อรรถกถา จุลลธรรมปาลชาดก
ว่าด้วย ความรักของแม่ที่มีต่อลูก
ณ พระเวฬุวันวิหาร พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องความพยายามของพระเทวทัต เพื่อจะปลงพระชนม์พระองค์ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ว่า
ในชาดกอื่นๆ พระเทวทัตไม่ได้อาจทำอันตรายแก่พระโพธิสัตว์ได้ แต่ส่วนในจุลลธรรมปาลชาดกนี้ พระเทวทัตให้ตัดมือเท้าและศีรษะ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์มีอายุ ๗ เดือน
อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ท่านอาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตกระทำอุบายเพื่อปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า พระเทวทัตคิดว่าจักปลงพระชนม์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงประกอบธนู กลิ้งศิลาและให้ปล่อยช้างนาฬาคิรี
พระศาสดาเสด็จมาพอดีก่อนตรัสถามว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนาเรื่องอะไรกัน" ก่อนภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ "ดูก่อนภิกษุไม่ใช่ตอนนี้เท่านั้น แม้ในชาติที่แล้วก่อน พระเทวทัตก็พยายามฆ่าเราเหมือนกัน" แต่ว่าในตอนนี้พระเทวทัตทำอะไรไม่ได้ แต่ในอดีตตอนนั้นเราเป็นธรรมปาลกุมาร เราเกิดเป็นลูกของเทวทัตโดยมีชื่อว่า อสิมาลกะ
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้ามหาปตาปะครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในพระครรภ์ของพระนางจันทาเทวี อัครมเหสีของพระเจ้ามหาปตาปราช เมื่อธรรมปาลกุมารมีอายุได้ ๗ เดือน วันหนึ่งพระมารดาอาบน้ำให้ธรรมปาลกุมารและแต่งองค์ทรงเครื่องให้กับเด็กน้อย ขณะนั้นพระราชาเสด็จมาหาพระเทวียังที่ประทับ ซึ่งในขณะนั้นกำลังเล่นกับพระโอรสอยู่
พระเจ้ามหาปตาปะมองภาพตรงหน้า “ทำไมภรรยาของข้าเอาแต่เล่นกับธรรมปาลอยู่นั่นไม่เห็นสนใจข้าเลย ” ก่อนที่พระมเหสีหันมาเห็น “อ้าวท่านพี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูกของเราน่ารักไหม” พระราชาไม่ตอบ พระมเหสีจึงอุ้มลูกชายไปหาพ่อของตน แต่พระเจ้ามหาปตาปะไม่อุ้ม ก่อนจะมีสีหน้าบึ้งตึงแล้วลุกเดินจากไป
วันหนึ่งขณะที่พระราชาทรงประทับอยู่ในห้อง พระองค์ทรงคิดอะไรเรื่อยเปื่อย “วันนี้นางจันทานี้ถือตัวจริงๆ ตอนที่ข้าไปหานางแทนที่จะเดินเข้ามาหาข้ากับเอาแต่เล่นกับเจ้าเด็กน้อยอยู่นั่นแหละไม่ให้ความสำคัญกับเราก่อน ขนาดอายุแค่เจ็ดเดือนยังขนาดนี้ ถ้าโตเป็นหนุ่มจะขนาดไหน ตอนนั้นคงไม่เห็นหัวเราแล้วแหละ ถ้าเราปล่อยเจ้าเด็กนั่นไว้ในอนาคตต้องกลายเป็นขวากหนามของข้าแน่ๆ ถ้าอย่างนั้นเราจะไว้ชีวิตเจ้าเด็กนี้ไว้ทำไม ก็ฆ่ามันทิ้งซะ ก็จบปัญหา” “ท่านอำมาตย์ไปตามเพชฌฆาตมาหาข้าหน่อยเดี๋ยวนี้!” พระเจ้ามหาปตาปะเสียงตะโกนดังลั่น ก่อนเสด็จกลับไปประทับนั่งบนราชอาสน์อีกครั้ง “ข้าพระองค์ มีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้” “มีสิ่งหนึ่งอยากให้ท่านช่วย สิ่งนี้คือราชโองการที่เรียกว่าธรรมเนียมปฏิบัติ เจ้าทำได้หรือไม่”
จากนั้นเพชฌฆาตเดินตรงไปยังห้องพระเทวี ฝ่ายพระเทวีทรงทราบว่า พระราชาทรงกริ้วก่อนเสด็จกลับ “ตายแน่เลย ท่านไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน” พระเทวีอุ้มลูกชายนอนแนบอก ก่อนทรงร้องไห้ ฮึกๆ ฮึกๆ “แม่ขอโทษที่ทำให้หนูต้องเจอแบบนี้” จากนั้นเพชฌฆาตเข้ามาในห้องก่อนใช้มือตบหลังเหมือนปลอบประโลม ก่อนจะเอ่ยว่า “พระเทวีข้าขอลูกของท่านได้หรือไม่” “ไม่” “แต่นี้เป็นคำสั่งของพระราชา เอาลูกของท่านให้ข้าเถิด” แต่เพชฌฆาตก็ได้รับคำปฎิเสธเช่นเดิม ก่อนที่จะใช้มือชิงกุมารจากอกมารดาไป “ไม่นะอย่าเอาลูกข้าไป”
พระมเหสีพยายามขอร้อง จากนั้นเพชฌฆาตนำมาถึงพระราชา แล้วกราบทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้าจะทำอะไรกับธรรมปาลกุมาร” “ท่านจงให้นำเอาแผ่นกระดานมาวางลงตรงหน้า แล้ววางกุมารลงไป” พระนางจันทาเทวีที่วิ่งตามมาร้องไห้คร่ำครวญ ร้องขอชีวิตลูกของตน
เพชฌฆาตกราบทูลอีกว่า “ข้าพระพุทธเจ้าจะทำอะไร” พระราชารับสั่งว่า “จงตัดมือทั้งสองของธรรมปาลกุมาร ซะ” พระนางจันทาเทวีกราบทูล ทั้งน้ำตาว่า ฮึกๆ ฮึกๆ “ข้าแต่มหาราชบุตรของหม่อมฉันเพิ่งมีอายุได้ ๗ เดือน ยังอ่อนอยู่ไม่รู้อะไร บุตรของหม่อมฉันนั้นไม่ผิด คนที่ผิดคือหม่อมฉันเพราะฉะนั้นขอพระองค์จงรับสั่งให้ตัดมือทั้งสองของหม่อมฉันเถิด” ชึบ เสียงมีดกระทบแผ่นไม้ มือทั้งสองข้าง กระเด็นหลุดออกมา แต่สิ่งที่น่าแปลกคือ ไม่มีเสียงร้องเล็ดรอดออกมาจากปากแม้แต่น้อย (ธรรมปาลกุมารนั้นไม่ร้องไห้ ไม่ร่ำไร กระทำขันติและเมตตาให้เป็นปุเรจาริก อดกลั้นอยู่) ส่วนพระนางจันทาเทวีเก็บมือที่ถูกตัดออกใส่ในถุง เลือดไหลอาบตัวเด็กน้อย จนแดงฉาน “ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์จะทำอะไร” “จงตัดเท้าทั้งสองเสีย”
ชิบ! เท้าทั้งสองข้างกระเด็นท่ามกลางอากาศ ก่อนจะตกลงดัง ตุ๊บ จากนั้นมือที่เปื้อนไปด้วยเลือด น้ำมูก น้ำตาบรรจงเก็บเท้าทั้งสองข้างใส่ถุง ร่างเด็กน้อยยังปิดปากเงียบนอนอยู่บนแผ่นไม้ ที่ท่วมไปด้วยโลหิตสีแดง นางจันทาค่อยๆคลานสี่เท้า เข้าไปหาพระราชา ก่อนจะกอดพระบาททั้งสอง "ฮึกๆ พระองค์ได้โปรดหยุดเถอะเจ้าค่ะ ธรรมปาลกุมาร คือลูกของท่านนะเจ้าคะ ขอร้องช่วยไว้ชีวิตลูกของหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันจะดูแลลูกเอง " สีหน้าของพระราชายังคงนิ่งเรียบเฉย “เพชฌฆาตตัดคอซะ” คำสั่งพระราชาดังก้อง
ชึบ! ลมหายใจของเด็กน้อยได้หยุดลง ศีรษะอันน้อยๆกระเด็นดังตุบๆๆ ตามแรงดาบที่ เพชฌฆาตได้วาดดาบลงไป สีหน้าเรียบเฉยมองซากศพตรงหน้า สายตาแข็งกร้าวดั่งเหล็กกล้า ยังคงไม่กระพริบ “ คำสั่งสุดท้ายจากข้า หั่นศพเด็กให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยซะ” ไม่มมมมมมมม เสียงตะโกนโวยวายของคนเป็นแม่ดังขึ้น นายเพชฌฆาตโยนร่างของธรรมปาลกุมารขึ้นไปกลางอากาศ แล้วใช้ดาบฟัน ชึบ ชึบ ชึบ ร่างทารกอันตรธานกลายเป็นเนื้อชิ้นเล็กๆในบัดดล ก่อนตกลงบนพื้นท้องพระโรง
“พอ พอสักที” เสียงของคนเป็นแม่ดังก้อง ก่อนใช้แขนทั้งสองข้างหอบเศษเนื้อกระจัดกระจายตามอยู่บนพื้น เสียงร้องคร่ำควรยังคงดังไปทั่วท้องพระโรง ท่ามกลางความเงียบ ภาพตรงหน้าดูเวทนายิ่งนัก ดวงใจผู้เป็นแม่ที่แตกสลาย เหมือนถูกไฟไหม้อยู่ด้านใน ก่อนร่างอันบอบบางทรุดลงอยู่กับพื้น แล้วหมดลมหายใจทันที
ฝ่ายพระราชาทรุดลงกับพื้นก่อนตะโกนเรียก “พระมเหสี” จากนั้นพื้นดินอันได้แยกออก พระเจ้ามหาปตาปะนั้นพลัดตกลงไปในรอยแยก ก่อนจะถูกเปลวไฟจากนรก หอบเอาพระเจ้ามหาปตาปะลงไปในมหานรก
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็น พระเทวทัต
พระนางจันทาเทวี ได้เป็น พระมหาปชาบดีโคตมี
ส่วนธรรมปาลกุมารได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล