ชาดก 500 ชาติ
คูถปาณกชาดก-ชาดกว่าด้วยหนอนท้าสู้กับช้าง
ณ ชมพูทวีป ดินแดนสาวัตถีนครอันเป็นแหล่งกำเนิดทางพระพุทธศาสนาซึ่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง หลังจากที่พระพุทธองค์เผยแผ่หลักธรรมคำสอน ให้เป็นที่ประจักษ์ยอมรับในหมู่มวลเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ได้ยึดเป็นแก่นแกนในการดำเนินชีวิต เพื่อสั่งสมบุญกุศลให้พ้นจากการตกเป็นทาสของกามกิเลส ตัณหา ราคะ ที่บั่นทอนความเป็นมนุษย์ให้ลดต่ำลงและหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
บรรลุถึงมรรคผลนิพพานตามแบบอย่างพระพุทธองค์ ในกาลนั้นมีเหตุมากมายหลายกรณีเกิดขึ้นให้พระพุทธองค์ได้หยิบยกมาสาทก ให้เหล่าพุทธสาวกได้สดับตรับฟังเพื่อเป็นข้อคิดและยุติความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ซึ่งแต่ละเหตุก็มีมูลแตกต่างกันไปตามวิบากกรรมที่ได้ทำมาในอดีตชาตินั่นเอง ดังเช่นเหตุการณที่เกิด เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร เหตุนั้นมีอยู่ว่า
ในนิคมแห่งหนึ่ง ห่างจากพระเชตวันมหาวิหารประมาณโยชน์กับหนึ่งคาวุด หรือประมาณ 20 กิโลเมตรในปัจจุบัน มีบ้านอยู่หลังหนึ่ง มีสลากภัตเป็นอันมาก ซึ่งก็คือ อาหารถวายพระตามสลากที่จับได้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีปักขิกภัตที่เป็นอาหารถวายพระในปักละครั้งนั้นเอง เจ้าของบ้านหลังนี้ เป็นบุรุษด้วนผู้มีความหยิ่งผยองจองหอง ชอบซักถามปัญหากับเหล่าภิกษุหนุ่มและสามเณรที่ไปรับสลากภัตและปักขิกภัตว่า
“ ภิกษุสามเณรทั้งหลายเอ๋ย พวกท่านรู้หรือไม่ว่า พวกไหนดื่ม พวกไหนเคี้ยวกิน พวกไหนบริโภค จงตอบคำถามเรามาเดี๋ยวนี้ ฮะ ฮ่าฮ่าฮ่า ” “ เอ่อ คำถามอะไรของท่านละเนี่ยไม่เห็นเข้าใจเลย ใครจะไปตอบได้ ” “ นั่นนะสิ ยิ่งฟังก็ยิ่งงง ” “ ฮะฮ่า อึ้งไปเลยละสิ แค่นี้ก็ตอบไม่ได้ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ข้าว่าพวกท่านอย่าเสียแรงมารับสลากภัตและปักขิกภัตเลย เสียของเปล่าๆ ”
เมื่อเหล่าภิกษุและสามเณรเหล่านั้นไม่สามารถตอบได้ ก็บังเกิดความอาย จึงไม่กล้าไปรับสลากภัตและปักขิกภัตยังบ้านของบุรุษด้วน เพราะเกรงบุรุษด้วนนั้นจะเอ่ยคำถามอีก “ วันนี้กระผมว่า เราอย่าไปรับสลากภัตที่บ้านบุรุษด้วนนั้นเลยนะท่าน ” “ ทำไมละท่าน ” “ นี่แสดงว่าท่านยังไม่รู้อะไร บุรุษด้วนเจ้าของบ้าน ชอบเอ่ยถามคำถามกับเหล่าภิกษุที่ไปรับสลากภัต พอตอบไม่ได้ก็เย้ยหยัน ด่าทอให้เป็นที่น่าละอายแก่ใจยิ่งนัก กระผมกับเณรก็เพิ่งโดนมาหมาดๆ เลยละท่าน จริงไหมเณร ” “ จริงขอรับ ถามอะไรก็ไม่รู้ งงๆ ”
