ชาดก 500 ชาติ
อุจฉังคชาดก-ชาดกว่าด้วยหญิงผู้มีใจรักพี่รักน้อง
แคว้นโกศลในพระราชอำนาจปกครองของพระเจ้าปเสนทิโกศล สมัยพุทธกาลนั้นบังเกิดเหตุปล้นสะดมบ่อยครั้ง ละแวกชายแดนสาวัตถีนครหลวงชาวบ้านมากมายหลายหมู่บ้าน ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากฝีมือโจรกลุ่มเดียวกัน ซึ่งทางการมิเคยปราบปรามได้โดยสำเร็จ
“ เฮ้ย เมื่อไหร่เจ้าโจรพวกนี้จะโดนจับได้สะทีนะ ” “ นั่นนะสิ ไม่รู้ว่าทางการไปมัวทำอะไรอยู่ ” “ ทำมาหากินได้เท่าไหร่ก็โดนปล้นหมดเลย วุ้ยลำบากจริง ๆ ” พระเจ้าโกศลเองเมื่อทราบเรื่องราวก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด จัดส่งกำลังทหารไปแก้ไขหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่อาจจับโจรกลุ่มนี้ได้
“ เฮ้อ นี่เราจะใช้วิธีการใดจัดการกับโจรพวกนี้ดีเนี่ย ” ณ เวลานั้นแผ่นดินชายแดนแคว้นโกศลรุ่มร้อนยิ่งนัก เมื่อทางการไม่สามารถจับโจรกลุ่มนี้มาลงโทษได้ ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งชายฉกรรจ์และหญิงสาวในหมู่บ้าน จึงรวมตัวกันออกสืบหาโจร
“ ในเมื่อพึ่งทางการไม่ได้ พวกเราก็ต้องช่วยตัวเอง ” “ นั่นนะสิ มาเถอะพวกเรา มาช่วยกันจับโจรกลุ่มนี้ให้ได้เถอะ เพื่อความสงบสุขของหมู่บ้านเรา ” “ หนอยแน่ะ บังอาจมาปล้นทรัพย์สมบัติเรา กว่าจะอดออมหามาได้ด้วยความยากลำบาก คอยดูนะ จับได้เมียจะเล่นให้น่วมเลย ”
“ ข้าได้ข่าวมาว่าที่ทุ่งนาด้านโน้นมีคนแปลกหน้าทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ไปดูกันเถอะพวกเรา ” “ ข้าว่าต้องเป็นพวกมันนี่แหละที่เป็นโจรปลอมตัวมา ” ชาวบ้านกลุ่มนั้นถือมีดถือไม้ตามหาโจรมาจนถึงทุ่งนานอกหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ขณะนั้นใกล้ฤดูเพาะปลูกแล้ว
ชาวไร่ชาวนามักออกมาสำรวจดูผิวดิน เพื่อเตรียมไถ่กันบ้างแล้ว ดั่งเช่นชาวนาครอบครัวหนึ่งซึ่งมีชายสูงวัย คนหนุ่มและเด็กรุ่นยังไม่โตเต็มวัยพากันมาขุดดินเตรียมลงไถ่เช่นกัน “ ดูนั่นสิ พวกไหนก็ไม่รู้ยกขบวนกันมาเต็มเลย ” “ เออ นั่นสิ เอ๊ะ หรือว่าจะมาช่วยพวกเราทำงาน ”
“ คงไม่หรอกมั้ง ดูหน้าตาแต่ละคนสิ ถมึงทึงมาเชียว ข้าว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ ๆ ” “ หรือว่าจะเป็นชาวนิคมชนบทโน้นกระมัง ข่าวว่าออกล่าพวกโจรกันอยู่ แต่...เอ้ พวกเขาเดินมาที่เราทำไมนี่ ท่าทางจะไม่ดีเหมือนพี่ว่าซะแล้ว ”
ไม่ทันขาดคำพวกชาวบ้านก็ถืออาวุธวิ่งเข้าหาครอบครัวนี้ เนื่องจากเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพวกโจรปลอมตัวมา “ นั่นไง พวกโจรมันอยู่ตรงนั้นหนอยทำมาปลอมตัวเป็นชาวนา คิดว่าจะตบตาพวกเราได้ง่าย ๆ อย่างนั้นรึ ”
“ ฮะ ฮะ ฮ่า เสร็จข้าละเจ้าโจรร้าย ทำนาไม่รุ่งหรือไง ถึงได้ออกมาปล้นชาวบ้านอย่างนี้ คราวนี้พวกแกไม่รอดแน่ ๆ ” “ ฮือ โกรธ ข้าไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน ก็พวกแกนั่นแหละที่มาขโมยข้าวที่พวกข้าเก็บไว้ โอ้ยหิว ไม่มีแรงวิ่ง ” “ พวกเขาวิ่งเข้ามากันแล้ว ทำยังไงดี ” “ อย่า หยุดก่อนพวกท่าน หยุดก่อนเถิด มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้ ” “ ไม่พงไม่พูดกันแล้ว พวกเราลุย ” “ เราเป็นแค่ชาวบ้าน หาใช่ผู้ร้ายปล้นฆ่าใครไม่ อย่าเข้ามา ได้โปรด อย่า โอ้ย โอ้ย ๆ ”
คำขอร้องไม่เป็นผล ชาวบ้านเข้ารุมทำร้ายชาย ๓ คนนี้ จนได้รับบาดเจ็บสะบักสบอม แถมถูกจับมัดเหมือนแพะ “ ฮือ ๆ ไม่ฟังกันบ้างเลย บอกแล้วไงละ ว่าเราไม่ใช่โจร ” “ โอ้ย โอ๊ะ ปล่อยพวกเราไปเถิดท่านจะจับเราไปไหนเนี่ยพวกเราไม่ใช่โจร พวกเราเป็นชาวนาธรรมดา ๆ เชื่อกันบ้างสิ โอ้ย ปล่อย ปล่อยเราไปเถอะ ปล่อยเรา ”
ข่าวจับโจรได้แพร่สะพัดไปทั่วนครสาวัตถี พระเจ้าปเสนธิโศกลโปรดให้เปิดท้องพระโรงไต่สวนในวันเดียวกันนั้น ซึ่งแน่นอนผู้บริสุทธิ์ย่อมไม่ยอมรับข้อกล่าวหา “ ฝ่าบาทหม่อมฉันทั้ง ๓ เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ จริง ๆ ขอพระกรุณาธิคุณโปรดปล่อยพวกหม่อมฉันด้วยเถิดพระเจ้าข้า ” “ ได้โปรดเถิดฝ่าบาท ฮือ ๆ ๆ ” “ ฝ่าบาทหม่อมฉันเป็นชาวนาจริง ๆ พระเจ้าค่ะ ” “ บังอาจ เราหวังจะได้ยินคำสารภาพของผู้ร้ายที่กระทำกรรมชั่วไว้มิใช่คำแก้ตัวเช่นนี้ ” “ จงเตรียมรับผลกรรมของเจ้าเถอะ ทหารเอาตัวมันไปขังไว้ รอคำสั่งประหารชีวิต ”
คำตัดสินของพระราชาในเวลานั้น ถือเป็นประกาศิตมิอาจคัดค้านได้ นับเป็นกรรมเก่าตามมาก่อทุกข์เข็ญโดยแท้ ชาวนาทั้ง ๓ ต้องถูกโยนลงขังคุกใต้ดินโดยหาได้ทำความผิดใดไม่ “ ถูกขังอยู่เช่นนี้ พวกเราคงหนีไปได้ยาก ” “ ทำไมพวกเราต้องถูกขังด้วยละ ก็เราไม่ผิดอะไรนี่ ” “ เวรกรรมแท้ ๆ เฮ้อ แม้แต่เศษอาหารพวกเราก็ยังไม่เคยได้ขโมย หรือหยิบของใครมา แล้วไย เราต้องโดนลงทัณฑ์ด้วย ”
วันเดียวกันนั้นเองได้มีหญิงคนหนึ่งมาร้องคร่ำครวญอยู่นอกกำแพงพระราชวัง “ ข้าแต่ผู้ปกครองเมือง โปรดพระราชทานเครื่องนุ่งห่มแก่หม่อมฉันเถิด โปรดพระราชทานเครื่องนุ่งห่มแก่หม่อมฉันเถิด ” นางนั้นรำพันคำซ้ำ ๆ กันเช่นนี้จนน่าประหลาดใจ
“ เจ้ามีความทุกข์ใดให้เราช่วยเหลือรึ ” “ ท่านไม่สามารถช่วยเหลือเราได้หรอก มีแต่พระเจ้าโกศลเท่านั้นที่ช่วยเราได้ ” “ เอาละ ๆ เธอมีความทุกข์ใด ก็จงกราบทูลพระเจ้าโกศลเองเถิด ” “ ขอบใจท่านมาก เร่งเปิดประตูเร็วเข้าสิ ”
เมื่อพระเจ้าโกศลทรงทราบความทุกข์ของนางที่ขอพระราชทานเครื่องนุ่งห่ม พระองค์จึงทรงรับสั่งให้ราชบุรุษนำผ้าสาดกผืนหนึ่งไปมอบให้ แต่นางนั้นกลับยิ่งร้องห่มร้องไห้มากกว่าเก่า “ หม่อมฉันไม่ได้ต้องการเช่นนี้ ที่ขอพระราชทานเครื่องนุ่งห่มก็คือสามีที่ถูกจับไป อันสามีนั้นเชื่อว่าเป็นเครื่องนุ่งห่มของหญิง หากปราศจากสามีถึงจะมีพี่น้องสัก ๑๐ คน ก็ยังถือว่ากายเปลือยเปล่าอยู่ดี ฮือ ฮือ ๆ ” หญิงผู้นั้นเฝ้ากราบทูลเหตุผลการขอชีวิตนักโทษอย่างชาญฉลาด จนพระเจ้าโกศลถึงกับเลื่อมใส
ยอมปลดปล่อยชายทั้ง ๓ ไปเป็นทาน “ อืม เราเข้าใจแล้ว เจ้าจงนำสามีแล้วก็ญาติของเจ้ากลับไปเถิด ” แล้วเรื่องที่หญิงผู้นี้ช่วยชีวิตผู้ชายทั้ง ๓ คนไว้ได้กลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งกรุงสาวัตถีแห่งแคว้นโกศลในพุทธสมัย แม้แต่ในหมู่ภิกษุที่พระเชตะวันมหาวิหาร ก็ร่ำลือไปทั่วเช่นกัน
จนกระทั่งความทราบถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงทรงระลึกอดีตชาติที่ผ่านมาด้วยบุบเพนิวาสนุสติญาณ ตรัสว่า “ ดูก่อนภิกษุหญิงนี้ใช่ว่าจะปลดเปลื้องให้ชายทั้ง ๓ พ้นจากทุกข์แต่บัดนี้เท่านั้น ถึงในปางก่อนก็ได้ทำดีเช่นนี้มาแล้ว ” สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนำ อุจฉังคชาดกมาตรัสเล่าดังนี้
ในอดีตชาติครั้งนั้น ชาย ๓ คน ก็เคยได้ประสบเคราะห์กรรมถูกจับมาขังไว้เช่นเดียวกัน หากแต่เป็นในภพของพระเจ้าพรหมทัต และหญิงคนนี้ในกาลก่อนก็เคยหมอบกราบขอพระราชทานอภัยโทษมาแล้ว
“ ก็ได้ เราจะยอมให้ตามที่เจ้าขอ เราให้ผู้คุมนำตัวมันทั้ง ๓ ออกมา แต่จะให้รอดชีวิตตามคำขอของเจ้าได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ” “ โอ้ ฝ่าบาทขอเดชะชายทั้ง ๓ เป็นที่รักยิ่งของหม่อมฉัน
ช่างลำบากใจเหลือเกินเพค่ะที่จะเลือก ๑ คนไว้ แล้วปล่อยให้อีก ๒ ต้องตายคนหนึ่งคือสามี คนวัยเยาว์นั้นคือบุตรในอุทร อีกคนเล่าก็เป็นพี่ชายร่วมสายเลือด หม่อมฉันไม่อาจเลือกใครเพียงคนเดียวได้เลย ” “ ๓ คนนี้มีความผิดมหันต์นัก มันเที่ยวปล้นสะดมเขาไปทั่ว แม้ถูกจับได้ก็ยังปากแข็ง ไม่ยอมรับความจริง มันมีโทษตายทั้งหมด
แต่เมื่อเจ้ามาขอชีวิตมัน ข้าจะละเว้นชีวิตให้หนึ่งคน เลือกเอาเถิดเจ้า ” “ โธ่ ฝ่าบาท จะให้หม่อมฉันเลือกเช่นไร ลำบากใจเหลือเกิน ฮือ ฮือ ” “ นั่นใช่หรือไม่ลูก สามี และพี่ชายของเจ้า เลือกมา ๑ คน ข้าจะเว้นโทษตายให้ ” “ เมื่อไม่มีทางอื่น หม่อมฉันขอชีวิตพี่ชายไว้เพค่ะ ”
“ พี่ชายรึ ไฉนไหนเป็นเช่นนั้นละ ” “ ขอเดชะพระองค์ผู้เป็นราชาเทพ อันบุตรนั้นย่อมเกิดในครรภ์เหมือนอยู่ในพกในห่อ หม่อมฉันย่อมให้กำเนิดบุตรเองได้อันสามีเล่าหากต้องการ เมื่อเดินไปตามทาง ย่อมหาได้ไม่ยาก แต่โอกาสจะมีพี่น้องร่วมท้องพ่อแม่เดียวกัน หม่อมฉันมองไม่เห็นทาง เพราะพ่อแม่ได้เสียชีวิตไปแล้ว ”
พูดแล้วนางก็ร่ำไห้เข้าไปกราบสามี “ พี่จ๋า ยกโทษให้น้องด้วย ที่ไม่อาจเลือกพี่หรือลูกของเราได้เพราะต้องตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ต้องช่วยชีวิตพี่ชายไว้ ” “ ไม่เป็นไรหรอก พี่เข้าใจเจ้า พ่อแม่มีพระคุณปานขุนเขา เธอทำถูกแล้วที่ช่วยลูกชายท่านขอให้มีความสุขความเจริญเถิดนะ พี่กับลูกขอลาก่อน ” “ พี่จ๋า หากชาติหน้ามีจริง น้องขอครองคู่กับพี่ทุกชาติไปนะ ฮือ ฮือ ”
ผละจากสามีบุตรชายก็โผเข้าซบอาลัยอย่างเศร้าสร้อย “ ลูกรัก แม่ขอโทษนะลูก แม่ไม่อาจจะช่วยเจ้าไว้ได้ แม่ขอโทษ ฮือ ฮือ ฮือ ๆ ” เสียงร้องไห้ที่กลั่นออกมาอย่างเจ็บร้าวในครั้งนี้ พระเจ้าพรหมทัตมิอาจกลั้นน้ำพระเนตรไว้ได้ พระองค์โปรดให้สอบสวนคดีใหม่ แล้วปล่อยตัวชายทั้ง ๓ ไปเพราะคุณธรรมที่ปรากฏจากครอบครัวนี้ เป็นลักษณะของคนดีมีศีลธรรม จึงย่อมมิใช่สมาชิกโจรเป็นแน่ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบแล้วทรงประชุมชาดกว่า
คนทั้ง ๔ ในอดีตกำเนิดเป็นชาวนา ๔ คนในครั้งนี้
พระเจ้าพรหมทัต เสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้า
นคฺคา นที อโนทกา
นคฺคํ รัฏฐํ อราชิกํ
อิตฺถี วิธวา นคฺคา
ยสฺสาปิ ทส ภาตโร
แม่น้ำ ไม่มีน้ำ ชื่อว่าเปลือย
แว่นแคว้น ไม่มีราชา ชื่อว่าเปลือย
หญิงปราศจากสามี แม้จะมีพี่น้องตั้ง ๑๐ คน ก็ชื่อว่าเปลือย