ชาดก 500 ชาติ
คังเคยชาดก-ชาดกว่าด้วยผู้ชอบโอ้อวด
ณ เมืองสาวัตถี ครั้งเมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหารได้เกิดเรื่องไม่งามในหมู่สงฆ์ขึ้น เรื่องไม่งามนั้นก็คือ มีภิกษุ 2 รูปผู้เป็นกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีเมื่อบวชในศาสนาแล้วก็ไม่ได้บำเพ็ญอสุภะภาวนา ชอบสรรเสริญรูป เที่ยวพร่ำเพ้อแต่เรื่องรูป วันหนึ่งภิกษุทั้งสองนั้นเกิดทุ่มเถียงกันเรื่องรูป
“ ท่านดูสิ เรานะรูปงามกว่าใคร ใบหน้ารึก็ดูดี ผิวพรรณก็ผ่องใส ” “ ไม่หรอก ท่านอย่างหลงผิดเช่นนั้น เราต่างหากที่รูปงามเกินใคร ไม่ว่าจะมองใกล้ไกล ก็ยังมองดูสง่างาม ” “ ท่านพูดอย่างนั้นมันก็ไม่ถูก เราต่างหากล่ะที่รูปงามมากกว่าท่าน ” “ เราต่างหากที่รูปงาม ท่านสู้เราไม่ได้หรอก ” “ เราต่างหากที่งาม ” “ ไม่ใช่ เราต่างหาก ”
ภิกษุทั้งสองทุ่มเถียงกันเนิ่นนานก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าใครรูปงามกว่ากัน ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนั้นมีเถระแก่รูปหนึ่งนั่งอยู่ ภิกษุทั้งสองจึงลงความเห็นว่า ควรจะให้พระเถระรูปนั้นเป็นผู้ตัดสินให้ “ ฮือ ทะเลาะกันไปอย่างนี้ก็เปล่าประโยชน์ ทางที่ดีเราควรให้ภิกษุรูปอื่นมาตัดสินเอาเถอะ ว่าระหว่างท่านกันเรา ใครรูปงามกว่ากัน ”
“ ก็ดีเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเราไปให้รบกวนพระเถระที่นั่งอยู่ตรงนั้นตัดสินให้เรากันเถิด ” ภิกษุหนุ่มทั้งสองเดินเข้าไปหาพระเถระแก่รูปนั้นด้วยหวังว่าพระเถระจะสามารถตัดสินชี้ชัดให้ว่า ระหว่างภิกษุหนุ่มทั้งสองใครรูปงามกว่ากัน
“ กระผมทั้งสองมีเรื่องจะรบกวนถามท่านสักหน่อย เนื่องจากกระผมทั้งสองได้ถกเถียงกันมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครรูปงามกว่ากัน ท่านช่วยตัดสินให้เราด้วยเถิด ” “ ท่านตัดสินมาเถิดว่าผมทั้งสองใครงาม ” “ ท่านทั้งสองอย่ามัวแต่ถกเถียงกันเลยว่าใครรูปงามกว่ากัน เพราะความเป็นจริงนั้น เรานี่แหละงามกว่าพวกท่านทั้งหมด หึ หึ หึ ”
“ อะไรกันนี่ หลวงตาแก่รูปนี้ ไม่ตอบคำที่เราถาม กลับตอบคำที่เราไม่ได้ถาม ” “ นั้นนะสิ เราไปกันเถอะ คงจะหาคำตอบจากหลวงตาคนนี้ไม่ได้หรอก ” เมื่อภิกษุหนุ่มทั้งสองได้รับคำตอบที่ไม่พึงพอใจจึงบริภาษแล้วหลีกไป กิริยาของภิกษุทั้งสองรูปนั้นได้ปรากฏในหมู่สงฆ์
อยู่มาวันหนึ่งภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า พระเถระผู้เฒ่าได้ทำให้ภิกษุหนุ่มอวดรูปโฉมทั้งสองนั้นได้อาย เมื่อพระศาสดาทรงทราบจึงตรัสว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายภิกษุหนุ่มสองรูปนั้น มิใช่ยกยอรูปแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อน เธอทั้งสองก็เที่ยวพร่ำเพ้อรูปเหมือนกัน ”
เมื่อตรัสแล้วองค์พระศาสดาก็ทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าใหญ่ตรงที่แม่น้ำคงคาและแม่น้ำยมุนาไหลมาบรรจบกัน ได้มีปลาสองตัวว่ายมาเจอกัน ปลาตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในแม่น้ำคงคา “ วันนี้น้ำใสไหลเย็น สบายตัวสุดๆ เลย ว่ายออกไปไกลหน่อยดีกว่าเรา เฮอ เรานี่ช่างแข็งแรงจริง ๆ รูปก็งาม เกล็ดมันแวววาว วูบวาบ รูปงามอย่างนี้ ก็ต้องว่ายอวดโฉมกันไปเรื่อย ๆ สักหน่อย ”
ส่วนปลาอีกตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในแม่น้ำยมุนา “ วันนี้ว่ายไกลหน่อยดีกว่าเรา เห็นปลาตัวอื่นบอกว่าตรงป่าด้านโน้น มีปลาสาว ๆ เพียบเลย รูปงามอย่างเราคงต้องอวดโฉมกันหน่อยแล้ว ”
