ชาดก 500 ชาติ
คิริทัตตชาดก-ชาดกว่าด้วยการเอาอย่าง
สมัยนั้นมีสหายสองคนเป็นชาวเมืองราชคฤห์ สองสหายนั้นคนหนึ่งบวชในสำนักพระศาสดาอีกคนหนึ่งบวชในสำนักของพระเทวทัต สหายทั้งสองนั้นย่อมได้พบเห็นกันเสมอ แม้ไปวิหารก็ยังได้พบเห็นกัน
ภิกษุที่บวชในสำนักพระศาสดาเมื่อบวชแล้วต้องปฏิบัติกิจสงฆ์อยู่เป็นนิจ ต่างจากสหายที่บวชในสำนักพระเทวทัตที่ไม่มีกิจใดที่พึงต้องทำ “โอ้โห วันนี้มีอาหารอร่อยๆ ทั้งนั้นเลย สบายจังเลยไม่ต้องไปบิณฑบาตเหมือนสหายของเรา พรุ่งนี้ชวนสหายมาฉันด้วยกันก็น่าจะดี”
“สหายท่านจะเที่ยวบิณฑบาตให้เหงื่อไหลอยู่ทุกวันทำไม เพียงท่านไปนั่งวิหารตำบลคยาสีสะกับเราเท่านั้น ก็จะได้บริโภคของดีด้วยรสเลิศต่างๆแล้ว" “จะดีหรือท่านเราบวชสำนักนี้ก็ควรจะฉันที่สำนักนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นจะผิดวินัยสงฆ์ รึเปล่าก็ยังไม่รู้”
“เอออย่าคิดมากนะ การที่ท่านได้รับความสะดวกสบาย ก็จะทำให้ท่านมีสมาธิ(Meditation) เพ่งภาวนาดีขึ้นยังไงละ” ภิกษุนั้นถูกพูดบ่อยๆเข้าก็อยากไป นับจากนั้นก็ไปคยาสีสะทำการบริโภค และมายังเวฬุวันต่อ เมื่อยังสาย
“จริงๆน่าจะมาได้ตั้งนานแล้วนะสบายอย่างที่ท่านว่านั้นแหละอาหารก็อร่อยด้วย” “เห็นไหมละท่านก็ฉันให้อิ่มแล้วก็ค่อยกลับไปยังเวฬุวันก็ยังได้ไม่มีใครรู้หรอก” เรื่องดังกล่าวภิกษุนั้นไม่อาจปกปิดได้ตลอดไป ไม่ช้านักข่าวก็ปรากฏว่า ภิกษุนั้นไปคยาสีสะบริโภคภัตตาที่เขาอุปัฏฐากพระเทวทัต
“ดูนั่นสิท่านสงสัยภิกษุหนุ่มรูปนั้นต้องไปวิหารคยาสีสะแน่ๆเลย เฮ้อไม่ควรเลยจริงๆ เราต้องเตือนสติเขาก่อนที่เขาจะผิดพลาดมากไปกว่านี้" นานวันเข้าจากที่เป็นภิกษุหนุ่มที่มุ่งมั่นปฏิบัติธรรม ก็กลายเป็นละเลย รักในความสบาย
“อุ้ยมัวแต่ลิ้มรสแกงคั่วอยู่ มาสายจนได้ เออหรือว่าครั้งนี้เลื่อนไปก่อนดีกินมาซะอิ่มตื้อเลยมีหวังนั่งหลับแน่" เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ภิกษุอื่นๆเกิดความขัดข้องใจ จึงไต่ถามความจริงจากภิกษุนั้น “ท่านบริโภคภัตที่เขาอุปัฏฐากแก่ท่านเทวทัตจริงหรือ พระเทวทัตเป็นเสี้ยนหนามต่อพระพุทธเจ้าเป็นผู้ทุศีลท่านบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้แล้วบริโภคโภชนะอันเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตโดยไม่ชอบธรรมเลย"
“ผมไปคยาสีสะบริโภคจริงแต่พระเทวทัตไม่ได้ให้ภัตแก่ผม” ภิกษุรูปอื่นเห็นพฤติกรรมเปลี่ยนไปของภิกษุหนุ่มจึงพาไปเฝ้าพระศาสดายังโรงเฝ้าธรรมสภา “ภิกษุเธออย่ากระทำการหลีกเลี่ยงในเรื่องนี้พระเทวัตเป็นผู้ไม่มีอาจาระ เป็นผู้ทุศีลเธอบวชศาสนานี้แล้วควรคบหาศาสนาของเราอยู่นั่นแหละยังบริโภคภัตตของพระเทวทัตได้อย่างไรเล่า”
แม้ในอดีตเธอก็เคยประพฤติผิดเพราะคบหากับคนพาลมาแล้ว แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสเล่า คิริทัตตชาดก ดังนี้ " ในเมืองพาราณสีพระเจ้าสามะมีม้ามงคลตัวหนึ่งชื่อว่าปัณฑวะ มีรูปร่างสวยงามมาก “ กินให้เยอะๆนะพ่อมีแต่หญ้าอ่อนๆทั้งนั้นเนี่ย”
ต่อมาไม่นานคนเลี้ยงม้ามงคลของพระราชาก็ได้เสียชีวิตลง “ฮือๆๆๆพ่อจ๋าพ่อพ่อทิ้งหนูไปแล้ว” “ลูกจ๋าพ่อเขาไปสบายแล้วลูก อยู่กับแม่สองคนนะจ๊ะ จากนั้นพระเจ้าสามะก็รับสั่งให้หาคนเลี้ยงม้ามาใหม่ แล้วก็ได้รับนายคิริทัต ซึ่งเป็นชายขาเป๋เข้ามาเลี้ยงม้าตัวนี้แทน”
“จากนี้เจ้าก็ดูแลม้ามงคลแทนคนเลี้ยงม้าที่เสียไปก็แล้วกัน” “พระเจ้าค่ะกระหม่อมจะดูแลอย่างดีเลยพระเจ้าค่ะ" "ชอบละสิ เดี๋ยวจะแปลงขนให้อย่างงามเลยนะพ่อ ทำงานวันแรกต้องสร้างผลงานให้ดีหน่อยอยากได้อะไรก็บอกพ่อนะ”
ม้ามงคลปัณฑวะเดินตามหลังนายคิริทัตทุกวัน เมื่อเห็นนายคิริทัตเดินขาเป๋ก็เดินขาเป๋ตามก็เลยกลายเป็นม้าขาเป๋ไป “เดินตามมาเลยพ่อเดี๋ยวจะพาไปเดินเล่น" “ตั้งแต่เปลี่ยนคนดูแลใหม่รู้สึกว่าเดินลำบากขึ้นนะเนี่ย เราต้องเดินกระโดกกระเดกๆ อย่างนี้สินะ”
“อ้าวเป็นอะไรไปละพ่อทำไมเดินกระโพกกะเผลกอย่างนั้นละ ตายๆๆ สงสัยม้าปัณฑวะเจ็บเท้ารีเปล่าเนี่ย โอ้ยเราก็ดูแลอย่างดีแล้วนี่นาเป็นอะไรไปละพ่อ” “เอ๋...จะมาจับขาเราทำไมเนี่ยปล่อยๆมาจับทำไม”
“นิ่งๆสิพ่อดูขาก่อนเจ็บตรงไหนหรือเปล่า เอ ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่นาหรือว่ากระดูกจะแตกข้างใน ตายๆ แล้วเรื่องใหญ่แน่ๆรีบแจ้งพระเจ้าสามะดีกว่า” คิริทัตหารู้ได้ว่าสาเหตูที่ม้าปัณฑวะเดินขาเป๋นั้นเนื่องจากเดินตามหลังตัวเองเขารีบแจ้งเหตุนี้แก่พระราชา “ข้าพระองค์ดูแลม้าปัณฑวะเป็นอย่างดีแล้วพระเจ้าค่ะ แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดม้ามงคลนี้ถึงเดินขาเป๋ได้หรือว่าจะเกิดอาการเจ็บป่วย” “หรือเจ้าดูไม่ออกแต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวข้าจะส่งแพทย์ไปดูอาการเอง”
“เอ...ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่นา..แผลก็ไม่มีนี่ กระดูกก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร” “ถ้าอย่างนั้นม้าปัณฑวะทำไมถึงเดินขาเป๋ละท่านหมอ เอ..อย่างนี้ก็อยากเกินที่จะวินิจฉัยจริงๆท่านเอย" “เป็นไปได้เหรอม้าปัณฑวะเดินขาเป๋เองโดยที่มีอาการบาดเจ็บเลย” “หรือนั่นท่านตรวจดีแล้วรึ” “พระเจ้าค่ะ หม่อมฉันดูทั้งบาดแผลและกระดูกข้างในก็ไม่เห็นมีอะไร เป็นเรื่องที่น่าแปลกมากไม่ได้เจ็บขาแต่เดินกะเผลก”
“หรือว่าเจ้า คิริทัต จะดูแลไม่ดี" “ทหารเรียกอำมาตย์มาพบเราหน่อย" พระเจ้าสามะ คิดถึงเรื่องที่ทำให้ม้าปัณฑวะเดินขาเป๋ แต่คิดไม่ออก จึงทรงเรียกอำมาตย์ผู้สอนธรรมมาปรึกษา
“ท่านช่วยเราคิดหน่อยเถิดท่านอำมาตย์ เหตุใดม้ามงคลถึงเดินขาเป๋ได้ ไม่ได้เกิดจากอาการเจ็บป่วยแล้ว จะเกิดจากสาเหตุใดบ้าง" “ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมขออนุญาตไปเฝ้าม้าปัณฑวะสักระยะก่อนเถอะพระเจ้าค่ะกระหม่อมถึงจะทูลถึงสาเหตุได้"
“กระผมดูและพระปัณฑวะเป็นอย่างดีแล้วนะครับ ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม แต่ก็คิดถึงสาเหตุที่ม้ามงคลเดินขาเป๋ไม่ได้สักที" “ไม่เป็นไรเจ้าก็เลี้ยงตามที่เจ้าเลี้ยงไปเถิดเราจะเฝ้าดูสาเหตุให้เอง" อำมาตย์เมื่อได้รับคำสั่งจากพระเจ้าสามะให้หาสาเหตุการเดินขาเป๋ของม้ามงคลก็ได้มาเฝ้าดูม้ามงคลอย่างใกล้ชิด
“เอ้าฟางอร่อยๆ มาแล้วจ้าทานให้อิ่มเลยนะพ่อ มีคนมาเฝ้าดูอย่างนี้ต้องประพฤติดีๆหน่อยเรา พรุ่งนี้จะแต่งสูทมาซะหน่อยจะได้สุภาพ” “อืม...ก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิดเพี้ยนไปนี่นาอาหารก็ให้เหมือนเดิมอาบน้ำแปรงขนก็เหมือนเดิม คงผิดแปลกไปจากท่าเดินแล้วละมั้ง”
อำมาตย์มาเฝ้า คิริทัต และ ม้ามงคล หลายวันก็ไม่พบเหตุที่จะทำให้ม้ามงคลเดินขาเป๋ได้ “ใช่สินะตั้งแต่ที่เรามาดูคิริทัต เลี้ยงม้ามงคล ยังไม่เคยเห็นม้ามงคลเดินเลยนี่นา คิริทัตเจ้าลองเดินพาม้าปัณฑวะเดินไปสวนทางด้านโน้นสิ เราจะสังเกตดูว่าอะไรที่ทำให้ม้ามงคลเดินขาเป๋ได้”
คิริทัตจูงม้าปัณฑวะเดินไปในสวนตามปกติอย่างที่เคยทำ ม้ามงคลจากที่เคยเป็นม้าสง่า แต่เมื่อเดินตามคิริทัตแล้วกลับเดินกระโพกกะเผลกตามคนเลี้ยง "มาพ่อมาเดินตามเรามาเถิด เราจะพาพ่อไปดูสวน” “เดินตามคนนี้ทีไรลำบากกายเลยทุกทีเรา"
เมื่ออำมาตย์เห็นม้ามงคลเดินกะเผลกเดินตามหลังคิริทัตก็รู้ว่าสาเหตุก็คือคิริทัตนี่เอง "ตอนกินตอนอาบน้ำก็ปกตินะ แต่เมื่อเดินตามหลังคิริทัตก็มีอาการทันทีสงสัยคงเป็นเพราะเดินตามหลังคนเลี้ยงสิเนี่ย" เมื่อรู้เหตุที่ม้าเดินขาเป๋แล้วอำมาตย์ก็รีบทูลพระเจ้าสามะทันทีเพื่อถวายหนทางแก้ไข
“ท่านรู้แล้วว่าทำไมม้ามงคลของเราถึงเดินขาเป๋ได้" “พระเจ้าค่ะหม่อมฉันได้ไปเฝ้าดูคิริทัตเลี้ยงม้าอยู่หลายวัน เมื่อให้อาหาร อาบน้ำ แปรงขน ม้าคิริทัตก็ไม่แสดงอาการผิดปกติหรือขาเป๋แต่อย่างใดจะมีแต่เฉพาะตอนที่เดินตามหลังคิริทัตเท่านั้นพระเจ้าค่ะที่ม้ามงคลตัวนี้เดินกระโพกกะเผลกเหมือนคิริทัตไม่มีผิด"
“ท่านหมายความว่าคิริทัตเหรอที่ทำให้ม้ามงคลของเราขาเป๋ใช่พระเจ้าค่ะ ขอเดชะอาการของม้าปัณฑวะเป็นปกติดีแต่ที่เดินขาเป๋เป็นเพราะเดินตามคนเลี้ยงที่ขาเป๋พระเจ้าค่ะม้าจะเลียนแบบคนเดินคนฝึกดูแลพระเจ้าค่ะเมื่อคิริทัตที่เป็นชายเดินขาเป๋ข้างหน้าย่อมเป็นแบบอย่างให้ปัณฑวะเดินเป็นแบบอย่างได้พระเจ้าค่ะ“
“ถ้าอย่างนั้นเราจะแก้ไขอย่างไรดีละท่าน” “ไม่ยากหรอกพระเจ้าค่ะ แค่ได้คนเลี้ยงม้าขาดี ม้าก็จะเป็นปกติเหมือนเดิมเอง ถ้าคนบริบูรณ์สมควรแก่อันม้านั่นพึงจะมานั่งที่บังเหงียนแล้วจูงรอบไปสนามม้าไซร้ ม้าก็จะออกอาการขเยกแล้วเลียนแบบคนเลี้ยงม้านั่นโดยพลัน"
“เราไม่น่าให้คิริทัตมาเลี้ยงตั้งแต่แรกเลยถ้าอย่างนั่น เจ้าจงไปเปลี่ยนคนเลี้ยงม้าโดยเร็ว ก่อนที่ม้ามงคลของเราจะติดอาการเดินขาเป๋ไปมากกว่านี้" “ฮ้า..ท่านรู้สาเหตุที่ทำให้ม้ามงคลเดินขาเป๋แล้วหรือ เป็นเพราะเหตุใดกันท่าน" "ใช่ เหตุก็เพราะเจ้านั้นแหละคิริทัต การที่เจ้าเดินขาเป๋ เลยทำให้ม้าเดินขาเป๋ตามเจ้า" "เป็นเพราะเราหรือนี่" "รู้อย่างนี้เจ้าก็ออกไปได้แล้ว เราจะหาคนเลี้ยงม้าคนใหม่มาแทนที่เจ้าแล้ว เจ้าหมดหน้าที่แล้ว ไปซะ" "โอ้..ตกงานจนได้นะเรา"
เมื่อเปลี่ยนคนเลี้ยงม้าแล้วไม่นานม้าก็เดินปกติดีเช่นเดิม พระราชาจึงได้พระราชทาน ลาภ ยศ ให้แก่อำมาตย์ผู้ให้ถวายคำแนะนำเนื่องจากเป็นผู้รู้วิธีทำให้ม้ากลับมาเป็นปกติได้
คิริทัตในครั้งนั้นได้เป็น เทวทัตในครั้งนี้
ม้ามงคลได้เป็น ภิกษุผู้คบพวกผิด
พระราชาได้เป็น พระอานนท์
ส่วนอำมาตย์บัณฑิตเสวยพระชาติเป็น องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า