อรรถกถา เจติยราชชาดก
ว่าด้วย เชฏฐาปจายนธรรม
ณ พระวิหารเชตวัน พระศาสดาทรงประทับอยู่ ทรงตรัสถึงพระเทวทัตตอนถูกแผ่นดินสูบ ว่า
ในอดีต ณโรงธรรมสภา บรรดาภิกษุทั้งหลายกำลังสนทนาธรรม ดูก่อนท่านทั้งหลายพระเทวทัตมุสา ก่อนถูกแผ่นดินสูบ
ขณะเดียวกันพระศาสดาเสด็จผ่านมา ก่อนตรัสถามว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันถึงเรื่องอะไร?" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่ในชาตินี้เท่านั้นที่พระเทวทัตทำมุสาวาทแล้วถูกแผ่นดินสูบ แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตก็มุสาแล้วถูกแผ่นดินสูบเหมือนกัน” ก่อนนำเอาเรื่องในอดีตมาเล่าให้ฟัง
ในอดีตกาลสมัยที่พระเจ้าวระ ปกครองแคว้นเจติยรัฐ ท่านมีพระโอรสนามว่า อุปริจระ พระองค์มีฤทธิ์ธานุภาพ ๔ ประการ คือ เหาะเหินเดินอากาศได้ มีเทวดาถือดาบประจำกาย ๔ องค์ เป็นผู้คุ้มกัน มีกลิ่นตัวหอมดั่งดอกจันทน์ กลิ่นปากที่หอม ทุกครั้งที่ทรงเอื้อนเอ่ย เมื่ออุปริจระ ยังเยาว์วัย ผู้ได้รับตำแหน่งปุโรหิตนามว่า กปิลพราหมณ์ มีน้องชายคือโกรกลัมพกะ ตัวน้องชายมีอายุไล่เลี่ยกับพระโอรส ทั้งสองได้เรียนในสำนักเดียวกัน ในตอนเมื่อพระราชายังเป็นเด็ก พระองค์ได้ให้สัญญากับเพื่อนรักของตนว่า ถ้าได้ครองราชสมบัติแล้ว จะให้ตำแหน่งปุโรหิตกับท่าน
ครั้นเมื่อถึงเวลาครองราชสมบัติ พระองค์ไม่สามารถถอดกปิลพราหมณ์ เนื่องจากเป็นปุโรหิตเก่าแก่ทำงานรับใช้กับพ่อของตนมาเป็นระยะเวลายาวนาน เเต่ด้วยคำสัญญาที่มีให้กับเพื่อนสนิท พระราชาย่อมบิดพริ้วไม่ได้ ไหนจะท่านปุโรหิตที่พระองค์ยำเกรง ด้วยเหตุนี้จำกังวลเรื่องนี้เป็นอย่างมากส่งผลให้กินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวัน
วันหนึ่งขณะที่พระราชากำลังสนทนาเรื่องการบ้านการเมืองอยู่ "ท่านอุปจิรราช เป็นอะไรหรือทำไมสีหน้าไม่สู้ดีนัก" "ท่านปุโรหิตข้าไม่เป็นเช่นไรหรอก" "จริงหรือเจ้าข้า" "ว่าพระองค์ทรงลำบากใจที่พูดคุยกับเรา เพราะอายุ ช่วงวัยนั้นก็ห่างกันมากโข ถ้าพระองค์มีเพื่อนที่คอยเป็นที่ปรึกษาในวัยเดียวกันคงจะดีกว่า เราก็ทำหน้าที่นี้มานานมากแล้วคงถึงคราวแล้วที่เราจะออกบวชไปอยู่เงียบๆกลางป่า"เมื่อปุโรหิตคิดไตร่ตรองเรียบร้อยแล้วก่อนกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ กระหม่อมแก่มากแล้วขอให้พระองค์แต่งตั้งลูกชายขึ้นมาเป็นปุโรหิตแทนได้ไหมพะยะค่ะ"
โกรกลัมพกพราหมณ์น้องชายของอดีตท่านปุโรหิตได้ยินข่าวเรื่องพี่ชายของตนแต่งตั้งลูกชายขึ้นมาทำหน้าที่ปุโรหิตแทนตน ถึงกับโมโห ขว้างปาข้าวของ กระจัดกระจายเต็มพื้น "หนอยยไอ้แก่ ออกบวชแล้วยังจะหวงอีก คอยดูนะข้าจะเอาตำแหน่งคืนมาให้ได้"
วันหนึ่งขณะที่โกรกลัมพกพราหมณ์เข้าเฝ้าพระราชา "ท่านโกรกลัมพกมาแล้วหรือ" "พะยะข้า" "ท่านยังไม่ได้ตำแหน่งปุโรหิตหรือ" "ยังขอรับ" "พี่ชายของท่านออกบวชสักพักแล้วนะ" "ขอรับ" "แต่เขาได้ให้พระองค์แต่งตั้งลูกชายชึ้นแทนกระหม่อม"
"ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ กระหม่อมไม่อาจให้พระองค์ถอดพี่ชายจากตำแหน่งได้หรอก อันสืบเนื่องมาตามประเพณี" โกรกลัมพกพราหมณ์ "ถ้าอย่างนั้น เราจะแต่งตั้งท่านให้เป็นใหญ่ แล้วสลับกับหลานชายของท่านแบบนี้ดีไหม"
"ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์ไม่ทรงทราบหรือ พี่ชายมีคาถาอาคมน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ถ้าเขาคิดอุบาย เช่น ทำเป็นเทพบุตรสี่องค์หายตัว ทำให้กลิ่นหอมที่ฟุ้งจากพระวรกาย และพระโอษฐ์กลายเป็นกลิ่นเหม็น หรือทำพระองค์พลัดตกจากอากาศ" "ท่านอย่าได้ห่วงเลยเราทำได้" "ข้าแต่พระองค์ จะทรงทำเมื่อไร?" "นับแต่นี้ไปเจ็ดวัน"
ข่าวเรื่องที่ประองค์ทรงคุยกับเพื่อนของตนได้แพร่สะพัดไปทั่วพระนคร มหาชนถึงกับหวั่นวิตกเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น ทางด้านบุตรชายของอดีตปุโรหิต เมื่อได้ยินข่าว นำเรื่องนี้มาปรึกษาพ่อของตน "ลูกรัก ถึงพระราชาจะโกหก ก็ไม่อาจพระราชทานตำแหน่งของเราแก่อาเจ้าได้ ก็พระราชาจะประกาศวันไหน?" "อีกเจ็ดวันครับ" "ถ้าเช่นนั้นเมื่อถึงวันนั้นบอกพ่อด้วย"
ครั้นถึงวันที่เจ็ด มหาชนต่างพากันไปประชุมกันที่พระลานหลวง พากันยืนดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ลูกชายได้บอกแก่บิดาของตน ด้านพระราชาแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จแล้ว ก่อนเหาะออกผ่านทางหน้าต่าง นั่งลงบนบัลลังก์ท่ามกลางอากาศ และสายตาชาวบ้านที่ต่างพากันมามุงดู
อีกฝากฝั่งหนึ่งพระดาบสได้เหาะมาใกล้พระราชา ก่อนจะปูหนังสัตว์แล้วนั่งลงตรงพระพักตร์พระราชา ก่อนจะเอ่ยปาก "ดูก่อนมหาบพิตร ได้ยินว่าพระองค์ประสงค์จะทำมุสาวาท เรื่องสลับให้น้องเป็นใหญ่กว่าพี่ แล้วพระราชทานตำแหน่งแก่น้องชายกระหม่อม จริงหรือ?"
พระราชาตรัสว่า "ถูกแล้วท่านอาจารย์ " "ดูก่อนมหาบพิตร ขึ้นชื่อว่ามุสาวาทเป็นบาปหนัก กำจัดคุณความดี ทำให้เกิดในอบายทั้ง ๔ ธรรมดาพระราชา เมื่อทรงทำมุสา ย่อมชื่อว่าทำลายธรรม ครั้นทำลายธรรมเสียแล้ว ย่อมได้ชื่อว่าทำลายตน ฤทธิ ๔ อย่างของพระองค์ก็จักอันตรธานไป เมื่อยังตรัสคำกลับกลอกอยู่ เทวดาทั้งหลายก็จะพากันหลีกหนีไปเสีย พระโอษฐ์จักมีกลิ่นบูดเน่าเหม็นฟุ้งไปทั่ว "
พระเจ้าอุปริจรราชได้สดับรับฟังแล้วรู้สึกหวั่นวิตก ก่อนหันไปทางโกรกลัมพกพราหมณ์ "ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์อย่าทรงกลัวเลย ข้าพระองค์ได้กราบทูลเรื่องนี้แก่พระองค์ไว้ก่อนแล้ว มิใช่หรือ?" พระราชาถึงจะได้ทรงสดับคำของกปิลปุโรหิตแล้วก็ตาม แต่เพื่อจะรักษาพระดำรัสของพระองค์ไว้ จึงได้ตรัสว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดาบสเป็นน้องชาย โกรกลัมพกะเป็นพี่ชาย"
ทันใดนั้น เทพบุตรทั้ง ๔ อันตรธานหายไปพระโอฐที่เคยมีกลิ่นหอมกลับกลายเป็นเหมือนไข่เน่า ส่วนพระวรกายก็มีกลิ่นเหม็นเหมือนอุจจระฟุ้ง ตลบอบอวลไปทั่วบริเวณก่อนพระราชาจะตกลงสู่พื้นดิน มหาปุโรหิตได้กราบทูลพระราชาว่า "ข้าแต่พระราชาผู้เป็นใหญ่ ขอพระองค์อย่าได้ทรงกลัวเลย ถ้าพระองค์ทรงตรัสเรื่องจริง ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม"
"หนอยยย...เป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของดาบสรูปนี้แน่ เสียดายที่รักเคารพ" ก่อนจะโกหกเป็นครั้งที่สอง แผ่นดินได้สูบเท้าทั้งสองข้างของพระองค์ลงไป "หยุดเถอะพระองค์ ถ้ายังทรงโกหกอีกเลยในแว่นแคว้นของพระองค์ ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล" พระราชาไม่ทรงฟังคำดังเตือนของดาบสแม้แต่น้อยก่อนจะพูดโกหกครั้งที่สาม แผ่นดินดูดพระองค์จนถึงหน้าแข้ง ดาบสได้พูดค้านพระราชาอีกครั้ง แต่ตอนนี้ในใจของพระราชาตอนนี้มืดบอด เนื่องจากได้ปักใจเชื่อไปแล้วว่าเป็นเพราะดาบสที่ทำให้พระองค์เป็นแบบนี้ ก่อนจะโกหกครั้งที่สาม ร่างถูกแผ่นดินสูบลงไปถึงเข่า "ถ้าพระองค์ทรงโกหกต่อไป แผ่นดินจะค่อยๆแตกออกเป็นสองเสี่ยงก่อนที่จะสูบพระองค์ลงไป" แต่กระนั้นพระราชายังคงโกหกอีกครั้ง อีกครั้ง และแล้วผลก็เป็นไปตามคำพูดของดาบสจริงๆ
ร่างของพระราชาถูกฉุดกระชากลงสู่นรกเบื้องล่าง ก่อนจะถูกไฟนรกโลกันต์แผดเผ่า เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาณของพระองค์ดังไปทั่ว ใต้พื้นพิภพ
พระเจ้าอุปริจรราชมิได้ทรงเชื่อถือถ้อยคำของพระดาบส เพราะโทษคือการคบคนชั่วเป็นมิตรพระเจ้าเจติยราชนั้น แต่ก่อนเคยเสด็จเที่ยวไปได้ในอากาศ ภายหลังถูกพระฤๅษีสาปแล้ว เสื่อมจากอำนาจ ถึงกำหนดเวลาของตนแล้วถูกแผ่นดินสูบ
เพราะเหตุนั้นแหละ บัณฑิตทั้งหลายจึงไม่สรรเสริญฉันทาคติ บุคคลไม่พึงเป็นผู้มีจิตถูกฉันทาคติเป็นต้นประทุษร้าย พึงกล่าวแต่คำสัตย์เท่านั้น
พระเจ้าเจติยราชนั้น แต่ก่อนเคยสัญจรไปได้ในอากาศ ครั้นภายหลังถูกพระฤๅษีสาปแล้ว ก็เสื่อมอำนาจ ถึงกำหนดเวลา คือกาลวิปโยคของตน ก็ถูกแผ่นดินสูบ ผู้ที่มีจิตไม่ถูกฉันทาคติเป็นต้นประทุษร้าย พึงกล่าวแต่คำสัตย์เท่านั้น
มหาชนพากันตกใจกลัวว่า พระเจติยราชด่าพระฤๅษี กล่าวมุสาวาท ตกนรกอเวจีแล้วพระโอรส ๕ องค์ของพระเจ้าเจติยราชพากันหมอบลงที่เท้าของพระดาบสกล่าวว่า ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของพวกข้าพเจ้าเถิด
พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตทำมุสาวาทแล้วถูกแผ่นดินสูบ แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตก็ทำมุสาวาท แล้วถูกแผ่นดินสูบเหมือนกัน ดังนี้แล้ว
ทรงประชุมชาดกว่า
พระเจ้าเจติยราชในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเทวทัต
ส่วนกปิลพราหมณ์ ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.