ชาดก 500 ชาติ
กัจจานิโคตตชาดก-ชาดกว่าด้วยในการไหนๆ ธรรมย่อมไม่ตาย
ในสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภถึงอุบาสกผู้เลี้ยงมารดาคนหนึ่ง อุบาสกผู้เลี้ยงมาดารผู้นี้เป็นบุตรในตระกูลผู้ดีแห่งเมืองสาวัตถี เป็นคนที่มีมารยาทงาม ครองตนอยู่ในศีลในธรรม
ครั้นในเวลาต่อมาเมื่อบิดาถึงแก่กรรม อุบาสกผู้นี้ก็ดูแลมารดาของตนเหมือนเทวดาในบ้าน ทุกวันเขาจะจัดน้ำล้างหน้า บ้วนปาก ไม้สีฟัน น้ำอาบ น้ำล้างเท้า รวมทั้งจัดหาอาหารเป็นข้าวยาคูลอย่างดีให้แก่มารดา “ ท่านแม่ข้าได้เตรียมน้ำและข้าวยาคูลให้ท่านแล้วนะครับ ” “ จ๊ะ ขอบใจเจ้ามาก ”
ผู้เป็นมารดาเห็นว่าบุตรของตนถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้ว สมควรที่จะหาใครสักคนมาช่วยดูแลจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของเขาบ้าง “ ลูกแม่ เจ้าต้องทำงานแล้วก็ดูแลแม่อย่างนี้คงจะเหนื่อยมากเลยนะ แม่ว่าเจ้าหาผู้หญิงสักคนมาเป็นคู่ชีวิตดีกว่า นางจะได้แบ่งเบาภาระของเจ้าด้วย ”
“ ข้าไม่เหนื่อยหรอกท่านแม่ ข้าดูแลท่านแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว แล้วข้าก็ไม่ต้องการจะแต่งงานด้วย ถ้าท่านไม่อยู่แล้วข้าก็จะออกบวช ” (...คงไม่มีใครดูแลท่านแม่ได้ดีเท่าเราอีกแล้วหล่ะ ) ถึงแม้มารดาของเขาจะอ้อนวอนเพียงใดก็ไม่เป็นผล นางจึงคิดคลุมถุงชน เมื่อบุตรชายไม่ได้คัดค้าน นางจึงจัดแจงหาหญิงที่มีชาติตระกูลเสมอกันมาให้แก่เขา “ เอาล่ะลูกแม่ เมื่อเจ้าไม่ยอมหา ก็ขอให้แม่ได้หาให้เจ้าก็แล้วกันนะ ” “ ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจท่านแม่เถิด ”
ระยะแรกที่หญิงสาวเข้ามาอยู่ในบ้าน นางได้ดูแลแม่ผัวเป็นอย่างดีด้วยคิดว่าจะทำให้ตนเป็นที่รักของสามียิ่งขึ้น “ ท่านแม่ หากต้องการอะไรก็ขอให้บอกข้านะจ๊ะ ” “ ขอบใจเจ้ามากนะ มีเจ้าช่วยดูแลบ้านช่อง แม่ก็สบายใจเหลือเกิน ” (...นี่ถ้าไม่เพราะเราอยากให้ผัวรักผัวหลง คงไม่เสียเวลามาดูแลคนแก่หรอก)
อุบาสกผู้เลี้ยงมารดาคิดว่าภรรยาของตนดูแลมารดาด้วยความเคารพ จึงตอบแทนนางด้วยการหาอาหารรสชาติดีมาให้แก่นางเพียงผู้เดียว “ วันนี้พี่มีน้ำผึ้งรวงเดือน ๕ กับนมแพะชั้นดีมาให้เจ้าด้วย ” “ ท่านพี่ห่วงใยข้าแบบนี้ คืนนี้ข้าจะนวดให้ท่านพี่เป็นการตอบแทนก็แล้วกันนะจ๊ะ ”
เมื่อได้รับอาหารรสเลิศจากสามีเป็นประจำ นานเข้านางจึงคิดว่าสามีของตนคงต้องการขับไล่มารดาเป็นแน่ นางจึงคิดทำอุบายเพื่อขับไล่แม่ผัวออกจากบ้าน “ ท่านพี่ดีกับเราแบบนี้คงไม่ไปใส่ใจยายแก่นั้นแล้ว ดีหล่ะ เราก็ต้องหาทางไล่นางออกจากบ้านให้ได้ ท่านพี่จะได้รักเรา ใส่ใจเราแค่คนเดียว ”
