ชาดก 500 ชาติ
ขุรปุตตชาดก-ชาดกว่าด้วยการทำตนให้ไร้ประโยชน์
ในสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้ถูกภรรยาเก่าโลมเร้า แล้วทรงซักถามภิกษุนั้น “ จริงหรือภิกษุ ได้ทราบว่าเธอกระสันอยากสึก ” “ จริงพระเจ้าค่ะ ” “ เธอกระสันอยากสึกเพราะเหตุอะไร ” “ เพราะภรรยาเก่าพระเจ้าค่ะ ”
“ ดูกรภิกษุหญิงนี้ทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เธอไม่เฉพาะในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนเธอกำลังจะกระโดดเข้าไฟตายเพราะอาศัยหญิงนี้ แต่อาศัยบัณฑิตจึงได้ชีวิตไว้ ” พระศาสดาตรัสดังนี้แล้วจึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาทก ในอดีตกาลพระเจ้าเสนกะครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี
ครั้งนั้นพระเจ้าเสนกะเสด็จประพาสเมือง มีนาคราชตนหนึ่งกำลังเที่ยวจับเหยื่อบนบกกินอยู่เด็กชาวบ้านกลุ่มหนึ่งผ่านมาเห็นก็เข้าใจว่าเป็นงู จึงช่วยกันเอาไม้ทุบตี “ นี่แน่ะเจ้างู ตีให้ตาย ๆ พวกเจ้ามาช่วยข้าตีมันหน่อยสิ เจ้างูนี่ตัวใหญ่นัก คงลักขโมยกินไก่ชาวบ้านมาไม่น้อย นี่แน่ะต้องโดนแบบนี้ ” พระราชาเสด็จไปถึงที่นั่นพอดีเห็นเด็กกำลังทำร้ายงูก็เลยเกิดความสงสารจึงรับสั่งห้ามไว้และให้ปล่อยมันไป
“ เจ้าหนู พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่ ” “ พวกข้ากำลังตีงูนี่อยู่พระเจ้าค่ะ ” “ พวกเจ้าอย่าได้รังแกสัตว์เช่นนี้ จงปล่อยมันไปเสียเถิด ” ฝ่ายนาคราชเมื่อรอดชีวิตก็กลับไปยังนาคพิภพของตน
“ พระราชาองค์นี้เป็นผู้มีเมตตา สมควรที่เราต้องตอบแทนคุณ ” ครั้นเวลาเที่ยงคืนนาคราชได้จำแลงตนเข้าเฝ้าพระราชาถึงที่บรรทมแล้วได้มอบแก้วแหวนเงินทองให้พระเจ้าเสนกะพร้อมผูกมิตรภาพเป็นพระสหายกัน “ ข้าพระองค์นำแก้วแหวนเงินทองเหล่านี้มาเพื่อตอบแทนที่ทรงช่วยชีวิตข้าพระองค์ไว้ ”
นับแต่นั้นนาคราชก็มาเยี่ยมพระเจ้าเสนกะผู้เป็นสหายในยามดึกทุกคืน และได้มอบหมายให้นาคมานวิกานางหนึ่งผู้ไม่อิ่มในกามคุณมาประจำอยู่ข้างพระเจ้าเสนกะ เพื่อคอยปกป้องดูแลพระองค์พร้อมกับมอบมนต์บทหนึ่งให้พระราชาไว้ใช้ในคราวไม่เห็นนางนาคตนนั้น นางนาควิกานางนี้ข้าพระองค์มอบหมายให้คอยดูแลปกป้องพระองค์ หากไม่เห็นนางเมื่อไหร่ ท่านจงร่ายมนต์นี้
อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าเสนกะเสด็จประพาสสวนหลวงพร้อมด้วยบริวาร ขณะลงเล่นน้ำอยู่นั้นนางนาคเห็นงูน้ำตัวหนึ่งแล้วเกิดความใคร่จึงแปลงร่างเป็นงูเสพสมกันอยู่ “ ทำอะไรอยู่จ๊ะพ่องูรูปหล่อ มานี่สิข้ามีอะไรจะให้เจ้าดู ”
ฝ่ายพระเจ้าเสนกะเมื่อไม่ทรงเห็นนางนาคจึงร่ายมนต์ที่พญานาคราชสอนไว้ “ นางนาคมานวิกาเจ้าอยู่ไหน สงสัยเราต้องร่ายมนต์ให้นางปรากฏตัวสะแล้ว ” เมื่อพระราชาร่ายมนต์จบนางนาคก็กลายร่างเป็นมนุษย์กำลังทำอนาจารอยู่ ทำให้พระเจ้าเสนกะทรงกริ้วใช้ซีกไม้ไผ่ตีนาง “ นางนาคผู้ไม่รู้จักอิ่มในกาม ไม่รู้จักอดกลั้นใจเลย เจ้าต้องได้รับโทษแน่ ๆ นี่แน่ะ ” “ โอ้ย โอ้ย เจ็บหากท่านทำร้ายข้าเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ขออยู่ดูแลท่านอีก ” นางนาคออกจากพระราชอุทยานกลับไปยังนาคพิภพด้วยความโกรธที่พระราชาลงโทษตน
เมื่อมาถึงนาคพิภพก็เข้าเฝ้าพญานาคราช “ เกิดเรื่องอะไรเจ้าถึงมาที่นี่ได้ ” “ พระเจ้าเสนกะพระสหายของพระองค์เฆี่ยนตีหม่อมฉันจนต้องหนีมาดูรอยแผลพวกนี้ซิเพค่ะ ” “ หนอย พระเจ้าเสนกะทำร้ายคนของเราได้ เสียแรงที่เราเป็นสหายกันมา ”
พญานาคราชไม่ทราบความจริงที่เกิดขึ้นเพียงได้เห็นแผลของนางนาคก็โกรธ เรียกทหารนาค ๔ ตนมา แล้วสั่งให้ไปทำลายที่นั่งบรรทมของพระเจ้าเสนกะ “ พวกเจ้าทั้ง ๔ จงไปพ่นพิษทำลายพระที่นั่งบรรทมของพระเจ้าเสนกะเสียให้สิ้น ” ทหารนาคทั้ง ๔ มาถึงห้องบรรทมหมายจะทำลายพระที่นั่งบรรทมเสีย ก็ได้ยินพระราชาตรัสเล่าให้ราชเทวีฟังถึงเรื่องที่นางนาคมานวิกากลับยังนาคภพ ทหารนาคทั้งหลายได้ฟังดังนั้นก็กลับไปรายงานยังพญานาคราช “ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง เพราะเราฟังความข้างเดียวจนเกือบทำร้ายสหายเสียแล้ว ”
พญานาคราชรู้สึกผิดต่อพระเจ้าเสนกะ จึงเสด็จมายังพระที่นั่งบรรทมของพระสหายเพื่อขอขมาแล้วได้ถวายมนต์ที่ชื่อว่า สรรพรุตชนะ ซึ่งเป็นมนต์รู้เสียงร้องของสัตว์ทุกชนิด แล้วจึงทูลห้ามไม่ให้พระเจ้าเสนกะมอบมนต์นี้แก่ผู้อื่น ไม่เช่นนั้นจะต้องทรงกระโดดเข้ากองไฟสวรรคต “ มนต์สรรพรุตชนะนี้สำคัญยิ่งนักทรงอย่ามอบให้ผู้ใด ไม่เช่นนั้นท่านต้องสละชีวิตด้วยการกระโดดเข้ากองไฟ ” “ ข้าขอรับคำท่าน ”
