกํ สตฺตมํ ฯ
น่าติเตียนตัวเราผู้มีกายใหญ่โต
น่าติเตียนตัวเราผู้ไม่มีความคิด
เพราะว่าเราต้องนำมาบ้าง ซึ่งชู้ของเมียตนเอง