ชาดก 500 ชาติ รวมนิทานชาดกพร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ชาดก 500 ชาติ : ชาดก 500ชาติรวมชาดก 500 ชาติพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ชาดก คือ เรื่องราวหรือชีวประวัติในอดีตชาติของพระโคตมพุทธเจ้า คือ สมัยที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงนำมาเล่าให้พระสงฆ์ฟังในโอกาสต่าง ๆ เพื่อแสดงหลักธรรมสุภาษิตที่พระองค์ทรงประสงค์ เรียกเรื่องในอดีตของพระองค์นี้ว่า ชาดก ชาดกเป็นเรื่องเล่าคล้ายนิทาน บางครั้งจึงเรียกว่า นิทานชาดก

ชาดก 500 ชาติ :: อรรถกถา จุลลกาลิงคชาดก ว่าด้วย เทวดากีดกันความพยายามของคนไม่ได้  

อรรถกถา จุลลกาลิงคชาดก

ว่าด้วย เทวดากีดกันความพยายามของคนไม่ได้

 

               ณ พระเชตวันมหาวิหาร พระพุทธเจ้าพรงตรัสธรรมเรื่องของนักบวชหญิงทั้ง ๔ คน จึงตรัสพระธรรมเทศนาว่า              

               นครเวสาลี มีกษัตริย์ลิจฉวี ๗ พัน ๗ ร้อย ๗ พระองค์ประทับอยู่ กษัตริย์ลิจฉวีมีกิจกรรมที่ชอบเป็นพิเศษคือ การพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะคติ ถกเถียงพูดคุย ในเรื่องต่างๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง นักบวชนอกศาสนาผู้เรื่องชื่อว่า ฉลาดปราดเปรียว เดินทางมาถึงพระนครเวสาลี กษัตริย์ลิจฉวีจัดงานต้อนรับปรนนิบัตินักบวชนอกศาสนาอย่างดี  ต่อมาไม่นานได้มีนักบวชหญิงนอกศาสนาเดินทางมาถึงเมืองด้วย กษัตริย์จึงได้ไอเดียใหม่ให้ทั้งสองถกเถียง แลกเปลี่ยนความความคิด ในหัวข้อต่างๆ ในขณะทั้งนักบวชทั้งสองกำลังแลกเปลี่ยนวาทะอยู่


              กษัตริย์ลิจฉวีที่กำลังดูการโต้วาทะอยู่ ถึงกับเอ่ยชื่นชมว่า “ท่านนักบวชทั้งสองช่างมีปัญญาเฉียบแหลมนัก” “ถ้าทั้งสองคนนี้แต่งงานกันลูกของทั้งสองคงฉลาดมากแน่ๆ” จึงให้นักบวชทั้งสองสมรสกัน ต่อมานักบวชหญิงได้ให้กำเนิดลูกทั้งหมด ๕ คน โดยแบ่งเป็นหญิง ๔ คนและลูกชาย ๑ คนโดยมีชื่อว่า  นางสัจจา  นางโสภา  นางอธิวาทกา  นางปฏิจฉรา  และ สัจจกะ เด็กทั้ง ๕ ได้เล่าเรียนวาทะถึง ๑๐๐๐ วาทะ คือจากมารดา ๕๐๐ จากบิดา ๕๐๐ วาทะ

 

               พ่อและแม่ได้ให้โอวาทแก่นางทาริกาทั้ง ๔ ว่าถ้าใครเป็นชาวเมืองทำลายวาทะของพวกเจ้าได้ พวกเจ้าพึงยอมเป็นภรรยาของเขา แต่ถ้าเป็นบรรพชิต ก็ควรบวชในสำนักของบรรพชิตนั้น


               หลายปีต่อมา พ่อและแม่ได้เสียชีวิตลง นักบวชคนสุดท้องทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนศิลปะแก่กษัตริย์ลิจฉวีอยู่ในนครเวสาลี ส่วนพี่สาวทั้ง ๔ ถือกิ่งหว้าออกเดินทางไปตามเมืองต่างๆ เพื่อหาคนโต้วาทะ จนกระทั่งถึงพระนครสาวัตถี จึงปักกิ่งหว้าไว้ใกล้ประตูพระนคร แล้วบอกกับพวกเด็กๆที่อยู่แถวนั้นว่า “ถ้าใครอยากโต้วาทะกับเราให้เกลี่ยกองฝุ่นและเหยียบกิ่งหว้าด้วยเท้า” เมื่อพูดจบ นักบวชหญิงเข้าไปในพระนครเพื่อกินอาหาร