ปลาทั้งสองตัวว่ายมาเจอกัน ณ จุดที่แม่น้ำทั้งสองสายไหลมาบรรจบกัน “ ฮ่า เจอแกอีกแล้วเหรอ ” “ เจอกันก็ดีแล้ว วันนี้มาตกลงกันให้รู้เรื่องไปเลยดีกว่า ” ปลาทั้งสองตัวเมื่อมาเจอกันก็มักจะทุ่มเถียงกันว่าใครงามกว่ากันเสมอ ต่างก็ว่าตัวเองนั้นงามกว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมกัน ตกลงกันไม่ได้สักที่
“ จะให้พูดอีกกี่ที่ ฉันก็รูปงามกว่าแก ทำไมแกไม่ยอมเชื่อฉันสักที นี่ ๆ ๆ ดูนี่ เกล็ดรึก็มันวาววูบวาบ สีสันก็สดใส หางก็กรีดกรายสวยงามสุด ๆ ” “ แกมันพูดเข้าข้างตัวเองนิไม่ยอมรับความจริง ฉันต่างหากที่รูปงามกว่าแก ดูสิ ทั้งลายทั้งหัวลำตัว เข้ารูปเข้าร่างกันไปหมด สีก็สดใสกว่าแกด้วย เกล็ดก็มันวาวกว่าแกด้วย ” “ ฉันงามกว่า ” “ ฉันต่างหากที่งาม ” “ ชั้นต่างหาก ” “ ชั้นต่างหาก ”
ปลาทั้งสองทะเลาะกันไม่มีใครยอมใคร ไกลออกไปจากตรงนั้น มีเต่าตัวหนึ่งมองดูปลาทั้งสองทะเลาะกันด้วยความเบื่อหน่าย “ เบื่อเจ้าปลาสองตัวนี้จริง ๆ เล้ย ทะเลาะกันอยู่ได้ เจอกันที่ไรก็ทะเลาะกันทุกที น่ารำคาญจริง ๆ เฮ้อ ” “ เอาหล่ะ ฉันว่าเราเถียงกันไปก็เท่านั้นแหละ ให้สัตว์อื่นมาตัดสินเราดีกว่า ” “ ได้ ยังไงก็ได้ ให้ใครตัดสินดีหล่ะ ” “ นั่นไง ตรงโน้นไง มีเต่าอยู่ตัวหนึ่ง ให้เต่าตัดสินให้เราดีกว่า ” “ ได้ ไปเลยสิ จะรอช้าทำไมล่ะ ” เมื่อปลาทั้งสองตกลงกันไม่ได้สักที จึงพากันไปหาเต่าตัวหนึ่งให้เป็นผู้ตัดสินให้ว่าใครงามกว่ากัน
“ ท่านเต่าผู้น่ารัก ขอท่านช่วยตัดสินให้ข้าสองตัวด้วยเถิด ว่าใครงามกว่ากัน ” “ เราทั้งสองตัวได้ถกเถียงกันตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่สรุปได้สะที ช่วยบอกให้ปลาตัวนั้นยอมรับสะทีเถอะ ว่าเรางามกว่าเขาจริง ๆ ” “ ไม่จริงเจ้านั้นแหละที่ต้องเป็นฝ่ายยอมรับ ว่าข้ารูปงามกว่า ” “ เอาหล่ะ ๆ ท่านปลาทั้งสองตัว หยุดทะเลาะกันสักทีเถอะ ท่านที่อยู่แม่น้ำคงคาก็งามไม่มีที่ติ ส่วนท่านที่อยู่แม่น้ำยมุนาก็งามไม่มีที่ติเหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วเรานี่แหละที่งามกว่าท่านทั้งสอง ฮะ ฮ่า ฮะฮ่า ” “ หา ว่าไงนะ ” “ ก็พวกเจ้าทั้งสองอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าใครงามกว่ากัน ข้าก็บอกให้แล้วไง ว่าข้านี่แหละรูปงามกว่าเจ้าทั้งสองตัว ฮ่า ฮ่า ฮ่า ”
ปลาทั้งสองตัวเมื่อได้ฟังเต่าตัดสินก็ไม่พอใจอย่างมาก “ โธ่ เจ้าเต่าที่แท้เจ้าก็เป็นพวกหลงตัวเองเจ้าไม่ตอบคำถามของข้าทั้งสองตัว แต่กลับตอบเข้าข้างตัวเองเสียอย่างนั้น ” “ นั้นนะสิ ไม่เข้าท่าเลย เสียเวลาคุยกับเจ้าจริง ๆ ” “ แล้วเจ้าสองตัวจะทำไม ข้าผิดเหรอที่ข้าบอกว่าตัวเองงามที่สุด ทีเจ้าสองตัวยังเถียงกันไม่หยุด ว่าตัวใครงามกว่ากัน ” “ ก็เจ้าไม่ตอบเรื่องที่เราถาม เราถามอีกอย่างเจ้าก็ตอบอีกอย่าง ” “ ผู้ที่ยกย่องตัวเองอย่างนี้พวกเราไม่ชอบใจเลย ” ปลาทั้งสองตัวรู้สึกไม่พอใจเต่าตัวนี้มาก มันทั้งสองช่วยกันพ่นน้ำใส่ตัวเต่า ทำให้เต่าผู้หลงตนนั้นหนีไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เทวดาที่สถิตอยู่ที่ต้นไม้เห็นโดยตลอด จึงได้แผ่เมตตาให้กับปลาทั้งสองตัวและเต่าที่เข้าใจผิดกันให้เห็นธรรม แล้วแยกย้ายกันกลับไปอยู่ที่อาศัยตามเดิม
ปลาสองตัวในครั้งนั้น ได้เป็น ภิกษุหนุ่มสองรูป
ส่วนเต่า ได้กำเนิดเป็น ภิกษุแก่
รุกขเทวดาผู้เกิดที่ฝั่งคงคาผู้เห็นเหตุการณ์โดยตลอด เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า