ตั้งแต่นั้นมาพระเจ้าเสนกะก็ทรงรู้เสียงสัตว์ต่าง ๆ วันหนึ่งขณะที่พระองค์ประทับนั่งที่ท้องพระโรง เสวยของเคี้ยวจิ้มน้ำผึ้งน้ำอ้อยอยู่นั้น น้ำผึ้งน้ำอ้อยหยดหนึ่งและขนมชิ้นหนึ่งตกลงที่พื้น มดแดงตัวหนึ่งเห็นหยดน้ำผึ้งและขนมนั้นก็เรียกเพื่อนให้มากิน “ พวกเราถาดน้ำผึ้งแตก หม้อน้ำอ้อย หม้อขนมคว่ำแล้วที่ท้องพระโรง รีบมากินกันเถิด ” “ ลาภปากรอบเย็น มื้อนี้ได้ดินเนอร์อาหารพระราชา ว้าวอร่อย ๆ ”
พระราชาทรงสดับเสียงร้องบอกของมดแดงแล้วก็ทรงพระสรวล พระราชเทวีที่ประทับอยู่ใกล้ ๆ เห็นดังนั้นก็เกิดความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ทูลถาม เมื่อพระราชาเสวยของเคี้ยวแล้ว ทรงสรงสนานและประทับนั่งบนพระราชบัลลังก์
ทรงได้ยินแมลงวันตัวผู้คุยกับแมลงวันตัวเมีย “ ที่รักบรรยากาศแบบนี้เรามาหาอะไรทำสนุก ๆ กันดีกว่านะ ” “ คอยก่อนนะจ๊ะพี่จ๋า เดี๋ยวพระราชทรงลูบไล้ของหอมแล้ว น้องจะเอาตัวไปคลุกผงหอมที่พระราชาทำร่วงไว้ น้องจะได้ตัวหอมๆ ยังไงละจ๊ะพี่ ” ต่อมาเมื่อพระราชาทรงเสวยพระกระยาหารเย็น มีอาหารก้อนหนึ่งหล่นที่พื้น มดแดงทั้งหลายก็ร้องบอกกันให้มากินอาหารนั้น “ พวกเราห้องอาหารของพระราชาแตกแล้ว มากินกันเถอะ ” “ ว้าว ลาภปากรอบเย็น ฮ่า ฮ่า อร่อย อร่อย ” พระเทวีกลั้นความสงสัยเอาไว้ถึง ๓ ครา
จนเมื่อเวลาเสด็จขึ้นแท่นพระบรรทมกับพระราชา พระนางจึงได้ทูลถาม “ วันนี้หม่อมฉันเห็นพระองค์หัวเราะถึง ๓ ครั้ง พระองค์หัวเราะอะไรหรือเพค่ะ ” “ ไม่มีอะไรหรอกเจ้านอนเสียเถิด ” พระเทวีทรงรบเร้าจนพระราชาใจอ่อน จึงบอกเรื่องที่ทรงรู้มนต์ที่ให้รู้เสียงสัตว์นั้น พระนางจึงของให้พระองค์ประทานมนต์นั้นให้ “ น้องหญิงหากพี่บอกมนต์นั้นแก่เจ้า พี่จะต้องตายนะ ” “ หากพะองค์รักหม่อมฉันจริง ขอจงสละเพื่อหม่อมฉันเถิด ”
ด้วยเพราะตกอยู่ในอำนาจของสตรีพระราชาทรงตัดสินพระทัยว่าจะมอบมนต์ สรรพรุตชนะแก่พระราชเทวี แม้จะต้องเข้ากองไฟก็ตาม คิดได้ดังนี้แล้วจึงเสด็จเข้าไปในพระราชอุทยานด้วยราชรถ “ น้องหญิงเอ๋ย เพราะพี่รักเจ้า แม้ต้องสละชีพพี่ก็ยอม ” ขณะนั้นท้าวสักกะทรงตรวจดูสัตว์โลกอยู่ ทรงเห็นเหตุการณ์นี้ จึงทรงดำริว่าจะต้องเตือนสติพระเจ้าเสนกะ “ พระราชาผู้โง่เขลาเพียงเพื่อสตรีแล้ว ถึงกับยอมตายเชียวหรือนี่ ข้าต้องเตือนสติเจ้าสะหน่อยแล้ว ”