“ แต่ถ้าท่านไม่เชื่อ ก็ลองไปดูสิ เผื่อท่านจะพอกู้หน้าให้พวกเราเหล่าภิกษุได้บ้าง ” “ อะไรทำให้ท่านคิดเช่นนั้น เราก็ไม่ได้ฉลาดไปกว่าท่าน ถ้าท่านตอบไม่ได้ แล้วเราจะเหลืออะไรทางที่ดี เราก็ผ่านบ้านนั้นไปเลยก็ดี ” อยู่มาวันหนึ่ง ณ โรงสลาก ภิกษุรูปหนึ่งได้เอ่ยถามว่า ท่านผู้เจริญสลากภัตหรือปักขิกภัตที่บ้านโน้น ยังมีอยู่หรือไม่ ” “ ยังมีอีกเยอะเลยละท่านแต่ที่บ้านนั้น มีบุรุษด้วนคนหนึ่งคอยถามปัญหา พอตอบไม่ได้ก็คอยเย้ยหยันด่าว่าภิกษุสามเณรที่ไม่สามารถแก้ปัญหานั้นได้ ก็เลยไม่มีใครอยากไปรับสลากภัตแล้วก็ปักขิกภัตที่บ้านนั้น เพราะเกรงบุรุษด้วนนั้นนะท่าน ” “ ท่านผู้เจริญ หากเป็นเช่นที่ท่านว่าขอจงให้ภัตที่บ้านนั้นถึงกระผมเถิด กระผมจะถอดประมาณบุรุษนั้น ทำให้หมดพยศ จะทำให้หนีไปเพราะเห็นกระผมตั้งแต่นั้นเลย ” “ จริงรึท่าน ถ้าเช่นนั้นก็ดีเลย เราจะให้ภัตที่บ้านนั้นถึงแก่ท่าน ในที่สุดก็มีฮีโร่ ผู้กู้หน้าพวกเราแล้ว ฝากด้วยนะท่าน "
ภิกษุนั้น จึงไปที่บ้านนั้น ห่มจีวรที่ประตูบ้าน เมื่อบุรุษด้วนเห็นภิกษุนั้น ก็ปรี่เข้าไปหาดังแพะดุ แล้วก็กล่าวว่า “ สมณะเอ๋ย ท่านจงแก้ปัญหาของข้าพเจ้าเถิด ” “ ช้าก่อน อุบาสกขอให้อาตมาได้บิณฑบาตในบ้าน รับข้าวยาคูล แล้วมานั่งพักยังศาลาเสียก่อนเถิด ” บุรุษด้วนนั้นได้ทำตามคำขอของภิกษุ เมื่อภิกษุนั้นรับข้าวยาคูลแล้วมาสู่ศาลานั่งพัก บุรุษด้วนก็สบโอกาส จึงเอ่ยถามปัญหาเหมือนอย่างที่เคยถามกับภิกษุรูปอื่นด้วยความหยิ่งผยอง แต่กลับถูกภิกษุรูปนั้นผลัดว่า
“ ช้าก่อนอุบาสก ท่านจะรีบร้อนไปใย ขอให้อาตมาได้ดื่มข้าวยาคูล กวาดศาลานั่งพัก แล้วขอรับสลากภัตก่อนมิดีกว่าหรือท่าน ” “ เฮ้ย ท่านนี่ช่างเฉไฉไปเรื่อยจริง เมื่อท่านกล้าขอเราก็กล้าให้ ดูสิ ว่าท่านจะฉลาดพอตอบคำถามของเราได้หรือเปล่า ฮะ ๆ ฮ่า ๆ ” ครั้นรับสลากภัตแล้วบุรุษด้วนก็กล่าวแก่ภิกษุด้วยความโมโหว่า “ อ้าว ว่าไงละท่าน นี่ก็รับสลากภัตเสร็จแล้วก็เตรียมตัวตอบคำถามของเราแล้วกัน เป็นพระเป็นเจ้า อย่ามามุสานะท่าน มันไม่ดี ”
“ ถ้าเช่นนั้นอุบาสกก็ช่วยถือบาตรให้อาตมา แล้วเดินตามอาตมามาเถิด อาตมาจะแก้ปัญหาให้ท่าน ” “ ฮ่า ๆ ๆ ได้เลย คราวนี้แหละจะได้รู้ว่า ท่านจะฉลาดแค่ไหน ขออย่าให้เหมือนรูปอื่น ๆ ก็แล้วกัน ตอบไม่ได้ อายม้วนเสื่อหนีกลับวัดแทบไม่ทันเลยนะ ฮะฮ้าๆๆ ” เมื่อพากันเดินออกไปนอกวัดแล้ว ภิกษุก็จีบจีวรพาดบ่า พร้อมทั้งรับบาตรจากมือของบุรุษนั้น ส่วนบุรุษด้วนก็รบเร้าให้ภิกษุผู้นั้นตอบปัญหาด้วยความร้อนอกร้อนใจ “ อ้าวไหนละท่าน เมื่อไหร่จะตอบคำถามของข้าสะที เล่นตัวจริง ๆ เลยถ้าตอบไม่ได้ ก็รีบเผ่นกลับวัดไปเลย จะได้ไม่เสียเวลาของข้า ”
