อรรถกถา จุลลปโลภนชาดก
ว่าด้วย หญิงทำบุรุษให้งงงวย
ณ โรงธรรมสภา พระพุทธเจ้าทรงเสด็จผ่านมาขณะนั้น บรรดาพระภิกษุสงฆ์กำลังนั่งสนทนากัน ก่อนทรงตรัสถาม ดูก่อนภิกษุ “ได้ยินว่า เธออยากจะสึกจริงหรือ” “ใช่ขอครับ” “ดูก่อนภิกษุ ชื่อว่าหญิงเหล่านี้ย่อมทำให้ผู้บริสุทธิ์เศร้าหมอง ไม่ใช่แค่ในชาตินี้เท่านั้นแต่ ในอดีตทำให้ท่านเศร้าหมองเช่นเดียวกัน”
ในอดีตกาล พระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติอยู่ในเมืองพาราณสี พระองค์ครองราชสมบัติผ่านมาหลายปี แต่ยังไม่มีทายาทสืบต่อบัลลังก์ พระองค์ทรงกังวลเรื่องนี้มานาน
ในคืนหนึ่งพระเจ้าพรหมทัต ทรงเรียกพระสนมทั้งหมดมาชุมนุมยังท้องพระโรง ก่อนตรัสกับพระสนมว่า “ตอนนี้เราก็ครองราชสมบัติมาหลายปีแล้ว แต่ปัญหาก็คือยังไม่มีทายาท” แววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของพระราชาจ้องมองมาทางเหล่าพระสนมก่อนเอ่ยต่อว่า "เราอยากจะให้ทุกคนช่วยมีทายาทให้เราได้ไหม”
เมื่อเวลาผ่านไป พระโพธิสัตว์ได้ลงมาจุติในครรภ์ของพระมเหสี เเละเกิดเป็นทารกเพศชายบรรดาแม่นม ที่ได้รับมอบหมายต่างดูเเลพระโอรสอย่างดี "โอ๋พระโอรสทรงกินนมเถิดนะเจ้าคะ" อุแว้ อุแว้ เสียงร้องกระจองอแง ของเด็กน้อยยังไม่มีที่ท่าจะสงบลง ชวนให้ปวดหัวกับคนเลี้ยงไม่น้อย ไม่ว่าจะเปลี่ยนแม่นมสักเท่าไหร่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น แต่มีเรื่องน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือมีเพียงบุรุษที่สามารถอุ้มดูแล ทำทุกอย่างให้ได้ โดยที่พระโอรสไม่ร้องสักนิดเดียว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพี่เลี้ยงถูกเปลี่ยนกลายเป็นชายทั้งหมดและทุกครั้งที่ให้นม หญิงเหล่านั้นจะต้องใช้ผ้าคลุมปิดบังใบหน้า
เมื่อพระโพธิสัตว์เติบโตขึ้น พระราชาทรงประทานนามว่า อนิตถิคันธกุมาร ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพระเจ้าพรหมทัต ยังคงหมายมั่นปั่นมือว่าจะผลิตทายาทของตนเพิ่มเข้ามาอีก จนอนิตถิคันธมีอายุเข้า 16 ปีบริบูรณ์ ยังไม่มีบุตรแม้แต่คนเดียว ด้วยพฤติกรรรมของลูกชายที่ ไม่สนใจสมบัติพัสถาน รวมถึงหญิงสาว ด้วยเหตุนี้ทำให้พระราชทรงกลุ้มพระทัยเป็นอันมาก จนต้องหาทางดึงลูกชายตนเองกลับมา เมื่อพระราชาตระหนักได้ดังนั้นทรงหาวิธีทีจะทำให้ลูกชายของตนหันมาสนใจการบ้านการเมือง จู่ๆสมองที่เคยทึบตันกับสว่างโร่ขึ้นมากระทันหัน “จะไปยากอะไรก็หาผู้หญิงให้ก็พอ”
จากนั้นพระเจ้าพรหมทัตทรงสั่งให้หญิงฟ้อนรำนางหนึ่งมาเข้าเฝ้า “ขอเดชะ พระองค์มีเรื่องอะไรให้หม่อมฉันรับใช้หรือเจ้าคะ” “ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย คือใช้เสน่ห์ทั้งหมดที่เจ้ามี หลอกล่อยั่วยวนให้ลูกของข้ากลายเป็นสามีของเจ้า" "แล้วถ้าทำสำเร็จจะเป็นยังไงต่อ ไม่ใช่ทำภารกิจสำเร็จ แล้วเขี่ยดิฉันทิ้งนะคะ" "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกข้าไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นส่วนรางวัลคือ ตำแหน่งพระมเหสีสนใจไหม” พระราชาจ้องหน้าหญิงสาวนิ่ง “สนใจสิคะ คงไม่มีหญิงสาวคนไหนปฏิเสธหรอก ในเมื่อมีข้อเสนอที่ดีขนาดนี้” “ถ้าอย่างงั้นก็ดี พรุ่งนี้เริ่มงานได้เลย”
ในเวลาใกล้รุ่ง หญิงสาวมายืนที่หอคอยหลังม่านใกล้ห้องนอนของพระโอรส ก่อนขับร้องพร้อมบรรเลงเสียงพิณ ประสานกับเสียงเพลงขับกล่อม ฝั่งพระโอรสได้ยินก็รู้สึกชื่นมื่น "ฟังเพลงตอนเช้าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ" วันรุ่งขึ้นพระโอรสเอ่ยปากกับองครักษ์ว่า “ช่วยบอกนางให้ยืนร้องเพลงให้ฟังอีกรอบได้ไหม” หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา หญิงสาวมายืนร้องเพลงให้พระโอรสที่หอคอยทุกวัน
พระองค์ทรงหลงใหลในตัวหญิงสาว จนได้เสียเป็นผัวเมีย ถึงกับเอ่ยปากว่า “เราจะไม่ยอมให้ชายใดเข้าใกล้เธออีก ถ้าใครฝ่าฝืนจะต้องตาย” วันหนึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งบังเอิญอยู่ใกล้หญิงสาว พระโอรสหยิบดาบก่อนวิ่งไล่ฆ่าเพศบุรุษตามท้องถนน “อ้ากกกกอย่าหนีนะเจ้าบังอาจเข้ามาใกล้ภรรยาของข้า” ด้วยเหตุนี้พระราชาทรงสั่งให้ทหารจับ ลูกชายและภรรยาออกไปนอกเมือง
ฝ่ายอนิตถิคันธและชายา เสด็จเข้าป่าไปยังแม่น้ำคงคาทางทิตใต้ สร้างอาศรมอยู่ระหว่างแม่น้ำคงคาและมหาสมุทร
วันหนึ่ง เมื่อพระโพธิสัตว์ออกไปหาผลหมากรากไม้ มีพระดาบสรูปหนึ่งอาศัยอยู่ในเกาะกลางมหาสมุทร ขณะที่เหาะอยู่อากาศ เห็นควันไฟ “เอ๊ะ มีบ้านอยู่ตรงนั้นด้วย เราลงไปบิณฑบาตดีกว่า”จากนั้นฤๅษีค่อยๆลดระดับลงจนมาหยุดอยู่ที่อาศรม ภรรยาพระโพธิสัตว์เห็นดาบสลอยมา “ท่านอยู่แถวไหนหรือเจ้าคะ ดิฉันไม่เคยเห็นท่านเลย” “เรามาจากเกาะกลางทะเลนู้น ก่อนทำท่าทางชีไปทิศทางที่ตนอยู่” “ท่านดาบสเชิญนั่งก่อนอีกสักครู่ข้าวปลาอาหารคงจะเสร็จ” ระหว่างที่กำลังรอ นางได้หลอกล่อดาบสให้เสื่อมจากฌาน ส่งผลให้พรหมจรรย์ของดาบสขาดสะบั้น เหมือนนกกาปีกหัก จนไม่อาจจะกลับไปอาศรมของตนได้
ในตอนเย็น พระโพธิสัตว์เดินมาถึงอาศรม ดาบสที่แอบอยู่ไม่ไกล รีบวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต พระโพธิสัตว์ดันเห็นเข้า "เฮ้ย..นั้นใครบังอาจมาแอบเข้าใกล้เมียข้า" ก่อนจะหยิบดาบวิ่งไล่ฟันดาบสแปลกหน้าไม่ลดละ "หยุดนะเจ้าดาบส" "ไม่ข้าไม่หยุด" ดาบสตะโกนลั่นก่อนวิ่งหนีสุดแรง ก่อนจะพยายามลอยขึ้นเหนือทะเลกว้างใหญ่ "ลอยสิๆ" ฤาษีพยายามใช้พลังอย่างสุดแรง แล้วร่างค่อยๆลอยขึ้นแต่ได้ไม่นานก่อนจะตกลงในทะเล
พระโพธิสัตว์ที่ยืนดูอยู่ที่ชายฝั่ง “สงสัยดาบสผู้นี้เหาะบนอากาศมา แล้วติดใจเสน่ห์หญิงสาวสุดท้ายเลยเป็นแบบนี้” แต่ก่อนดาบสก่อนจะจมลงในห้วงทะเลลึก”
“ธรรมดาว่า หญิงเหล่านี้เป็นผู้ทำบุรุษให้งงงวย มีมารยามาก ทำให้พรหมจรรย์กำเริบ ย่อมจมลงในอบาย บัณฑิตรู้ชัดอย่างนี้แล้ว พึงหลีกเว้นเสียให้ห่างไกล หญิงเหล่านั้นย่อมเข้าไปคบหาบุรุษใด เพราะความรักใคร่พอใจ หรือเพราะทรัพย์เขาย่อมเผาบุรุษนั้นเสียฉับพลัน เปรียบเหมือนไฟไหม้ที่ของตน”
ฝ่ายพระดาบส ครั้นได้ฟังคำของพระโพธิสัตว์อย่างนี้แล้ว ยืนอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร เกิดความเลื่อมใส ทำให้ฌานกลับเกิดขึ้นอีกพระโพธิสัตว์คิดว่า พระดาบสนี้เป็นผู้อบรมมาแล้ว แม้เราก็ควรทำฌานให้เกิด แล้วไปทางอากาศเหมือนพระดาบสนี้
ครั้นคิดแล้วก็ไปยังอาศรม นำหญิงนั้นไปส่งยังถิ่นมนุษย์ “เจ้าจงกลับไปเถิด” เสร็จแล้วก็เข้าป่า สร้างอาศรมในภูมิภาคอันรื่นรมย์ แล้วบวชเป็นฤาษี กระทำกสิณบริกรรม ยังอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิด ได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศอริยสัจจธรรม ทรงประชุมชาดก
ในเวลาจบอริยสัจ ภิกษุผู้กระสันจะสึก ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
ก็อนิตถิคันธกุมาร ในกาลนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.