ท้าวสักกะพานางสุชาดามายังสวนหลวงแล้วจำแลงตนเป็นแพะสองผัวเมียยืนอยู่ข้างทางที่พระราชาเสด็จผ่าน แพะตัวผู้กำลังทำท่าทางเสพสมกับแพะตัวเมียอยู่ ม้าเทียมรถของพระราชาจึงพูดกับแพะนั้น “ เจ้าแพะโง่ ไม่รู้จักอะไรควรทำในที่แจ้ง อะไรควรทำในที่ลับเลยนะ ” “ เจ้านั้นแหละโง่ ถูกเชือกรัดคอไว้เวลาเขาปล่อยเจ้าก็ไม่หนีไป แต่ข้าว่าเพราะเจ้าเสนกะเจ้านายเจ้าโง่กว่าแกเสียอีก ” “ เจ้าว่าข้าโง่ ข้าก็รู้ แต่พระเจ้าเสนกะโง่ยังไง ” “ ไม่โง่ได้ยังไงยอมตายเพื่อสวดมนต์ให้พระเทวี สุดท้ายตัวเองก็จะตายไม่มีภรรยา ข้าถึงว่าโง่ยังไงละ ” พระเจ้าเสนกะได้สดับคำที่ม้าและแพะสนทนากัน
จึงตรัสถามแพะว่าควรทำเช่นไร “ เจ้าแพะเอ๋ย ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงบอกมาว่าข้าควรทำอย่างไรกัน ” “ มหาราชไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่รักเท่าชีวิตของตน ท่านไม่ควรให้พรพินาศ ไม่ควรละทิ้งยศศักดิ์เพราะคนรักอย่างเดียว ” แพะนั้นพูดกับพระเจ้าเสนกะแล้วก็แสดงตนเป็นท้าวสักกะให้พระราชาทราบ “ ข้าพระองค์ได้ตอบตกลงไปแล้วจะทำอย่างไรดี ” “ มหาราชพวกท่านทั้งสองจะไม่เป็นอะไร ถ้าพระองค์บอกว่าหากเรียนมนต์ต้องถูกเฆี่ยนตีเป็นค่ายกครูนางก็จะไม่เรียนเอง ” เมื่อพระราชาเสด็จกลับเมืองแล้วจึงรับสั่งให้พระเทวีเข้าเฝ้า แล้วตรัสบอกตามที่ท้าวสักกะบอก
“ น้องหญิงหากเจ้าจะเรียนมนต์นี้เจ้าต้องเสียค่ายกครูด้วยการถูกเฆี่ยน ๑๐๐ ครั้ง เจ้าจะยอมหรือไม่ ” “ เพื่อมนต์วิเศษนี้น้องยอมให้เฆี่ยนเพค่ะ ” เมื่อพระเทวีก็รับคำยินดีให้เฆี่ยน
พระองค์จึงรับสั่งให้เพชฌฆาตเฆี่ยนหลังพระเทวีด้วยหวาย ๑๐๐ ครั้ง พระเทวีพอถูกเฆี่ยนไปเพียง ๓ ทีเท่านั้น ก็ทนไม่ไหว ไม่ต้องการเรียนมนต์อีก นับแต่นั้นมาพระเทวีก็ไม่กล้าเอ่ยปากขอเรียนมนต์อีกเลย “ โอ้ย โอ้ย ไม่ไหวแล้ว เจ็บเหลือเกิน น้องไม่เรียนมนต์นั่นแล้วเพค่ะ ” พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลาย ในที่สุดแห่งสัจธรรมภิกษุผู้กระสันอยากสึก ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดก
พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุ ผู้กระสันอยากสึกในบัดนี้
พระราชเทวี เป็นภรรยาเก่าของภิกษุนั้น
ม้าเป็นพระสารีบุตร
ส่วนท้าวสักกะเทวราช เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล