อรรถกถา จุลลนารทกัสสปชาดก
ว่าด้วย พิษ เหว เปือกตม และอสรพิษ
ณ พระเชตวันมหาวิหาร สถานที่พระศาสดาเสด็จประทับอยู่ ทรงตรัสถึงเรื่องการเอาอกเอาใจของสาวแก่ ให้กับภิกษุฟัง มีใจความว่า
ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนมีธิดาชาวกรุงสาวัตถีผู้หนึ่งอายุประมาณ ๑๕-๑๖ ปีได้ นางเป็นหญิงที่มีรูปโฉมงดงาม แต่สิ่งที่น่าแปลกคือไม่มีชายใดมาสู่ขอนางแต่งงานแม้แต่คนเดียว ทำให้แม่ของนางหนักใจยิ่งได้แต่ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี หลังจากนั่งกลุ้มมาหลายวันก็คิดหาทางออกจนได้ “ใช้ลูกสาวเป็นเหยื่อล่อพระสักรูปแล้วกัน”
วันหนึ่ง ณ เรือนหญิงแก่ ขณะที่นางกำลังจัดข้าวปลาอาหารอยู่นันั้น ขบวนพระภิกษุสงฆ์หลายสิบรูปเดินผ่านมาทางหน้าบ้านพอดี “เอ๊ะ..ขบวนพระภิกษุไม่ใช่หรอ” ช่างเป็นเวลาที่เหมาะเหลือเกิน ก่อนทำท่าทางชะเง้อ เหมือนกำลังพิจารณาอะไรอยู่ "ตรงนี้มองไม่เห็นอะไรเลย ลงไปข้างหน้าบ้านดีกว่าจะได้เห็นอะไรถนัด" ก่อนจะกางร่มแล้วลงจากเรือน ไปยืนหน้าบ้านใช้สายตาจ้องมองไปที่พระภิกษุอย่างพิจารณา “อืม...รูปนี้ก็ไม่ได้ รูปนี้ยังไม่ผ่าน วันนี้จะได้เหยื่อไหมหนอ" ขณะที่สาวแก่รำพึงรำพันกับตนเอง
สายตาดันสะดุดเข้ากับพระรูปหนึ่ง “ฮ่า..ต้องแบบนี้สิช่างงดงามเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นสบงที่ส่องประกาย ยามต้องแสงตะวัน บาตรสีสวยดังอัญมณี รูปร่างงดงามราวกับชายชาตรี นี่แหละเหยื่อของเรา” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าชั่วขณะก่อนจะค่อยๆเลือนหายไป “นิมนต์เจ้าข้า” สาวแก่เอ่ยขึ้น ก่อนจะพาพระหนุ่มเดินตรงเข้ามายังเรือน แล้วจัดแจงที่นั่งพร้อมยกภัตตาหารซึ่งประกอบไปด้วย ของคาวของหวานต่างๆ ก่อนกล่าวกับพระภิกษุหนุ่มว่า “ ท่านช่วยมาที่เรือนนี้บ่อยๆได้ไหมคะ”
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่พระภิกษุกำลังฉันภัตตาหารอยู่ มีเสียงรำพึงรำพันจากสาวแก่ว่า “ในเรือนนี้มีเครื่องมีอุปโภคบริโภคพอประมาณ แต่สิ่งที่ขาดนั้นมีแค่ลูกชาย ตอนนี้ดิฉันก็แก่มากแล้ว ห่วงแต่ลูกสาวที่ต้องอยู่คนเดียวยามที่ดิฉันตายไป แล้วไหนจะบ้านหลังนี้อีก ดิฉันล่ะห่วงจริงๆ” ภิกษุหนุ่มฟังคำของนางจบแต่ได้แต่นิ่งเงียบ ก่อนคิดในใจ “นางพูดเพื่อประโยชน์อะไรเล่า”
ตั้งแต่นั้นมา นางเริ่มแต่งกายด้วยผ้าแพรชั้นดี ใส่เครื่องประดับที่งดงาม และทุกครั้งที่ภิกษุหนุ่มมาที่เรือน นางมักจะส่งสายตาหวานเยิ้ม พร้อมรอยยิ้มที่เปลี่ยมไปด้วยเสน่หา ให้กับพระภิกษุทุกครั้งที่มาบ้าน ช่วงแรกพระหนุ่มแค่รู้สึกแค่ร้อนๆหนาวๆ ไม่ได้ใสใจอะไรนัก แต่ขึ้นชื่อว่า น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อนแล้วนับประสาอะไรกันความรู้สึกคน จะไปเหลืออะไร ด้วยหญิงสาวก็ไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่อะไร บวกกับจริตจะก้านอีกนิดหน่อย ทำเอาเหล่าหนุ่มๆ หลงหัวปักหัวปำกันหมดแล้ว และแล้วภิกษุหนุ่มก็ไม่อาจต้านทานไหว ตกอยู่ภายใต้ห้วงเสน่ห์ อย่างเต็มรูปแบบ ภิกษุหนุ่มนั่งคิดนอนคิดด้วยอาการกระสับกระส่ายอยู่หลายวัน ก่อนตัดสินใจทิ้งสถานะภาพพระภิกษุ ก่อนตรงไปยังวิหาร กราบเรียนพระอาจารย์อุปัชฌาย์ว่า “ผมจะสึกครับ”
“ฉันจะพาเธอไปสำนักพระศาสดา” พระอาจารย์อุปัชฌาย์กล่าว ก่อนเดินนำเข้าไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญภิกษุนี้จะสึกพระเจ้าข้า” พระศาสดาตรัสถามว่า “ดูก่อนภิกษุข่าวว่า เธอจะสึกจริงหรือ” เมื่อกราบทูลให้ทรงทราบว่า “จริง” จึงตรัสว่า “เพราะเหตุอะไรทำให้เธออยากสึก “เป็นเพราะสาวแก่ พระเจ้าข้า” “ดูก่อนภิกษุ แม้ในอดีตนางคนนี้ก็เคยกระทำอันตรายแก่พรหมจรรย์ ก่อความเสื่อมเสียอย่างมหันต์แก่เธอ เธอยังจะสึกเพราะนางอีกหรือ”
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ มีสมบัติมากมายในแคว้นกาสี ได้ร่ำเรียนวิชาต่างๆจนกระทั่งสำเร็จ จากนั้นก็แต่งงานกับหญิงจากตระกูลใกล้ๆกัน วันหนึ่งภรรยาของพระโพธิสัตว์เกิดเจ็บท้องคลอด บรรดาหมอตำแยต่างช่วยประถมพยาบาลอย่างเต็มที่ เสียงเด็กร้องดังระงมไปทั้งห้อง แต่เรื่องที่น่ายินดีก็เกิดขึ้นได้ไม่นาน สุดท้ายภรรยาสุดที่รักกลับสิ้นใจลง เหลือไว้เพียงลูกชายคนเดียวเท่านั้น จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พระโพธิสัตว์ตระหนักได้ว่า ความตายที่เกิดกับภรรยาของตนนั้นสักวันหนึ่งสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับตนเช่นกัน
คืนหนึ่งพระโพธิสัตว์เรียกลูกชายเข้ามาหาในห้อง “เราทั้งสองบวชกันไหม ละทิ้งกิเลส ซะ” คนเป็นพ่อกล่าว “ทำไมเราต้องละทิ้งด้วยครับ ทั้งๆที่เราอยู่แบบนี้ก็สบายดีอยู่แล้ว” ลูกชายถามอย่างสงสัย “เจ้าจำเรื่องของแม่ได้ไหม ความตายพรากคนที่ลูกและพ่อรักจากไปโดยไม่ทันตั้งตัวแม้แต่น้อย สิ่งที่ตามมาคือ ความโศกเศร้าเสียใจสุดท้ายทั้งพ่อและลูก ต้องอยู่ในวงวลพวกนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น บวชเถอะนะ เพื่อละกามทั้งหลาย” จากนั้นพระโพธิสัตว์จึงพาลูกชายออกเดินทางเข้าป่าหิมพานต์ ออกบวชเป็นฤๅษี
หลายปีต่อมา ณ หมู่บ้านแถบชายป่ามีกลุ่มโจรชาวปัจจันตคาม บุกปล้นก่อนจะจับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในนั้นเป็นเชลย ก่อนจะใช้ให้ขนข้าวของสู่ชายแดน กลุ่มเชลยที่เต็มไปด้วยแรงงานชาย หญิงวัยกลางคน กลับมีสาวงามผู้หนึ่งซึ่งนางเป็นคนที่มีร้อยเล่ห์มารยาเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ระหว่างทางจึงพยายามคิดหาทางหนีทีไล่ก่อนออกอุบายว่า “นายเจ้าข้า ดิฉันอยากเข้าห้องน้ำ โปรดหยุดสักหน่อยเถิดเจ้าคะ” ขณะที่พูดก็ส่งสายสายตายั่วยวนโจรหนุ่มไปด้วย “ได้สิข้าให้เวลา10นาที” “เจ้าคะ” จากนั้นหญิงสาวก็เดินหลบเข้าไปในชายป่า “หึ..ในที่สุดเราก็ได้โอกาสแล้วก่อนจะวิ่งหนีอย่างสุดแรง”
เช้าวันต่อมา ณ ป่าหิมพานต์ “เหนื่อยจัง...โอ๊ยยยเมื่อไหรจะออกจากป่านี้ได้สักที” หญิงสาวกระทืบเท้าแสดงอาการกระฟัดกระเฟียด ปึกๆ ปึกๆ เสียงเท้ากระทบกับพื้นดังขึ้น “ในป่านี่ไม่มีอะไรเลยยย โอ้ย อยากกลับบ้านแล้ว” ขณะที่หญิงสาวเดินไปมาอยู่นั้น สายตาดันหันไปเห็นกระท่อมกลางป่าเข้า “เอ๊ะ ใครมาอยู่กลางป่าฤๅษีหรอ เดินเข้าไปขอความช่วยเหลือดีกว่า”
ก่อนจะสาวเท้าทั้งสองข้างตรงเข้าไปกระท่อมกลางป่า ซึ่งในขณะนั้นมีเพียงแค่ลูกชายพระโพธิสัตว์เฝ้าอาศรมอยู่เท่านั้น เนื่องจากฤๅษีผู้เป็นพ่อออกไปหาผลไม้ “มีใครอยู่ไหม”เสียงเรียกของหญิงสาวดังขึ้น ฤๅษีหนุ่มได้ยินจึงเดินออกมาดู “เธอเข้ามาที่นี่ได้ยังไง” ดาบสหนุ่มถาม หญิงสาวได้เห็นดาบสหนุ่มก็รู้สึกพอใจ “เด็กคนนี้ก็หน้าตาดีใช้ได้เลยแถมยังหนุ่มยังแน่นถ้าพาออกไปด้วยคงจะดูแลเราได้สบาย” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้น “หึ...เสร็จเราแน่” ก่อนที่หญิงสาวจะทำทีเป็นอ่อนแรง แกล้งล้มลงกับพื้น ดาบสเห็นดังนั้นก็ตกใจก่อนจะรีบเข้าไปพยุง “เป็นอะไรหรือเปล่า” “เอ่อไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” ก่อนจะค่อยๆช้อนสายตามองไปยังดาบสหนุ่ม ดวงตาคู่สวยคลอไปด้วยน้ำตา “ท่านเจ้าคะท่านชั่งงดงามเหลือเกิน ดิฉันเห็นแค่ครั้งเดียว ก็ทำในหลงรักซะแล้ว ไปอยู่ด้วยกันนะคะ อยู่ในป่านี้ก็ลำบากเปล่าๆ ในเมืองมีของกินอร่อยและยังหาได้ง่าย ที่พักก็สบายกว่า ท่านไปกับดิฉันดีกว่าไหม” นางเอ่ยยั่วยวน ดาบสหนุ่มชะงักก่อนกล่าว “ดีเลยตอนนี้พ่อของฉันไปหาผลไม้ในป่าเมื่อท่านกลับมาแล้วค่อยไปพร้อมกันนะ" เมื่อหญิงสาวได้ยินคำพูดที่หลุดออกมาจากปากฤๅษีหนุ่มก็ไม่พอใจ ก่อนผุดลุกขึ้น “ชิ! ไม่รู้เรื่องอะไรเลยยยยย ถ้าพ่อมาถึงไม่ไล่เฉดหัวส่งหรือ ใครจะอยากให้พาลูกไป” ถ้ารอเจ้าเด็กนี่คงไม่ดีเท่าไหร่นัก ไปดีกว่า “เออ...ฉันว่าจะออกเดินทางไปล่วงหน้าก่อนแล้วกัน ท่านก็ค่อยตามมานะ” ก่อนจะสะบัดหน้าหนีดาบสหนุ่ม แล้วเดินจากไป
เมื่อหญิงสาวหายลับไปกับป่าแล้ว ฤๅษีหนุ่มเกิดอาการกระสับกระส่าย ไม่เป็นอันทำอะไร ขณะที่พระโพธิสัตว์กำลังเดินทางกลับ เห็นรอยบนพื้นดิน “นี่มันรอยเท้าของผู้หญิงส่วนตรงนั้นมีอีกคู่เป็นรอยเท้าที่ใหญ่กว่า น่าจะเป็นของลูกชายเรา” “เฮ้อศีลของลูกชายเราคงขาดแล้ว” ฤๅษีผู้พ่อได้แต่ปลงตกในความจริงที่ปรากฏตรงหน้า ก่อนเดินเข้าตรงไปที่ศาลาวางผลไม้ลง “ฟืนเจ้าก็ไม่ได้หัก น้ำเจ้าก็ไม่ได้ตัก แม้กองไฟเจ้าก็ไม้ได้ก่อแล้วทำไมถึงมานอนซึมอยู่ตรงนี้ล่ะ”
บุตรชายได้ยินคำของบิดาแล้วลุกขึ้นกราบเท้า “พ่อ" "ผมอดทนอยู่ในป่าไม่ไหวแล้ว การอยู่ในป่านั้นชั่งลำบากเหลือเกิน ผมอยากจะเข้าไปอยู่ในเมือง” ก่อนใช้สายตาอ้อนวอนขอร้องพ่อของตน
“ถ้าผมจะเข้าไปอยู่ในเมือง จะต้องทำอะไรบ้าง ได้โปรดสอนเถิด” ดาบสผู้พ่อถอนหายใจ ก่อนจะส่ายหัว “พ่อเสียดายแทนเจ้าจริงๆ แต่สิ่งนี้คือสิ่งที่ลูกเลือกแล้ว พ่อนั้นเคารพการกระทำของลูกเสมอ ถ้าเจ้าจะออกจากป่า จงอย่าเสพของมีพิษ เว้นจากเหว อย่าจมอยู่ในเปือกตม อย่าเข้าใกล้อสรพิษ”
"คืออะไรหรือครับ เด็กชายทำหน้างุนงง อะไรเป็นพิษ เป็นเหว เป็นเปือกตม”
“ดูก่อนนารทะ น้ำดองในโลกเขาเรียกว่าสุรา สุรานั้นทำใจให้ฮึกเหิม มีกลิ่นหอม ทำให้พูดมาก มีรสหวานแหลมปานน้ำผึ้ง พระอริยะทั้งหลายกล่าวสุรานั้น ว่าเป็นพิษของพรหมจรรย์”
“ส่วนหญิงทั้งหลายในโลก ย่อมย่ำยีบุรุษผู้ประมาท หญิงเหล่านั้นย่อมจูงจิตของบุรุษ เหมือนลมพัดปุยนุ่นที่หล่นจากต้นไม้ บัณฑิตกล่าวว่า เป็นเหวของพรหมจรรย์”
“ลาภ สรรเสริญ สักการะและการบูชาในตระกูลอื่น บัณฑิตกล่าวว่า เป็นเปือกตมของพรหมจรรย์”
“พระราชาเป็นใหญ่ครอบครองแผ่นดินนี้ เจ้าอย่าเข้าไปใกล้ไม่เช่นนั้น เจ้าจะเจออสรพิษของพรหมจรรย์”
"นี่คืออโคจรทั้ง ๕ ที่ควรเว้น แล้วเมื่อลูกออกแสวงหาอาหาร บุคคลที่เมตตาให้ลูกเข้าไปรับทานอาหาร เมื่อทานเข้าไปแล้ว ต้องรู้จักประมาณตน ทานแต่พอดี และสุดท้ายที่พ่อจะพูดถึงคือ เจ้าไม่ควรสนใจเพียงแค่รูปร่างหน้าตาของหญิงสาวอย่างเดียวเท่านั้น แต่จงดูที่จิตใจของนางด้วย”
“และนี่คือสิ่งที่พ่ออยากจะย้ำกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจงเว้นให้ห่างไกลจากร้านขายสุรา กลุ่มคนเกเร และขุมทรัพย์ทั้งหลาย ซะ สิ่งที่พ่อจะบอกเจ้าก็มีเพียงแค่นี้แหละ" "ขอบคุณครับท่านพ่อ”
จากนั้นดาบสลูกชายก็กราบลาพ่อของตนก่อนเดินทางออกจากป่าไป
พระศาสดา ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
นางกุมาริกานี้ ได้มาเป็นนางสาวแก่นี้
ดาบสกุมารได้เป็นภิกษุผู้กระสัน
ส่วนดาบสบิดา คือ เราตถาคต นั่นเอง