ชาดก 500 ชาติ
ปุณณปาติกชาดก-ชาดกว่าด้วยความฉลาดทันคน
ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล ณ นครสาวัตถี อานาถบิณฑิกเศรษฐีได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อกราบทูลเรื่องราวที่ตนได้ประสบเหตุกับนักเลงขี้เหล้ากลุ่มหนึ่ง เมื่อพระพุทธองค์ได้ฟังแล้ว ก็ตรัสว่า “ดูก่อนอานาถบิณฑิกเศรษฐี ในอดีตกาลเราเองก็เคยประสบเหตุดังนี้มาแล้วเหมือนกัน แล้วพระพุทธองค์จึงนำ ปุณณปาติกชาดก มาตรัสเล่าให้อานาถบิณฑิกเศรษฐี และเหล่าพุทธสาวกได้ตระหนักถึงโทษของการดื่มสุรา และความมีสติรู้ เป็นผู้ฉลาดทันคน เพื่อให้ทุกคนน้อมนำไปเป็นหลักประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม ดังนี้”
ย้อนไปในอดีตกาล สมัยที่พระเจ้าพรหมทัตทรงครองราชย์สมบัติ ณ กรุงพาราณสี ในครั้งนั้น ยังมีนักเลงเหล้านั่งล้อมวงดื่มเหล้า เมาเป็นอาจิณ “อ้าว เฮ้ย พวกเราหมดแก้ว ไม่มีน้ำในโลกนี้จะรสชาติดีเท่ากับเหล้าอีกแล้ว”
“ใช่แล้วลูกพี่ เอาอะไรมาแลก ฉันก็ไม่ยอม งั้นเดี๋ยวฉันไปยกมาอีกไหนะลูกพี่ อ้าว เฮ้ย แย่แล้วลูกพี่ เหล้าหมด” “อืม เหล้าหมดๆๆๆ แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะลูกพี่ เงินก็ไม่มี แล้วจะเอาเหล้าที่ไหนมาอาบ เฮ้ย มากินล่ะ อย่างนี้มันก็ขาดตอนแย่ละสิ เซ็งเลย” “จะไปอยากอะไร ไม่มีเงินเราก็ไปขโมยมาสิว่ะ ฮ่าๆๆ เดี๋ยวก็ได้เงินแล้ว”
นอกจากไม่คิดจะงานใดๆ แล้ว ยังได้แต่คอยเบียดเบียนครอบครัว หรือไม่ก็หลอกลวงชาวบ้าน ตัดช่องย่องเบา หาเงินมาดื่มเหล้ากันอย่างน่าเอือมระอาใจยิ่งนัก “เฮ้ย จะไปไหนจ๊ะน้องสาว เดินคนเดียวไม่กลัวขี้เมา เฮ้ย โจรหรอจ๊ะ” “กลัวสิจ๊ะ ทั้งโจรทั้งขี้เมานั้นแหละจ๊ะ ขอทางฉันหน่อยนะจ๊ะ ฉันจะรีบกลับไปให้นมลูก” “ขอทาง ก็ต้องมีค่าผ่านทางสิจ๊ะน้องสาว จริงมั๊ยว่ะ พวกเรา” “ใช่ เงินน่ะมีมั๊ย เอาเงินมาซะดีๆ จะได้กลับบ้านไวๆ อย่าให้ต้องใช้กำลังนะ เอามา ฮ่าๆๆๆ” “จ๊ะๆๆ อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันมีเท่านี้แหละ เอาไปเลยนะพ่อ” “ดีมาก พูดง่ายๆ แบบนี้ จะได้ไม่เจ็บตัว ฮ่าๆๆๆ” “ไปโว๊ย เอาเงินไปซื้อเหล้ากินกัน หวานหมูแล้ว”
วันหนึ่งเงินที่มีไว้ซื้อเหล้าใกล้หมดลง พวกขี้เหล้าจึงปรึกษากันเพื่อหาเงินมาซื้อเหล้า ขี้เหล้าคนหนึ่งจึงเสนอขึ้นมาว่า “ลูกพี่ เหล้าในคลังของเราจะหมดอีกแล้วนะ เหลืออีกไหเดียวเอง จะทำยังไงดีล่ะ” “ที่บ้านฉันก็ไม่เหลือแล้ว” “ใช่ ฉันก็แอบหยิบมาจนไม่เหลือแล้วเหมือนกัน หรือว่าเราจะไปขโมยกันอีกล่ะ”
“เอาไงดีลูกพี่ ฉันเปรี้ยวปากอยากเหล้าเต็มแก่อยู่แล้วเนี่ย ทำยังไงก็ทำเถอะ” “พวกแก่ ไม่ต้องกลัว คราวนี้รับรองเรารวยเละ มีเงินกินเหล้าไปอีกนานเลยล่ะ” “ห๊ะ จริงดิลูกพี่ เราต้องทำยังไงล่ะ” “เอาหูมาใกล้ๆ ซิ” แผนการที่พวกนักเลงเหล้าคิดกันก็คือ จะทำอุบายหลอกมอมเหล้าเศรษฐี
เมื่อท่านหมดสติแล้ว จึงปลดทรัพย์สินเครื่องแต่งตัวของท่านไปขายเอาเงินมาซื้อเหล้าดื่มกัน “สุดยอดไปเลยลูกพี่” “ลูกพี่เรานี่ หัวแหลมจริงๆ มิเสียแรงที่เรายกให้เป็นลูกพี่ ฮ่าๆๆ” “ว่าแต่ เราจะลงมือเมื่อไหร่ดีล่ะลูกพี่” “เจ้าเศรษฐี มันเดินผ่านทางนี้บ่อย เราก็ลงมือกันพรุ่งนี้เลยนะสิ ข้าไม่อยากรอนาน มันเปรี้ยวปาก”
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกนักเลงเหล้า ก็ตระเตรียมยาเบื่อผสมลงในเหล้า แล้วตั้งไว้พร้อมกับนั่งล้อมวงทำทีเป็นดื่มเหล้ากันตามปกติ เพื่อรอท่านอานาถบิณฑิกเศรษฐีเดินผ่านมา เมื่อสบโอกาสก็ทำตามอุบายที่วางไว้ “เฮ้ยๆๆ หลบให้ท่านเศรษฐีหน่อยสิว่ะ อย่ามานั่งแกะกะขวางทาง ท่านเศรษฐีจะเดิน เออเองนี่ ไม่รู้เรื่องรู้ราวซะเลย” “ไม่เป็นไรหรอก ทางออกจะกว้าง พวกเจ้าไม่ต้องเกรงใจเราหรอก” “โอ้ย ไม่ได้หรอกจ้า ว่าแต่ท่านเศรษฐีเถอะ กำลังจะไปไหนเหรอจ๊ะ ถ้าไม่รังเกียจ ดื่มเหล้ากับเราสักจอกสองจอก ถือเป็นการคารวะจากพวกเราก็แล้วกันนะท่านเศรษฐี เหล้ารสดีอย่าบอกใครเชียวนะ”
เศรษฐีรู้สึกแปลกในท่าทีลุกลี้ลุกลน ที่ปกติแล้วคนพวกนี้ได้ชื่อว่าเป็นอันธพาลระรานคนอื่นเค้าไปทั่ว จึงวางอุบายตลบหลังนักเลงเหล้าเหล่านั้น เพื่อเป็นการดัดสันดานคนพาลพวกนี้ให้หลาบจำ จึงตกปากรับคำเชิญของพวกนักเลงเหล้า “เอ้ นักเลงเหล้าพวกนี้ เหตุไฉนจึงทำทีมาตีสนิทผูกมิตรกับเรา มันต้องมีอะไร ไม่ชอบมาพากลแน่ๆ” “ว่าไงล่ะท่านเศรษฐี หรือว่าท่านรังเกียจพวกนักเลงเหล้าอย่างพวกเรา” “เปล่าหรอก เราก็อยากชิมเหล้าเลิศรสของพวกท่านเหมือนกัน พาเราไปสิ” “เชิญทางนี้จ๊ะท่านเศรษฐี ฮ่าๆๆ สำเร็จตามแผน”
เมื่อพามายังศาลาวงเหล้า นักเลงเหล้าก็จัดแจงเทเหล้า และคะยั้นคะยอให้เศรษฐีดื่มเหล้าผสมยาพิษนั้นทันที โดยที่หารู้ไม่ว่าท่านเป็นพระโสดาบันแล้วย่อมมีศีล 5 มั่นคง ไม่ดื่มสุราทุกประเภทแม้จะใช้ผสมยาก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังมีศรัทธามั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หมดความถือตัว แต่มีความอ่อนน้อมถ่อมตัวอยู่เป็นนิจ เมื่อยกเหล้าขึ้นมาดม ก็พิจารณาทั้งไหเหล้าและกับแกล้มอย่างละเอียดถี่ถ้วน “นี่จ๊ะ ท่านเศรษฐี เหล้าเลิศรส รับรองไม่มีที่ไหนเทียบได้เลยลองดื่มสิจ๊ะ” “เหล้าของท่านเนี่ย แค่ได้กลิ่นหอมหวลก็รู้ทันทีว่าต้องเป็นเหล้าชั้นดี เลิศรสแน่ๆ เลย” “ถ้าอย่างนั้นน่ะ ก็ดื่มให้หมดเลยสิจ๊ะ ท่านเศรษฐี”
“ใช่ๆๆๆ ดื่มให้หมดเลย ไม่พอเดี๋ยวข้าไปรินมาให้อีก เอาเลยๆ ดื่มเลยท่านเศรษฐี ” “ชักช้าอยู่ไยล่ะท่านเศรษฐี ทำไมไม่ดื่มล่ะ เดี๋ยวก็เสียรสชาติหมด” “น่าเสียดายที่เราต้องไปเข้าเฝ้าพระราชา หากเราดื่มเหล้าเมามายเข้าไปพบพระองค์ ย่อมเป็นการไม่สมควร เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ขากลับเดี๋ยวเราจะแวะมาดื่มกับพวกท่านอย่างแน่นอน”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เชิญท่านเศรษฐีไปทำธุระให้เสร็จก่อนเถอะจ้า” “พวกเราจะรอท่านก็แล้วกันนะ” (หึ ลีลามากจริงๆ นะ แต่เดี๋ยวเถอะเจ้าไม่รอดแน่) ในเวลาต่อมาเศรษฐีก็กลับมาตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับนักเลงเหล้า “ท่านเศรษฐีมาแล้ว เชิญนั่งตามสบายนะท่านเศรษฐี พวกเราเตรียมเหล้าและกับแกล้มไว้พร้อมแล้ว น่ากินทั้งนั้นเลย”
“เอ้ เราไปตั้งนานแล้ว แต่เหล้าในไหของพวกท่าน กลับไม่พร่องเลยสักนิด ไหนบอกว่าเหล้าของพวกท่านเลิศรส แล้วไฉนถึงอดใจไม่ดื่มกินกันล่ะ หรือว่าท่านจะเก็บเหล้าไหนี้ไว้เฉพาะเราคนเดียว” “เออ เอ่อ ใช่แล้วท่านเศรษฐี เหล้านี่ต้องคู่ควรกับคนดีๆ เช่นท่าน พวกเราอยากให้ท่านสำราญเหล้าของเราให้เต็มที่ เชิญดื่มตามสบายเลยจ้า” “พวกท่านนี่ช่างเป็นคนดีโดยแท้ แต่เพื่อเป็นการไม่เสียมารยาท ในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าบ้าน เราขอให้ท่านดื่มก่อนก็แล้วกัน”
“อะ อ้าว ไม่ดีมั่งท่าน ชะ เชิญดื่มเถิดจ้า” “อ้าว ทำไม่ล่ะ หรือว่าเหล้าในไหนี้มียาพิษ เรารู้หมดแล้วว่าพวกเจ้าลอบวางยาพิษในไหเหล้า มีอย่างที่ไหนเหล้ารสดีมาวางอยู่ตรงหน้า แต่พวกนักเลงเหล้าอย่างพวกเจ้าน่ะ กลับอดใจไม่แตะต้องเลยซักอึก นอกซะจากว่า มันจะมียาพิษ หน่อยแน่พวกเจ้าบังอาจล่อลวงเรา เราจะไปกราบทูลพระราชา ให้ส่งทหารมาจับพวกเจ้าไปลงโทษ” เมื่อได้ยินดังนั้นนักเลงเหล้าก็ตกใจ เพราะรักตัวกลัวตาย จึงอ้อนวอนขอชีวิตกับเศรษฐีว่า
“ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราเถิดท่านเศรษฐี พวกข้ามันโง่เหง้าเบาปัญญา คิดแต่จะหาเงินดื่มเหล้า พวกเรากลัวแล้ว ยกโทษให้พวกเราด้วยเถิด” “โอ้ย อย่าทำอะไรข้าเลยน่ะ ข้ากลัวแล้ว ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว ข้าจะตั้งใจทำงานหาเงินมาซื้อเหล้า เฮ้ย จะไม่ดื่มเหล้าอีกแล้ว ไว้ชีวิตข้าเถิดนะท่านเศรษฐีผู้ใจบุญ”
“ได้ เราจะไม่นำความไปกราบทูลก็ได้ แต่พวกเจ้าต้องให้สัญญากับเราก่อน ว่าจะไม่ทำตัวเป็นคนพาล ตกเป็นทาสสุรายาเมา หากวันใดที่เราเห็นเจ้าในสภาพเช่นนี้อีกแล้วอย่าหาว่าเราใจร้ายก็แล้วกัน” “อ้าว เฮ้ย ยังไม่รีบขอบคุณท่านเศรษฐีอีก” “ขอบคุณขอรับท่านเศรษฐี”
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสปุณณปาติกชาดกจบลง จึงได้ประชุมชาดกดังนี้
พวกนักเลงสุราทั้งหลาย กำเนิดเป็น นักเลงสุราในครั้งนี้
ท่านเศรษฐี เสวยพระชาติ พระพุทธเจ้า