อรรถกถา ชรูทปานชาดก
ว่าด้วย ขุดบ่อได้ทรัพย์กลับพินาศเพราะขุดเกิน
วันหนึ่ง เมืองสาวัตถีมีกลุ่มพ่อค้า เที่ยวตระเวรซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อออกเดินทางไปค้าขายที่ต่างแดน แต่ก่อนจะออกเดินทาง ได้นิมนต์พระตถาคตก่อนถวายข้าวปลาอาหาร แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าจะต้องออกเดินทางไกลไปค้าขาย ไม่รู้ว่าเมื่อใดพวกกระผมจะกลับมาถึง เอ่อ...ถ้ากระผมกลับมาขอนิมนต์ท่านอีกครั้งนะขอรับ” "ได้สิ"
ขบวนเกวียนพ่อค้าค่อยๆขับเคลื่อนออกจากตัวเมือง มุ่งสู่จุดหมายปลายไปยังต่างแดน ระหว่างการเดินทางสภาพอากาศร้อนอบอ้าว ไม่มีแม้แต่สายลมที่ผัดผ่านให้ผู้คนที่กำลังทางชื่นใจแม้แต่น้อย ท้องฟ้าสีครามสด ชวนให้คนมองชุ่มชื่น จนต้องเอ่ยชม ช่างแตกต่างกับกลุ่มพ่อค้าที่กำลังนั่งอยู่บนเกวียน มือใหญ่ๆปาดเหงื่อที่ไหลจากโคนผมหยดแล้วหยดเล่า ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงแม้แต่น้อย “คอแห้ง” คำที่ผุดขึ้นในห้วงความคิดก่อนควานหาน้ำในเกวียนของตนมาดื่มกิน “อ้าวหมดแล้วหรอ” ก่อนตะโกนบอกผู้นำขบวนว่า “ท่านน้ำหมดแล้ว” “อย่างนั้นหรือ แถวนี้ก็ไมมีหมู่บ้านด้วยลองหาบึงก่อนแล้วกัน” หัวหน้าขบวนเอ่ย สายตาพลันสะดุดเข้ากับบ่อน้ำขนาดเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากทางสัญจรเท่าไหร่นัก “นั่นไงบ่อน้ำ” ก่อนพาเกวียนไปหยุดหยุดข้างๆบ่อน้ำ บรรดาพ่อค้าต่างวิจารณ์กันว่า “เล็กขนาดนี้คงไม่พอหรอก พวกเรามีหลายสิบคน สงสัยคงต้องขุดให้บ่อกว้างขึ้นสักหน่อย” ปึก ปึก เสียงจอบดังเป็นระยะ ปากบ่อที่เคยแคบกับค่อยๆกว้างขึ้น แต่สิ่งที่ปรากฏขึ้นไม่ใช่น้ำที่ทุกคนคาดหวัง อัญมณี ปรากฏแก่สายตาทุกคู่ นั่นอัญมณีไม่ใช่หรอ สีหน้าพ่อค้าต่างดีใจก่อนจะรีบขนขึ้นรถแล้วเดินทางกลับเมืองอย่างรวดเร็ว ณ. นครสาวัตถีต่างพากันนิมนต์พระตถาคต ก่อนถวายทาน ก่อนเล่าที่มาของสมบัติ
พระศาสดาทรงตรัสว่า “เพราะพวกท่านรู้จักพอในชาตินี้เลยรอดชีวิตมาได้ เมื่อชาติที่แล้วพวกท่านสิ้นชีพเพราะสมบัติเหล่านี้” “ยังไงหรือเจ้าข้า ช่วยเล่าให้พวกกระผมฟังหน่อยได้ไหม” บรรดาพ่อค้าต่างอ้อนวอนพระศาสดา จนท่านยอมเล่าให้ฟัง
ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดเป็นบุตรของพ่อค้า เมื่อเติบใหญ่ ทางครอบครัวให้พระโพธิสัตว์รับหน้าที่หัวหน้าพ่อค้าแทนตน “ลูกตอนนี้พ่อก็แก่มากแล้ว คงจะไม่ได้ขับเกวียนค้าขายเหมือนแต่ก่อน อีกอย่างลูกก็พร้อมไปด้วยประสบการณ์ คุณสมบัติต่างๆแล้ว พ่อคิดว่าเวลานี้เหมาะกับเจ้าแล้ว อีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้ากลุ่มพ่อค้าจะออกเดินทางไปค้าขาย เมื่อถึงตอนนั้นเตรียมทุกอย่างให้พร้อมนะลูก” “ครับ” จากนั้นพระโพธิสัตว์ตระเวนซื้อสิ่งของ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าบริโภค อุปโภค บรรทุกจนเต็มเกวียน ก่อนพากลุ่มพ่อค้าออกเดินทาง
ขบวนเกวียนนับร้อย เคลื่อนออกจากเมืองพาราณสี กลุ่มพ่อค้าควบรถม้าวิ่งไปตามทางถนนลูกรัง "เข้าเขตชนบทแล้วสินะ" หนึ่งในพ่อค้ารำพึง พื้นสีน้ำตาลอมแดงเต็มไปด้วย หินกรวดกระจัดกระจายเต็มท้องถนน แสงแดดไม่แม้จะแผ่วลงเลยสักนิด พ่อค้าฝั่งหัวขบวนหยิบขวดน้ำขึ้นมาจิบกิน แต่ภายในกระบอกไม่มีน้ำสักหยด “ชิหมดแล้วหรอ” เสียงพ่อค้าสบถด่าอย่างหัวเสีย “หัวหน้าๆ น้ำที่จัดเตรียมมา หมดแล้วท่านช่วยหาแหล่งน้ำที่” พ่อค้าหัวขบวนตระโกนบอก พระโพธิสัตว์รับคำ ใช้สายตาสอดส่องหาแหล่งน้ำใกล้ๆ ผ่านไปไม่นาน บึงน้ำขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้น ก่อนพระโพธิสัตว์จะนำขบวนเกวียนมาหยุดอยู่ข้างๆบึงขนาดเล็ก “พวกท่านเราจะหยุดเกวียนที่นี่ก่อน กินข้าวปลาอาหารให้เรียบร้อย แล้วถ้าใครไม่มีน้ำสามารถมาตักที่บึงตรงนี้ได้เลย” จากนั้นบรรดาพ่อค้าต่างทำภารกิจของตน “หัวหน้า” “มีอะไรหรือ” “ท่านว่าน้ำจะพอกับพ่อค้าทุกคนหรือ พวกเรามากันเป็นร้อย บึงนี้เล็กนิดเดียว” “เออก็จริงถ้าอย่างนั้นเมื่อกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ทุกคนขุดบึงตรงนี้แล้วกัน”
บรรดาพ่อค้าต่างพากันใช้จอบ เสียม ขุดบึงน้ำให้ขยายใหญ่ขึ้น ปึก ปึก ปึก เสียงจอบกระทบดังขึ้นเป็นระยะ ก่อนจะเกิดเสียงตะโกนโวยวายของพ่อค้าคนหนึ่ง “เฮ้ยยยยย นี่มันเพรช!” ก่อนคว้าก้อนเพรชเม็ดใหญ่ ใช้มือลูบคลำไปมา “ชั่งน่าอัศจรรย์ใจจริงๆลูกพี่ เพรชเป็นกิโลๆเต็มไปหมด”
ไหนๆ ขอดูหน่อยบรรดาพ่อค้าต่างกรูเข้ามา “โอ้จริงด้วย! เฮ้.....เรารวยแล้ว” บรรดาพ่อค้าต่างตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดีก่อนจะใช้จอบขุดอย่างบ้าคลั้ง “ข้าเจอแล้ว” “ข้าก็เจอ” “ข้าก็เหมือนกัน” เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง หัวหน้าพ่อค้าตะโกนบอกทุกคน “หยุดเถอะ เราเก็บเพรชแล้วกลับเมืองเถิด แค่นี้ก็อยู่แบบสบายๆทั้งชีวิตแล้ว” “ไม่พวกเราไม่กลับ อยากกลับก็กลับไปคนเดียวสิ ท่านนี่โง่หรือเปล่า เจอขุมสมบัติใหญ่ขนาดนี้ พวกเราต้องขนเพรชไปได้มากที่สุด” สายตาของพ่อค้าคนพูดเกิดประกายแสงจ้า จับจ้องมายังใบหน้าพระโพธิสัตว์ หัวหน้าพ่อค้าได้แต่ถอนหายใจ “ท่านนี่โลภจริงๆ เคยได้ยินไหม โลภมากมักเป็นภัยกับตัว” “ไร้สาระนะท่าน”
ปึก ปึก ปึก เสียงขุดดังสะท้อนไปทั่วผืนน้ำ พยานาคที่อยู่ด้านล่าง กำลังหลับสบายถึงกับสะดุ้งโหยง “เฮ้ยเสียงดังมาจากไหน” ก่อนจะลุกขึ้นเดินหาที่มาของเสียง “ใครกันที่ทำเสียงอึกทึกครึกโครมเช่นนี้” ก่อนพญานาคจะเจอเข้ากับต้นตอของเสียง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือ ปราสาทของตนกำลังพัง ยอดที่เคยประดับด้วยเพรชนิลจินดา กลับหลุดหาย “ใครบังอาจทำลายปราสาทของข้า!” เสียงเหี้ยมตะโกนลั่น ก่อนใช้จมูกพ่นลมอย่างสุดแรง ส่งผลให้น้ำในบึงที่เคยเงียบสงบกลับเกรียวกราด พร้อมจะฉุดกระชากทุกสรรพสิ่งสู่ประตูนรก อ้ากกกก....เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ร่างพ่อค้าถูกฉุดกระชาก ก่อนจะขาดสะบั้นกระจัดกระจาย ไปตามทิศทางต่างๆ คนที่เหลือรอดทิ้งจอบ ทิ้งเพรช วิ่งหนีเอาชีวิตรอดอย่างไม่คิดชีวิต คลื่นยักษ์เข้าจู่โจมอีกครั้ง พัดร่างพ่อค้ากระแทกกับหินแหลม โครมมมเสียงกัมปนาทดังกึกก้องไปทั่วป่า แรงปะทะทำให้บรรดาพ่อค้าทั้งหมด ถึงกับสิ้นชีพลงในบัดดล “มันเกิดอะไรขึ้น” พระโพธิสัตว์ที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมด ถึงกับตะลึงพรืด เหงื่อไหลซึมทั่วร่างกายก่อนทรุดลงกับพื้น
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว เป็นผู้ตรัสรู้ยิ่งเองได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า
พ่อค้าทั้งหลายผู้มีความต้องการน้ำ พากันขุดบ่อน้ำเก่า ได้แร่เหล็ก แร่ทองแดง ดีบุก ตะกั่ว แก้วมณี เงินทอง แก้วมุกดาและแก้วไพฑูรย์เป็นอันมาก
แต่พ่อค้าเหล่านั้นไม่ได้ยินดีด้วยทรัพย์นั้น พากันขุดลึกยิ่งขึ้นๆ ในบ่อน้ำมัน มีพระยานาคมีพิษร้ายแรง มีเดช ได้ฆ่าพ่อค้าเหล่านั้นเสียด้วยเดชแห่งพิษ
เพราะฉะนั้น บุคคลพึงขุดบ่อน้ำเถิด แต่ไม่ควรขุดให้ลึกเกินไป เพราะบ่อที่ขุดลึกเกินไปเป็นของลามก ทรัพย์ที่พวกพ่อค้าได้แล้วด้วยการขุดก็พินาศไป เพราะการขุดลึกเกินไป
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
พระยานาคในกาลนั้น ได้เป็น พระสารีบุตร ในบัดนี้
ส่วนหัวหน้าพ่อค้าเกวียน คือ เราตถาคต ฉะนี้แล