ภรรยาของอุบาสกผู้เลี้ยงมารดาหลงคิดว่าสามีรักตนเองจนถึงกับลืมดูแลแม่ ได้วางแผนขับไล่แม่ผัว ด้วยการให้ร้ายต่าง ๆ นา ๆ “ ฮือ ฮือ ฮือ ” “ น้องหญิงเจ้าเป็นอะไรทำไมถึงมาร้องไห้อยู่แบบนี้ ” “ ก็แม่ของพี่นะสิจ๊ะ อยู่ดี ๆ ก็มาด่าว่าน้องเกียจคร้าน ไม่ยอมทำงาน ทั้งที่น้องก็ดูแลท่านแม่อยู่ทุกวัน ฮือ ฮือ”
“ น้องอย่าได้เสียใจไปเลยท่านแม่คงหงุดหงิดตามประสาคนแก่ ” (....อะไรกัน ทำไมท่านพี่ไม่เข้าข้างเรา หนอย แบบนี้ต้องใช้แผนหน่อยแล้ว) เมื่อแผนการกล่าวหาแม่ผัวไม่ได้ผล นางจึงคิดจะกลั่นแกล้งแม่ผัวให้ได้รับความลำบากทุกวันเมื่อนางจะให้ข้าวยาคูล ก็ให้ที่ร้อนจัดบ้าง เย็นจัดบ้าง ไม่เค็มบ้าง เค็มจัดบ้าง
“ แม่หนู ข้าวยาคูลที่เจ้าเอามาให้แม่ มันร้อนเกินไป แล้วมันก็เค็มมากด้วย แม่เองกินไม่ได้หรอกน่ะ ” “ ร้อนเหรอ เค็มเหรอ ได้ นี้ไงเติมน้ำให้แล้ว ที่นี้จะบ่นอะไรอีก ” “ อ้าว เจ้าใส่น้ำเยอะแบบนี้ ข้าวยาคูลก็เย็นแล้วก็ชืดหมดละสิ ” “ โอ้ย ฉันเหนื่อยนะแม่ เมื่อกี้ก็บ่นว่าร้อน ว่าเค็ม ฉันตามใจแม่ไม่ถูกหรอกนะ ฉันทำได้แค่นี้แหละไม่กินก็ตามใจ ”
แม้กระทั่งน้ำสำหรับอาบ สะใภ้ใจร้ายก็ต้มน้ำร้อนจัดแล้วราดลงบนหลังแม่ผัว “ โอ้ย โอ้ย น้ำร้อนเหลือเกินหลังแม่ไหม้หมดแล้ว เจ้าช่วยเติมน้ำให้ร้อนน้อยลงอีกนิดเถิด ”
นอกจากหาเรื่องแม่ผัวแล้ว สะใภ้จอมแสบยังเที่ยวบอกเพื่อนบ้านว่า แม่ผัวของตนเป็นคนเรื่องมาก เอาใจยากยิ่งนัก “ แม่ผัวของฉันเรื่องมากสุด ๆ เลยหล่ะบอกว่าน้ำที่อาบร้อนจัด สักพักก็บอกว่าเย็นเกินไป ฉันตามใจไม่ถูกจริง ๆ ” “ อุ๊ยตาย แก่แล้วยังเรื่องมากอีก ถ้าเป็นฉันคงไม่ทนแบบเธอหรอก ”
วันหนึ่งแม่ผัวบอกกับสะใภ้ว่า เตียงของนางมีตัวเรือดชุกชุม ทำให้นางไม่สามารถนอนหลับได้ “ แม่หนูที่เตียงของแม่มีตัวเรือดชุกชุม ตอนกลางคืนมันก็กัดแม่จนนอนไม่ค่อยจะหลับเลย ” “ เอาเถอะ ฉันจะเอาเตียงไปเคาะให้ก็แล้วกัน ”
นอกจากสะใภ้ตัวดีจะไม่ได้เคาะเตียงให้แม่ผัวแล้ว นางยังเอาเตียงของตนเคาะลงบนเตียงของแม่ผัว ทำให้เตียงของแม่ผัวเต็มไปด้วยตัวเรือด พอตกดึกแม่ผัวก็ถูกตัวเรือดรุมกัดทุกข์ทรมานจนไม่สามารถหลับลงได้ ต้องนั่งอยู่จนถึงเช้า
“ แม่หนู เจ้าเอาเตียงของแม่ไปเคาะแล้วหรือ ทำไมเมื่อคืนตัวเรือดมันยังกัดแม่มากกว่าเดิมเสียอีก ” “ เมื่อวานฉันเคาะเตียงให้แม่แล้วนะ เรื่องมากแบบนี้ใครจะไปดูแลได้ ” เมื่อเถียงสู้ไม่ได้ฝ่ายแม่ผัวก็นิ่งเสีย ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่สะใภ้ที่ไม่สามารถขับไล่แม่ผัวออกไปจากบ้านได้ (...“ หนอย ถ้าเป็นแบบนี้คงต้องเปลี่ยนแผนสะแล้ว คราวนี้แก่ก็ได้ออกจากบ้านแน่ ๆ..) "
เมื่อกลั่นแกล้งแม่ผัวให้ออกจากบ้านไม่สำเร็จ นางจึงวางแผนใส่ความเพื่อให้สามีไล่แม่ออกจากบ้าน โดยแกล้งบ้วนน้ำลาย สั่งน้ำมูกเรี่ยราดไปทั่วบ้าน “ น้องหญิงทำไมบ้านเราสกปรกแบบนี้ น้ำลายน้ำมูกสกปรกเลอะเทอะบ้านไปหมด ” “ ก็แม่ของพี่นะสิ น้องห้ามก็ไม่ยอมฟัง แถมยังด่าว่าน้องอีก แม่พี่ทำแบบนี้ ฉันคงอยู่ร่วมบ้านกันไม่ได้แล้วละ พี่เลือกเอาก็แล้วกันนะ ว่าจะให้แม่อยู่หรือจะให้ฉันอยู่ ”
ผู้เป็นสามีเมื่อได้ฟังคำพูดของภรรยาก็นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงบอกภรรยาว่า “ น้องหญิงเธอยังสาวยังสวยจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครก็ได้ ส่วนแม่พี่ท่านแก่มากแล้ว พี่เป็นคนเดียวที่จะเลี้ยงดูท่านได้ น้องจงกลับไปที่บ้านของน้องเถิด ” “ เอ่อ...เอ่อ ท่านพี่เมื่อกี้น้องพูดไปเพราะกำลังโกรธ ความจริงน้องก็ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ต้องการให้แม่ไปไหนหรอก ถือสะว่าน้องไม่เคยพูดก็แล้วกันนะจ๊ะ ”
นางได้ฟังคำของสามีแล้วจึงรู้ว่าตนไม่สามารถแยกสามีจากแม่ได้ หากจะกลับบ้านก็ต้องอยู่อย่างเป็นม่าย เมื่อคิดได้ดังนั้นก็กลับตัวกลับใจปฏิบัติตนเป็นสะใภ้ที่ดีอย่างเดิม ครอบครัวก็เป็นสุขตลอดมา วันหนึ่งอุบาสกผู้เลี้ยงมารดาไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วัดเชตวันแล้วได้กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดแด่พระศาสดา “ เดี๋ยวนี้เธอไม่เชื่อคำของภรรยา แต่ในชาติหนึ่งในอดีตเธอเคยเชื่อ จนไล่มารดาออกจากบ้าน แต่ก็เพราะเราเธอจึงนำมารดากลับมาสู่เรือนอย่างเดิม ”
พระพุทธองค์ตรัสเล่าเรื่องในอดีตชาติซึ่งใจความเหมือนเรื่องราวที่เกิดในปัจจุบัน แต่พอภรรยายื่นคำขาดว่าให้เลือกระหว่างแม่กับนาง สามีได้เลือกภรรยาและไล่มารดาของตนออกจากเรือน “ ท่านแม่หากท่านอยู่ คนในบ้านนี้คงไม่มีความสุขเป็นแน่ ท่านจงออกไปจากนี้เถิด ” “ ถ้าแม่ทำให้เจ้าไม่สบายใจละก็ แม่ก็จะทำตามที่เจ้าบอก ” หญิงชราออกจากบ้านลูกชายไปอาศัยอยู่กับเพื่อน ทำงานรับจ้างเลี้ยงชีพด้วยความยากลำบาก
ฝ่ายสะใภ้เมื่อแม่ผัวออกจากบ้านไปแล้วก็ตังครรภ์ นางได้บอกกับเพื่อนบ้านว่า ที่นางตั้งครรภ์เพราะแม่ผัวออกไปจากบ้าน “ ดูสิ อยู่กินกันมาตั้งนานไม่ท้องสะทีพอแม่ผัวฉัน ตัวกาลกินีออกไปจากบ้านปุบฉันก็ท้องปับเลย ” ฝ่ายแม่ผัวผู้น่าสงสารเมื่อทราบข่าวก็ยิ่งเสียใจ และน้อยใจในโชคชะตา
“ ธรรมะคงตายไปจากโลกนี้แล้ว ไม่อย่างนั้นคนจิตใจชั่วอย่างสะใภ้ของเราคงไม่มีลูก และคงไม่มีความสุขเช่นนี้ ” วันหนึ่งหญิงชราได้นำข้าวของได้แก่ งาแป้ง ข้าวสาร ทัพพี ถาด และศีรษะมนุษย์ที่ตายแล้ว ๓ ศีรษะมาทำเตาไฟ เพื่อทำพิธีถวายมตกภัตแก่ธรรมในป่าช้า ด้วยเข้าใจว่าธรรมได้ตายไปแล้ว
นางเริ่มก่อไฟแล้วลงน้ำสระผม บ้วนปาก สยายผม จากนั้นจึงเริ่มซาวข้าวเพื่อถวายมตกภัตแก่ธรรม ครั้งนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นท้าวสักกะเทวราช ทรงตรวจดูหมู่สัตว์โลก เห็นหญิงชรากำลังมีทุกข์ จึงแปลงกลายเป็นพราหมณ์ทำทีผ่านไปทางนั้นแล้วหยุดตรงที่นาง “ ดูก่อนกัจจานี เจ้าสระผมนุ่งห่มขาว ยกถาดสำหรับนึ่งขึ้นบนเตาที่ทำด้วยศีรษะมนุษย์ ยีแป้ง ล้างงา ซาวข้าว จะทำข้าวสุกคลุกงาเพื่ออะไรกัน ” “ ข้าวสุกคลุกงานี้เราไม่ได้ทำเพื่อกินเอง แต่เพื่ออุทิศให้ธรรม ก็คือ ความเคารพอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ และสุจริต ๓ ประการ ก็คือกาย วาจา และก็ใจที่ตายไปจากโลกนี้แล้ว ”
ท้าวสักกะเทวราชได้คืนร่างเดิมให้นางเห็น และได้อธิบายว่าธรรมนั้นยังอยู่และไม่มีวันตายหรือสูญสิ้นไปไหน “ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าธรรมะตายไปแล้วธรรมะยังมีอยู่ ธรรมะไม่มีวันตายและไม่หายสาบสูญไปไหน ” “ ถ้าธรรมยังไม่ตาย ทำไมคนใจบาปอย่างสะใภ้ของข้าจึงมีชีวิตอย่างเป็นสุขล่ะนางไม่มีลูก พอไล่ข้าออกจากบ้านได้ กลับได้ลูกและใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในบ้าน แต่ข้ากลับถูกทอดทิ้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ”
“ ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำให้สะใภ้และลูกของนางกลายเป็นขี้เถ้าเดี๋ยวนี้ ” “ เดี๋ยวก่อนท่านอย่าทำร้ายพวกเขา ข้าเพียงต้องการอยู่กับลูกชายลูกสะใภ้ และก็หลานเท่านั้น ” “ ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถิด ด้วยอานุภาพของเรา ลูกชายและสะใภ้ของเจ้าจะสำนึกได้และมารับเจ้ากลับไป ” ด้วยอานุภาพของท้าวสักกะเทวราชบันดาลให้ลูกสะใภ้ระลึกถึงคุณของแม่ พวกเขาได้ตามหาและพาแม่กลับมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข “ แม่อยู่นี้เอง กลับบ้านเราเถิด ข้าสำนึกผิดแล้ว แม่กลับไปอยู่ด้วยกันเถิด ”
“ ต่อไปฉันจะดูแลแม่อย่างดีเลยนะ จะไม่คิดร้ายกับแม่อีก ” “ พวกเจ้ารู้ผิดชอบก็ดีแล้ว ที่ผ่านมาแม่ให้อภัยพวกเจ้านะ ” พระศาสดาครั้นทรงตรัสพระธรรมเทศนานี้จบลงแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม แล้วทรงประชุมชาดกในเวลาจบสัจธรรม
อุบาสกผู้เลี้ยงมารดานั้นได้บรรลุโสดาปัน และเกิดเป็นอุบาสกผู้เลี้ยงมารดาในบัดนี้
ภรรยาของเขาในครั้งนั้น ได้มาเป็นภรรยาในบัดนี้
ท้าวสักกะเทวราช ได้มาเป็นเราตถาคตชะนี้แล