“ ใจเย็นๆ ก่อนอุบาสก เราจะแก้ปัญหาของท่านแล้วละ ” ทันทีที่ภิกษุรูปนั้นกล่าวจบ ก็ผลักบุรุษด้วนล้มลงโดยมิทันตั้งตัวจากนั้นก็โบยตีดังจะบดกระดูกให้ละเอียด แล้วก็เอาคูตยัดใส่ปากของบุรุษนั้น แล้วขู่สำทับว่า “ นี่ไง คำตอบที่ท่านต้องการ เป็นยังไงบ้างละ ” “ ข้า ๆ ๆ กลัวแล้ว อย่าทำข้าเลยนะ โอ้ย โอ้ย ๆ ปวดไปทั้งตัวแล้ว ”
“ ถ้าท่านกลัวต่อไปก็อย่าได้ถามคำถามกับเหล่าภิกษุสามเณร ที่มารับสลากภัตที่บ้านนี้อีก หากท่านไม่เชื่อฟังละก็ เราจะคอยสืบให้รู้ แล้วเราจะเป็นผู้มาตอบปัญหาของท่านเอง ” “ จ้า ข้าจะไม่ถามอะไรอีกแล้ว ข้ากลัวแล้ว โอ้ย ระบบไปหมดทั้งตัวแล้ว ”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อบุรุษด้วนเห็นภิกษุก็รีบหนีไปในทันที “ เฮ้ย ภิกษุมาแล้ว รีบหนีดีกว่าเรา หนีไปตั้งหลักก่อนดีกว่า ” “ เอะ เดี๋ยวนี้ เจ้าอุบาสกด้วนนั้นหายไปไหนนะ เดี๋ยวนี้ไม่มาถามปัญหาให้กวนใจเลย ”
ครั้นต่อมาการกระทำของงภิกษุนั้นได้ปรากฏขึ้นในหมู่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลายจึงประชุมสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า “ ดูกรท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย ได้ยินว่าภิกษุรูปโน้นเอาคูตยัดใส่ปากบุรุษด้วนแล้วก็ไป ” “ จริงๆ นะท่าน มิเช่นนั้น เจ้าบุรุษด้วนคงไม่กลัวจนหนีกระเจิดกระเจิงไปหรอก แต่เราว่าก็เป็นการดีแล้วละ ภิกษุสามเณรทั้งหลายจะได้ไปรับสลากภัตและปักขิกภัตได้สะดวก ”
ในขณะเดียวกันนั้นเองพระพุทธองค์ได้เสด็จผ่านมาพอดีแล้วตรัสถามว่า “ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ” เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสต่อไปว่า “ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นจะรุกรานบุรุษด้วยคูตในบัดนี้เท่านั้นก็หาไม่ แม้ในกาลก่อน ภิกษุรูปนั้นก็ได้กระทำการรุกรานบุรุษด้วนผู้นี้มาแล้วเหมือนกัน แล้วเราจะเล่าให้ฟัง ”
แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงระลึกอดีตชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ นำเรื่องอดีตชาติอันเป็นที่มาของเหตุการณ์ดังกล่าวมาตรัสเล่าแก่หมู่ภิกษุทั้งหลายดังนี้ ย้อนไปในอดีตกาลก่อนพุทธกาลสมัย ณ บ้านพักริมชายแดนเขตแคว้นอังคะและมคธรัฐนั้น ชาวบ้านทั้งหลายและเหล่าพ่อค้าที่เดินทางไปค้าขายระหว่างแคว้นทั้งสองต่างก็ใช้บ้านหลังนี้เป็นที่พักระหว่างเดินทาง อยู่มาวันหนึ่ง มีพ่อค้ากลุ่มหนึ่งแวะมาพักเหมือนเช่นเคย
แต่ครั้งนี้ได้นำสุราอาหารมาดื่มด้วย เมื่อพักค้างคืนแล้วจึงเทียมยานออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด “ อ้าว กินกันได้แล้ว พักผ่อนให้เต็มทีนะ พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่แดดจะได้ไม่ร้อน ” “ ขอรับนายท่าน รับรองว่าจะเมาให้ปลิ้น เอ้ย จะกินกันแค่เบาๆ พอหอมปากหอมคอขอรับ จริงไหมพวกเรา ” “ ถึงยังไงนายท่านก็ปลุกเองแหละ ”
ในเวลาที่ชนเหล่านั้นไปกันแล้ว หนอนกินคูตตัวหนึ่งได้กลิ่นคูตจึงมา เห็นสุราที่กลุ่มพ่อค้าเหลือทิ้งไว้ตรงที่นั่งกินกัน จึงปรี่เข้าไปดื่มทันที “ เฮ้ย น้ำอะไรนะ กลิ่นหอม กำลังกระหายน้ำอยู่พอดีเลย หือ อร่อยดีเหมือนกันแหะ ทำไมกินแล้วโลกมันหมุนติ้วเลย ฮ่า ๆ ๆ สนุกดี ฮ่า ๆ ๆ ” หนอนคูตนั้นค่อย ๆ คืบครานพาร่างเล็กกระจ้อยร่อย ไต่ขึ้นบนกองคูตสด ๆ อย่างทุลักทุเล ทันใดนั้นเอง คูตสด ๆ ก็ยุบลงเพียงเล็กน้อย เหตุเพราะความเมาหนอนนั้นก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจ คิดว่าแผ่นดินกำลังกลืนกินตัวของมัน “ ฮะ ๆ อะไรกันนี่ ธรณีจะกลืนเราหรือนี่ ชะ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที ”
ขณะนั้นเอง ช้างตกมันตัวหนึ่งกำลังเดินมาอย่างเกรี้ยวกราด เมื่อได้กลิ่นคูตเหม็นเน่าลอยเข้าจมูกแล้วเกิดความรังเกียจจึงเดินหลีกไป “ โห เหม็น ๆ ๆ ๆ เหม็นอะไรอย่างนี้ ใครนะมาขี้ไว้แถวนี้ เหม็นจนจะอ้วก ไม่ไหวแล้วขืนเดินไปทางนี้ มีหวังอ้วกแตกแน่ ๆ เลย ” แต่ทว่าพอเจ้าหนอนคูตที่กำลังเมามายเห็นเข้า ก็คิดว่าเจ้าช้างที่หนีไปเพราะความกลัวหนอนอย่างมัน จึงเกิดความหยิ่งผยองลำพองตน สำคัญว่าตัวเป็นหนอนคูตผู้ยิ่งใหญ่
“ ฮ่า ๆ ๆ เจ้าช้างใจมด สงสัยจะกลัวหนอนคูตอย่าเรา ถึงได้วิ่งหนีหางจุกตูดไปอย่างนั้น ฮ่ะ ฮะ ฮ่า ตัวโตซะเปล่า เฮ้ย เจ้าช้างใจมด กลับมาก่อน ข้าพูดกับเจ้าอยู่ไม่ได้ยินหรือไงเจ้าช้างขี้ขลาด ฮ่ะ ฮ่า ฮ่า ” เจ้าช้างเมื่อได้ยินก็หยุดนิ่งมองหาที่มาเสียงนั้น แต่ด้วยความเหม็นคูตจึงรีบออกเดินต่อ “ เฮ้ย ใครว่ะเนี่ย แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ขอไปให้ไกลจากตรงนี้ก่อนดีกว่า เหม็นจริงเล้ย ” “ เฮ้ย เจ้าช้างขี้ขลาด อย่ามาเดินหนีข้านะ เจ้านี่มันช่างขี้ขลาดจริง ๆ เลย ช้างใจมด ” “ ไหน มันผู้ใดบังอาจมาว่าเราเป็นช้างใจมด เฮ้ยเหม็น เหม็นจริง ๆ ” “ ตัวโตแล้วยังตาถั่วอีกนะ นี่ เราอยู่นี่ นี่เจ้าช้างขี้ขลาด เจ้าลองก้มดูบนพื้นดินดี ๆ สิ นี่เจ้าช้าง ถึงเจ้าจะตัวโต แต่ข้าก็ไม่กลัวเจ้าหรอก เจ้าช้างใจมด ”
เจ้าหนอนคูต มิได้เกรงกลัวในร่างกายอันใหญ่โตของช้างเลยแม้แต่น้อย กลับกล่าววาจาท้าทายด้วยความลำพองตนต่อไป จนทำให้เจ้าช้างตกมันยิ่งโกรธเคืองเป็นอันมาก “ ปากดีนะเจ้าหนอนคูต ตัวเล็กกระจ้อยร่อย เดี๋ยวข้าก็บี้ให้แหลกคาเท้าของข้าสะหรอก ฮึย ลืมไปว่ามันอยู่บนกองคูตสุดเหม็น ใครจะไปเหยียบลง ไปดีกว่า ขืนอยู่ก็ยิ่งเหม็น เหม็นจะตาย ” “ เฮ้ย เจ้าช้างจะหนีข้าไปไหน กลับมาคุยกันก่อนสิ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เจ้าก็เป็นช้างตัวโต ถึงใจจะเท่ามดก็เถอะ มาเจอกับหนอนคูตผู้ยิ่งใหญ่แล้วก็มีความกล้าหาญเยี่ยงข้า ข้าว่า อย่ามาพูดพล่ามให้เสียเวลาเลย เรามาประลองกันให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลยดีกว่า เอาให้ชาวอังคะ และมคธทั้งหลาย ผู้ที่อยู่ในพรมแดนนี้รู้กันไปเลยว่าใครมันจะแน่กว่ากัน ” ยิ่งฟังถ้อยคำถากถางของเจ้าหนอนคูต ก็ยิ่งสร้างความโมโหโกรธาแก่เจ้าช้างตกมันเป็นเท่าทวี เจ้าช้างจึงแผดเสียงร้อง แล้วจึงหันกลับไปหาหนอนคูตนั้นทันที “ เจ้านี่มันพูดไม่รู้เรื่องเลยนะ เจ้าหนอนคูตชั้นต่ำ ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้าแล้วเชียว ยังกล้าดีมาว่าข้าอีกหรือนี่ ” “ กลัวที่ไหนล่ะ ”
“ ได้ เมื่อเจ้าท้าทายข้า เดี๋ยวข้าจะจัดให้สมใจเลย เจ้าหนอนโสโครก ” “มาสิ มาสิ ข้ารออยู่นะ ไม่กล้าเหยียบข้าละสิท่า ” ถึงจะโกรธเจ้าหนอนคูตมากมายสักเพียงใด แต่เพราะเจ้าหนอนนั้นอยู่บนกองคูตอันเป็นที่น่ารังเกียจ จึงทำให้เจ้าช้างไม่กล้าบดขยี้ มันจึงคิดหาวิธีเล่นงาน “ เอ้ เราจะทำยังไงดีละนี่ ถึงจะจัดการเจ้าหนอนปากเสียตัวนี้ได้ จะเหยียบก็ไม่กล้า เฮ้อ งืม คิดออกแล้วคราวนี้ละ เจ้าหนอนสกปรก เจ้าเตรียมตัวตายได้เลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า ” “ อ้าว จะช้าอยู่ทำไม่ละ รึว่ากลัวไม่กล้าสะแล้ว โธ่ คิดว่าจะแน่ ”
“ ใครว่าข้ากลัวเจ้า ข้าจะไม่ใช้เท้าใช้งา หรือว่างวงของข้าให้เปรอะเปื้อนคูตหรอก ในเมื่อเจ้าเป็นหนอนชั้นต่ำ กินคูตเน่า แถมยังปากเสียอีก ข้าก็จะใช้คูตนี่แหละจัดการกับเจ้า มันถึงจะสาสมฮ่า ฮ่า ฮ่า หนอนเน่า ๆ ก็ต้องตายอยู่ในคูตเน่า ๆ นี่แหละ เสร็จข้าละทีนี้ นี่ อึบ ” “ เฮ้ย เละแน่ ๆ ตายคาคูตเลยเรา จ๊าก ” เจ้าช้างถ่ายคูตก้อนใหญ่ลงบนหัวหนอนนั้น และถ่ายปัสสาวะรดหนอนคูตพร้อมทั้งแผดเสียงร้องอย่างสะใจ ก่อนจะเดินหายลับเข้าไปในป่าตามยถากรรม
เหตุการณ์ระหว่างที่เจ้าหนอนคูตท้าสู้กับช้างนั้น เป็นที่แจ้งประจักษ์แก่เทวดาที่อยู่ในไพรสณฑ์นั้น ซึ่งเฝ้ามองดูชะตากรรมช่างน่าอนาถของเจ้าหนอนคูตที่ต้องมาตายเพราะความหยิ่งผยองลำพองตน “ เฮ้ย เจ้าหนอนเอ๋ย เพราะความหยิ่งผยองของเจ้าแท้ๆ เจ้าถึงต้องพบจุดจบอย่างอนาถเช่นนี้ ” เมื่อพระพุทธองค์สาทก คูถปาณกชาดก จบแล้ว เพื่อเป็นพุทธโอวาทแก่เหล่าภิกษุทั้งหลายได้เข้าใจในเหตุผลของวิบากกรรมที่ภิกษุและบุรุษด้วนกระทำมาตั้งแต่อดีตชาติ ในกาลสมัยนั้น
หนอนคูตเน่า บังเกิดเป็น บุรุษด้วน
ช้างตกมัน บังเกิดเป็น ภิกษุรูปนั้น
เทวดาผู้เกิดในไพรสณฑ์ เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า