 

               ด้านพระสารีบุตรเมื่อดูแลปรนนิบัติภิกษุที่ป่วยเรียบร้อยแล้ว จึงออกไปบิณฑบาตในนครสาวัตถี ก่อนสายตาพระสารีบุตรจะหันไปเห็นกิ่งหว้าที่ปักไว้ ก่อนเอ่ยถามบรรดาเด็กแถวนั้น "กิ่งไม้นี่คืออะไร" บรรดาเด็กจึงอธิบายให้พระเถระฟัง จากนั้นพระสารีบุตรเดินเข้าไปเหยียบกิ่งหว้าล้ม ก่อนหันไปหาเด็กๆพร้อมตรัสว่า “ถ้านักบวชหญิงคนที่ปักไม้กลับมา บอกให้ไปหาเราที่ซุ้มประตูพระวิหารเชตวันด้วย” เมื่อกล่าวเสร็จพระสารีบุตรเดินเข้าไปในเมืองก่อนทำภัตกิจเรียบร้อยแล้ว  จึงได้ยืนอยู่ที่ซุ้มพระวิหาร


               ฝ่ายนักบวชหญิงกลับมาเห็นกิ่งหว้าถูกย่ำ “เจ้าหนูใครเหยียบกิ่งหว้านี้” “พระสารีบุตรเถระเหยียบ ถ้าท่านอยากโต้วาทะจงไปยังซุ้มพระวิหาร” นักบวชหญิงทั้งสี่พยักหน้าเข้าใจก่อนจะพากันกลับเข้าพระนคร เวลาผ่านไปเมื่อผู้คนในเมืองรู้ข่าวคนมารวมตัวกันที่ซุ้มพระวิหาร เพื่อมาดูการการตอบโต้วาทะ เหตุการณ์ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ


               “พระเถระตรัสว่า พวกท่านรู้อะไร อย่างอื่นบ้างไหม” “นักบวชหญิงกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่รู้อะไรอย่างอื่นแล้ว” พระเถระจึงตรัสว่า “เราขอถามอะไรท่านหน่อย” “เจ้าค่ะ” พระเถระจึงถามว่า “เอกํ นาม กึ อะไรชื่อว่าหนึ่ง?” “ข้าพเจ้าไม่สามารถตอบคำถามท่านได้” “พระเถระอธิบายความหมายให้นักบวชหญิงฟัง”  “พวกเราแพ้ท่านแล้วล่ะพระสารีบุตร” พระเถระจึงถามว่า  “พวกท่านจะทำอย่างไร?”


               นักบวชหญิงทั้งสี่จึงตอบว่า "มารดาบิดาของพวกข้าพเจ้าได้ให้โอวาทนี้ไว้ว่า ถ้าชาวบ้านทำลายวาทะของพวกเจ้าได้จงยอมเป็นภรรยาของเขา ถ้าบรรพชิตทำลายได้ก็จงพากันบวชในสำนักของบรรพชิตเพราะฉะนั้น ท่านโปรดบรรพชาแก่พวกข้าพเจ้าเถิด"


              พระเถระกล่าวว่า "ดีแล้ว จึงให้นางบวชในสำนักของพระอุบลวรรณาเถรี" ไม่นานนัก ทั้งหมดบวชแล้วก็ได้บรรลุพระอรหันต์


              อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า พระสารีบุตรเถระเป็นที่พึ่งอาศัยของนักบวชหญิงทั้งสี่ให้ทุกนางบรรลุพระอรหันต์


               พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาพอดีแล้วตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร" เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่ตอนนี้เท่านั้น แต่ในอดีต สารีบุตรก็ได้เป็นที่พึ่งอาศัยของนักบวชหญิง แต่ในชาติก่อนได้ถูกแต่งตั้งในตำแหน่งมเหสีของพระราชา" แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาอธิบาย 



                ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้ากาลิงคราชครองราชสมบัติ อยู่ในพระนครทันตปุระ แคว้นกาลิงครัฐ พระเจ้ากาลิงคราชทรงสมบูรณ์ด้วย ไพล่พลและพาหนะ แม้พระองค์เองก็มีกำลังดังช้างสารจนไม่มีใครกล้าต่อสู้ด้วย ส่วนตัวพระองค์ชอบทำสงครามเป็นพิเศษ

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%8702.jpg

 

                อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้ากาลิงคะตรัสกับอำมาตย์ว่า “อยู่แบบนี้ก็น่าเบื่อเราอยากออกรบแต่ไม่เห็นมีใครคิดจะมาทำสงครามกับเราเลย จะทำอย่างไรดี” อำมาตย์ทั้งจึงกราบทูลว่า "ข้าแต่มหาราช กระผมมีแผนที่อาจช่วยท่านแก้เบื่อได้" "อย่างไรหรือท่านอำมาตย์" “ให้พระราชธิดาทั้ง ๔ ของพระองค์ ทรงแต่งเครื่องให้สวยงาม นั่งราชรถ ให้ออกเดินทางไปยังเมืองต่างๆ โดยป่าวประกาศว่า พระราชาพระองค์ใดมีประสงค์จะรับเอาไว้ พวกเราจะยกทัพไปตีกับพระราชาพระองค์นั้น"

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%8704.jpg

 

               ส่งผลให้ในสถานที่พระราชธิดาเสด็จไป พระราชาทั้งหลายจึงไม่ยอมให้พระราชธิดาเข้าเมือง เพราะความกลัวภัยสงคราม จึงพากันส่งเครื่องบรรณาการออกไปแคว้นกาลิงครัฐ บรรดาพระราชธิดาเดินทางไปทั่วชมพูทวีป  จนไปถึงเมืองโปตละ แคว้นอัสสกรัฐ  ฝ่ายพระเจ้าอัสสกะกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองทรงให้ปิดประตูเมือง แล้วทรงส่งเครื่องบรรณาการออกไปถวายพระเจ้ากาลิงคราช ท่านอำมาตย์ลูกน้องคู่ใจของพระเจ้าอัสสกะที่มีนามว่านันทเสน เอ่ย  “ข่าวลือเรื่องพระราชธิดาของพระเจ้ากาลิงคราช เสด็จเที่ยวไปทั่วชมพูทวีป แต่ไม่มีเมืองใดกล้าต่อกรแม้แต่น้อย ชมพูทวีปได้ชื่อว่าไม่ต่างจากนักรบ เราจะรบกับพระเจ้ากาลิงคราช”  นันทเสนจึงไปยังประตูเมืองเรียกคนรักษาประตูมาเพื่อให้เปิดประตูแก่พระราชธิดาเข้ามา

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87006.jpg

               
               ครั้นพระราชธิดาทั้ง ๔ เข้ามาในเมืองแล้วจึงพาไปพบพระเจ้าอัสสกะ แล้วกราบทูลว่า “พระองค์อย่าทรงเกรงกลัวเลย เมื่อมีการรบกันข้าพระองค์รับอาสาพระองค์ โปรดทรงแต่งงานกับพระธิดาผู้เลอโฉมให้เป็นพระอัครมเหสีเถิด” จากนั้นพระเจ้าอัสสกะจึงอภิเษกกับพระราชธิดาทั้งสี่
จากนั้นจึงส่งทหารคุ้มกันราชรถที่มากับพระราชธิดากลับไปทูลยังพระเจ้ากาลิงคราช


               เมื่อทหารกลับไปรายงานเรื่องทั้งหมด พระเจ้ากาลิงคราชตรัสว่า “พระเจ้าอัสสกะนั้นคงจะไม่ทราบกำลังของเราแน่ถึงกล้าเปิดประตูเมืองรับธิดาทั้งสี่ของข้า เอ้ยยย!...ท่านอำมาตย์เตรียมทหารออกรบได้ ” พระเจ้ากาลิงคราชลุกขึ้นยืนหยิบดาบ ด้วยสีหน้ายินดียิ่งนัก “น่าสนใจดีนี่ท่าน พระเจ้าอัสสกะ” พระเจ้ากาลิงคราชนำทัพใหญ่ออกเดินทางทันที ในขณะนั้นนันทเสนอำมาตย์ทราบ ทูลเรื่องการนำทัพของพระเจ้ากาลิงคราช จึงส่งสาส์นไปขอพระเจ้ากาลิงคราชอยู่ในเขตแดนของท่าน อย่าได้ล่วงล้ำเขตแดนพระราชาของข้าพระองค์เลย การสู้รบครั้งนี้จะเกิดขึ้นบริเวณชายแดนแน่นอน พระเจ้ากาลิงคราชทรงอ่านสาส์นแล้วได้ทรงทำตามคำขอของนันทเสน


                 ซึ่งช่วงเวลานั้น พระโพธิสัตว์ได้บวชเป็นฤาษี อาศัยอยู่หว่างเขตแดนทั้งสองแค้วน  "พระเจ้ากาลิงคราชท่านเข้าไปหาฤๅษีก่อนไหมครับ" ท่านอำมาตย์เอ่ย “ฤๅษีจะไปรู้อะไร วันๆนั่งแต่ภาวนา แล้วจะบอกได้หรอว่าใครชนะ” "ท่านมหาราชทรงไปหาฤๅษีสักหน่อยดีกว่าเพื่อสร้างขวัญกำลังใจกับกองทัพของท่าน" เมื่อฟังดังนั้นพระเจ้ากาลิงคราชรับคำแบบไม่ยินดีด้วยซ้ำ “เมื่อพระเจ้ากาลิงคราชเข้าไปพบพระฤๅษีก่อนตรัสถาม “ท่านผู้เจริญ พระเจ้ากาลิงคะกับพระเจ้าอัสสกะใครคือผู้ที่ชนะในศึกครั้งนี้”

 

               พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า “ท่านผู้มีบุญมาก อาตมภาพไม่ทราบว่า พระองค์จะชนะหรือแพ้ เมื่อท้าวสักกเทวราชเสด็จมาที่นี่ อาตมภาพถามท้าวสักกเทวราชก่อน จักบอกให้ทราบ ในวันพรุ่งนี้ท่านมาฟังเอาเถิด"  

 

              หลายชั่วโมงต่อมาท้าวสักกะเสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อมาถวายภัตตาหารแก่พระโพธิสัตว์แล้วประทับนั่งลง เมื่อพระโพธิสัตว์ฉันภัตตาหารเสร็จ ทูลถามว่าการรบครั้งนี้ใครจะเป็นผู้ชนะ  ท้าวสักกะนิ่งไปชั่วครู่ก่อนตรัสว่า “นิมิตบอกว่า พระเจ้ากาลิงจะมีชัยเหนือ พระเจ้าอัสสกะ” เช้าวันต่อมา พระเจ้ากาลิงคราชทรงเสด็จมาพบท่านฤๅษี แต่พระองค์ไม่ตรัสถามแม้แต่น้อย  ทรงมาแค่ถวายภัตตาหารก่อนลา ด้วยสีหน้าแห่งความยินดี  “หึๆ ข้าคือคนที่จะได้รับชัยชนะ”


               ขณะเดียวกันพระเจ้าอัสสกะได้ยินเรื่องข่าวลือเรื่องสงครามครั้งนี้ พระองค์ทรงหวั่นวิตก ก่อนเรียกอำมาตย์คู่ใจมา  “ท่านนันทเสน เขาว่าพระเจ้ากาลิงคราชจะได้รับชัยชนะในครั้งนี้ เราจะทำอย่างไรกันดี” “ใจเย็นๆก่อนพระองค์ ไม่มีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับอนาคตได้หรอก อย่าทรงกังวลมากไปเลย” เมื่ออำมาตย์ปลอบใจพระเจ้าอัสสกะเรียบร้อย จึงเข้าไปหาฤาษีแล้วสอบถามว่า “ ท่านผู้เจริญศึกครั้งนี้ใครจักชนะ ใครจักแพ้” พระโพธิสัตว์กล่าว “พระเจ้ากาลิงคะจักชนะ พระเจ้าอัสสกะจักแพ้”

 

             นันทเสนถามว่า “ท่านผู้เจริญ นิมิตอะไรจะปรากฎแก่ผู้ชนะ แล้วนิมิตอะไรจะปรากฎแก่ผู้แพ้” พระโพธิสัตว์กล่าวว่า “เทวดาของผู้ชนะจะเป็นโคสีขาว เทวดาของผู้แพ้จะเป็นโคสีดำ เมื่อเทวดาทั้งสองสู้กันโคสีขาวจะเป็นฝ่ายชนะ”

 

             นันทเสนได้ฟังดังนั้น จึงลาฤาษีดาบส  ก่อนนำทหารจำนวนหนึ่งพันคน  ขึ้นไปบนภูเขา แล้วถามว่า “ท่านทั้งหลาย พวกท่านจะถวายชีวิตเพื่อพระราชาได้หรือไม่” ทหารตอบ “พวกข้าถวายได้” “ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงโดดลงไปในเหวเดี๋ยวนี้” บรรดาทหารตั้งท่าเตรียมจะโดดลงเหว แต่ก่อนที่จะก้าวเท้า นันทเสนอำมาตย์ร้องห้าม “หยุดดดดด” ทหารทั่งหมดหันไปทางท่านอำมาตย์ที่เปี่ยมด้วยสีหน้าชื่นชมปนยินดี ก่อนถามอย่างฉงนสงสัยว่า“เกิดอะไรขึ้นหรือท่านอำมาตย์” "ไม่มีอะไรหรอกท่าน สิ่งที่ให้ท่านทำเมื่อสักครู่คือบททดสอบ เรารู้สึกนับถือพวกท่านเหลือเกินที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าอัสสกะ มีเรื่องนึงที่เราอยากจะขอร้องให้ท่านช่วยเหลือได้ไหม” “ได้เสมอถ้าเกี่ยวกับแผ่นดินพวกเรายินดี” นันทเสนยืนยิ้มเจ้าเล่ห์ ถ้าอย่างนั้นได้โปรดฟังแผนการของเราได้ไหม

 

             หลายวันผ่านไป กองทัพทั้งสองฝ่ายยืนประจันหน้ากันบริเวณชายแดนของแต่ละแคว้น พระเจ้ากาลิงคราช ทอดสายตามองไปยังทัพของศัตรู “อัสสกะ ท่านมีกำลังทหารจำนวนแค่นี้เองหรือ แล้วจะเอาอะไรมาชนะข้า ผลก็ออกมาแล้วสินะว่า ข้าผู้นี้คือคือกษัตริย์ผู้มีชัยเหนือทุกเมือง”ฝ่ายพระเจ้ากาลิงคราช พอนึกว่าตัวเองจะชนะ ก็ตกอยู่ในความประมาท ขาดระเบียบวินัย ไม่มีความพร้อมเพรียง ไม่เตรียมการรบ ต่างคนต่างทำตามใจชอบ

 

             พระราชาทั้งสองพระองค์เสด็จขึ้นม้า ก่อนควบตะบึงวิ่งเข้าหากัน กรับ กรับ กรับ ! เสียงฝีเท้าของม้าดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของกองทัพทหารทั้งสอง แต่ก่อนที่องค์กษัตริย์จะได้ประลองดาบกัน จู่ๆก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ตูม! เสียงระเบิดดังเลื่อนลั่น ม๊อออออออออออ เสียงร้องอันกึกก้องของเทวดาอารักขากษัตริย์ทั้งสองปรากฎขึ้นบนฟากฟ้า แสงแดดที่เคยเฉิดฉายกลับถูกบดบังด้วยเมฆหมอก โคสีดำรูปร่างกำยำ พร้อมด้วยเครื่องประดับสีทองอร่าม ปรากฎขึ้นเช่นเดียวกันอีกฝากที่ไม่ได้น้อยหน้าเลยแม่แต่น้อย โคสีขาวรูปร่างใหญ่โตประดับด้วยอาพรเพรชระยิบระยับ เทวดาอารักขาทั้งสองต่างส่งเสียงขู่คำรามดังอยู่เป็นระลอก แต่กระนั้นภาพตรงหน้าจะยิ่งใหญ่ หรืองดงามเพียงใดแต่ไม่มีใครอาจเห็นได้ นอกจากพระราชาทั้งสองเท่านั้น

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87007.jpg

 

              นันทเสนเดินฝ่ากระแสลมจนมาถึงพระเจ้าอัสสกะ ก่อนเอ่ยว่า “พระองค์ เทวดาปรากฎขึ้นรึเปล่าแล้วมีสีอะไร ” “ปรากฎ ของเราเป็นโคสีดำของพระเจ้ากาลิงคราชเป็นโคสีขาว” “ข้าแต่มหาราช พระองค์อย่าทรงเกรงกลัวเลย พวกเราจักชนะ ก่อนอื่นพระองค์เสด็จลงจากหลังม้าก่อน แล้วทรงถือหอกนี้ด้วยพระหัตถ์ซ้าย พร้อมกับทหารหนึ่งพันนาย  แล้วขว้างหอกไปยังเทวดาของพระเจ้ากาลิงคราช”  จากนั้นกษัตริย์ทรงทำตามแผนทุกอย่าง หอกในมือของพระเจ้าอัสสกะลอยละลิ่ว เข้าไปปักร่างโคสีขาวอย่างจัง ตามด้วยหอกอีกหนึ่งพันเล่ม ปักเข้าลำตัวของโคสีขาว โฮกกกกกก! เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดดังกึกก้อง เพียงเสี้ยวอึดใจ เสียงนันทเสน ตะโกนดังลั่น ปา!  หอกอีกหนึ่งพันเล่มพุ่งตรงเข้าใส่เป้าหมายอย่างจัง เทวดาอารักขาฝั่งพระเจ้ากาลิงล้มลง โครมม! เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น แต่น่าเสียดายมีเพียงกษัตริย์ทั้งสองเท่านั้นที่รับรู้ได้ จากนั้นสายลมที่เคยกรรโชกกลับหายไป ท้องฟ้าเปิด แสงอาทิตย์กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงตะโกนของพระเจ้าอัสสกะ ข้าชนะแล้ววว เฮ้ๆๆๆๆๆๆ ตามด้วยเสียงโห่ร้องนายทหารคู่ใจ ดังไปทั่วบริเวณ

 

               “เป็นไปไม่ได้ เสียงอุธานด้วยความตกใจ เราแพ้หรอแล้วคำทำนายที่ฤๅษีบอกกับเราล่ะ ดาบสขี้โกหก” เสียงในหัวประเดประดังเข้ามา พระเจ้ากาลิงคราชทรงตรัสสั้นๆ “เรากลับกันเถอะ” จากนั้นกองทัพทหารฝังพระเจ้ากาลิงคราชเคลื่อนพลกลับเมืองของตนตามเดิม

 

               “ขอบใจนะท่านนันทเสน ถ้าไม่มีท่านข้าคงไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่" พระเจ้าอัสสกะตรัส และแล้วข่าวเรื่องพระเจ้าอัสสกะชนะศึกสงครามครั้งนี้แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดิน

 

               ๒-๓ วันต่อมา ท้าวสักกะลงมาจากสวรรค์ ได้เสด็จมายังที่พักของพระดาบส  “ท่านท้าวสักกะ เทวดายังพูดโกหกอีกหรือ ผลที่ออกมาไม่เหมือนนิมิตรที่ท่านบอกเราเลย" “ดูก่อนพราหมณ์ ท่านเคยได้ยินประโยคนี้ไหม? เทวดาทั้งหลายย่อมกีดกันความพยายามของลูกผู้ชายไม่ได้ ความข่มใจ ตั้งใจแน่วแน่ ความไม่แตกสามัคคีกัน ความไม่แก่งแย่งกัน การรุกในเวลาควรรุก ความเพียร และความบากบั่นของลูกผู้ชาย เพราะเหตุนั้นแหละ ชัยชนะจึงปรากฏแก่พระเจ้าอัสสกะ"


               อนึ่ง ความเพียรพยายามและความบากบั่นของลูกผู้ชายผู้มีจิตใจแน่วแน่ ได้คุณธรรมอันมั่นคง เพราะความเป็นผู้มีความสามัคคีกัน เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ ชัยชนะจึงได้มีแก่พวกพระเจ้าอัสสกะเมื่อพระเจ้ากาลิงคราชหนีไปแล้ว พระเจ้าอัสสกราชได้กวาดต้อนเชลย แล้วเสด็จไปยังพระนครของพระองค์ อำมาตย์นันทเสนส่งสาส์นไปถวายพระเจ้ากาลิงคราชว่า พระองค์จงส่งส่วนทรัพย์มรดกมาถวายพระราชธิดาทั้ง ๔ ของพระองค์เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ทรงส่งไป พวกเราจะส่งกองทัพไปที่เมืองของพระองค์ พระเจ้ากาลิงคราชได้ทรงสดับข่าวสาสน์นั้นแล้ว ทั้งกลัวทั้งสะดุ้งหวาดเสียว จึงส่งพระราชทรัพย์มรดกของพระราชธิดาไปยังเมืองของพระเจ้าอัสสกราชตั้งแต่นั้นมา พระราชาทั้งสองก็อยู่อย่างสงบสุข

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87005.jpg

 


               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า.
               พระราชธิดาของพระเจ้ากาลิงคราชในกาลนั้น ได้เป็น ภิกษุณีสาวเหล่านี้ในบัดนี้
               อำมาตย์นันทเสนในครั้งนั้น ได้เป็น พระสารีบุตร ในบัดนี้
               ส่วนดาบสในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

               

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

* * ชาดก 500 ชาติ แนะนำ * *

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล