อรรถกถา ทุติยปลายิชาดก
ว่าด้วย คนถูกความเร่าร้อนเผาจนไม่อาจสู้ข้าศึกได้
วันหนึ่งในขณะที่พระพุทธเจ้าทรงประทับบนธรรมาสน์ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางห้องโถงที่ภายในทำด้วยหินอ่อน สีขาวนวลสะอาดตา ภายในถูกประดับประดาด้วยทองคำบริสุทธิ์ สลักลวดลายต่างๆ บรรดาชาวบ้านและลูกเล็กเด็กแดงต่างพากันหลั่งไหลมาฟังเทศน์อย่างแน่นขนัด น้ำเสียงพระศาสดานั้นทุ้มนุ่มดังก้องกังวาน จนสะกดผู้ฟังให้เงียบดั่งต้องมนต์ ปริพาชกหนุ่มที่นั่งร่วมวงอยู่ด้วยนั้นจ้องมองไปเบื้องหน้า ก่อนจะเริ่มพิจารณา “บุรุษใดหนอ ช่างงดงามเยี่ยงนี้ รูปร่างสง่างาม ผิวขาวเนียนละเอียด ใบหน้าคมสัน หน้าผากใสเนียนดั่งแผ่นทองคำ ช่างไม่มีที่ติจริงๆ”
ปริพาชกหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนพึมพำในใจ “ เฮ้อใครจะไปสู้ได้” เมื่อพิจารณาได้ดังนั้นจึงเดินจากไป ก่อนที่พระศาสดาจะตรัสกับผู้มาฟังท่านสนทนาธรรมว่า “ท่านทั้งหลายช่วยตามคนที่พึ่งเดินจากไปด้วย” แต่ไม่ทันเสียแล้วปริพาชกนั้นหายตัวไปเสียก่อน
"ชายคนนั้นเห็นเราจึงหนีไป" แม้ในกาลก่อนก็เช่นกัน ก่อนนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าให้ฟัง
ย้อนกลับไปเมื่อนานมาแล้ว ช่วงเวลาที่ยังเกิดการต่อสู้แย่งชิงเขตแดน พระเจ้าคันธารกษัตริย์เมืองตักกสิลา ผู้เรื่องชื่อลือชาด้านการรบ ดังกระฉ่อนไปทั่วทุกทิศทุกทาง กระทั่งไม่มีผู้ใดอยากจะต่อกรด้วย จนได้รับฉายาว่า ยมทูตเเห่งความความตาย สถานที่ใดที่พระองค์ได้เยียบย่ำ ณ ผืนพสุธาจะเกิดผู้คนล้มตาย เหมือนกับฝนห่าใหญ่ที่ตกมายังพื้นโลก
ด้วยความที่พระองค์นั้นเปรียบดั่งไฟพร้อมจะเผาไหม้ทุกอย่างให้ดับมอดกลายเป็นเถ้าธุรี "ความหื่นกระหาย ความต้องการ ความสนุกตื่นเต้น เรียกร้องจนเจ้าตัวต้องเอ่ยกับลูกน้องคนสนิทของตนว่า "ท่านอำมาตย์ยังมีเมืองใดที่ข้ายังไม่ได้บุกยึดบ้าง" ก่อนที่อำมาตย์จะกราบทูลว่า "พาราณสีพระเจ้าค่ะ"
"อย่างนั้นหรอ" ใบหน้าเหลี่ยมที่เต็มไปด้วยหนวดเครา และริ้วรอยแห่งความหยาบกร้านกระตุกยิ้มที่มุมปาก ชวนให้คนที่อยู่ใกล้ถึงกับขนลุก เสียววาบไปถึงกระดูกสันหลัง ก่อนเสียงอันทรงพลังจะเอ่ยขึ้นอย่างเนิบนาบ พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปตีเมือง "พาราณสี"
วันต่อมา ณ ลานกว้าง เหล่านักรบนับแสนได้มารวมตัวกันอย่างแน่นขนัด "ตึกๆ" "ตึกๆ"เสียงรองเท้าที่ทำจากเหล็กชั้นดีกระทบกับพื้นไม้ดังกึกก้อง ก่อนร่างหนาจะมาหยุดอยู่ที่กลางพื้นปะรำเบื้องหน้า "ท่านผู้กล้าทั้งหลาย ศึกกับพาราณสีครั้งนี้เราจะถล่มให้ราบ ไม่อาจผงาดเหนือตักกสิลาได้ ประกาศให้ใต้หล้าได้รู้ว่าตักกสิลาไร้ผู้เทียมทาน..น" ก่อนที่พระองค์จะใช้มือขวาหยิบไปที่ดาบข้างกาย ก่อนที่จะชักออกจากฝัก ชูขึ้นไปข้างหน้า "ชัยชนะจะเป็นของเรา" "เฮ้ฮฮ"
"ตึง" "ตึง" "ตึง" เสียงกลองรบนับหมื่นขึ้นตีอย่างเป็นจังหวะ ก่อนกองทัพเหล่านักรบนับแสนจะออกเดิน ผ่านประตูเมืองที่ตั้งตระง่าน ชุดเกราะสีดำที่ทำด้วยเหล็กกล้าสะท้อนแสงพระอาทิตย์ อาวุธที่ถูกตีขึ้นด้วยช่างตีดาบชั้นดีถูกผูกติดเข้ากับเข็มขัดหนังสีน้ำตาลเข้ม ที่ผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน ขบวนเวียนที่ขนเสบียงประทังชีพ เทียมด้วยม้าสีดำเคลื่อนพลออกพ้นประตูเมืองยาวสุดลูกหูลูกตา จนไม่อาจจะประมาณได้
เวลาเคลื่อนเปลี่ยน บรรยากาศค่อยๆหมุนวน บ้านเมืองกลับกลายเป็นทุ่งหญ้ากว้าง ป่ารกทึบ จนเวลาย่างเข้ายามเย็นเมื่อดวงจันทร์กำลังจะขึ้นมาเยือน ทุกอย่างหมุนวนดั่งเข็มนาฬิกา และแล้วหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป กองทัพขนาดมหึมาเดินทางเข้ามาถึงเขตแดนเมืองเป้าหมายของตนได้สำเร็จ "อีกไม่นานนักรบของข้า ศึกครั้งนี้สำคัญยิ่งนัก เมื่อทุกอย่างจบลง พวกเจ้าเปรียบเสมือนราชาผู้คนในเมืองจะเป็นทาส คอยรับใช้ บำรุง บำเรอให้เจ้าประดุจดั่งราชา" เมื่อพระเจ้าคันธารเอ่ยจบ เหล่าทหารต่างตะโกนก้อง พากันเข้าโอบล้อมเมือง ก่อนสั่งให้ม้าเร็วส่งข่าวไปยังพาราณสี
“ตอนนี้กองทัพของข้า ล้อมเมืองของท่านหมดแล้ว จงเลือกมาว่าจะยอมแพ้หรือจะทำศึกครั้งนี้” เมื่ออ่านจบจึงกล่าวกับอำมาตย์คู่ใจว่า “เมืองของเราถูกฆ่าศึกใจโฉดท้าสู้เสียแล้ว” “อย่างนี้จะทำอย่างไรดีหรือพะยะค่ะ” อำมาตย์เอ่ยถาม “ไม่ต้องห่วงพระราชาเมืองตักกสิลาไม่ได้เก่งสักเท่าไหร่นัก”
เช้าวันต่อมา พระโพธิสัตว์ให้ทหารเปิดประตูเมือง ก่อนที่พระองค์จะมาประจันหน้ากับกษัตริย์เมืองตักกสิลา ที่ทรงเครื่องรบเต็มอัตตา ใบหน้าคมเข้ม ที่กร้านจากแดดลม จ้องมองพระโพธิสัตว์อย่างเหยียดหยาม “โถถ..ที่ให้ม้าเร็วบอกว่าจะสู้ศึกครั้งนี้ ไหนเดินมาตัวเปล่าเช่นนี้ ที่แท้ก็แค่พูดจาโอหัง ที่จริงท่านกลัวจนหัวหดล่ะสิ จะยอมแพ้ก็บอกข้ามาตรงๆ ฮ่าๆ” “ท่านนะหรอที่ทำให้ข้าขวัญหนีดีฟ่อ ยกหางตัวเองเกินไปแล้ว” พระโพธิสัตว์เอ่ยเสียงเรียบ “ว่ายังไงนะ หน๊อย...กล้ามาหยามข้าหรอ! ท่านรู้ไหมว่าเมืองรอบๆตกเป็นของข้าทั้งหมดแล้ว อีกไม่นานเมืองของท่านจะตกเป็นของข้าเช่นกัน” พระราชาเมืองตักกสิลาหัวเราะลั่น
“ท่านนนน!”พระเจ้าเมืองตักกสิลาถึงกับสะดุ้ง เมื่อเจอเข้ากับเสียงทุ้ม “หยุดพูดเพ้อเจ้อน่ารำคาญได้แล้ว ความจริงแล้วไม่ได้เก่งสักเท่าไหร่หรอก” “เจ้า...!” พระโพธิสัตว์จ้องเขม็งไปที่ดวงตาของพระเจ้าคันธาร ทำให้พระองค์รู้สึกขนลุก ร้อนๆหนาวๆ เหมือนเกรงกลัวอำนาจบารมีคนตรงหน้า สายตาอันทรงอำนาจยังคงจ้อง ทุกอย่างรอบตัวเงียบลงไปชั่วขณะ จากความเชื่อมั่นที่มั่นคงแข็งแกร่งดั่งภูผากลับถูกสั่นคอน “ภายนอกของท่านที่ดูเข้มแข็ง แต่จริงๆแล้ว ใจของเจ้าตอนนี้ร้อมรุ่มดั่งไฟเผา เจ้ากลัวอยู่ใช่ไหม" สายตาที่ทรงอำนาจยังคงจ้องนิ่ง ดวงตาคู่นั้นเหมือนกำลังเจาะเข้าไปในใจของพระเจ้าคันธาร
“ข้าขอสั่งให้เจ้ากลับไปซะ!” เสียงขู่กรรโชกดังก้องความเย็นยะเยือกพุ่งเข้าเกาะกุมหัวใจ ชวนให้เสียววาบไปถึงท้องน้อย ร่างใหญ่ชะงัก ใบหน้าที่งดงามดั่งรูปสลัก รูปร่างดั่งเทวดาที่อยู่บนสรวงสวรรค์ หน้าผากเนียนใสดั่งแผ่นทองคำ ช่างไม่มีที่ติจริงๆ ครั้งแรกที่เห็นนั้น พระองค์ทรงรู้สึกว่าตนนั้นมิอาจสู้ได้ แต่ด้วยศักดิ์ศรีมันคำคอเลยลองต่อกรสักตั้ง แต่ผลก็เป็นไปตามที่พระเจ้าคันธารคาดคิดคือ "เราแพ้”
ถึงแม้จะเจ็บใจ แต่นั้นก็คือความจริง "เรามิอาจเทียบบารมีได้" ก่อนที่พระองค์จะล่าถอยกลับเมืองตักกสิลาไป
ณ ท้องพระโรง ขณะที่พระโพธิสัตว์กำลังสนทนาเรื่องการบ้านการเมือง "พระองค์ทำได้อย่างไรกัน" อำมาตย์คู่กายเอ่ย
ก่อนที่พระโพธิสัตว์จะตรัสกับท่านอำมาตย์ว่ากษัตริย์เมืองตักกสิลานั้นถึงภายนอกจะดูแข็งแกร่งดั่งภูผา แต่ในใจนั้นอ่อนแอดั่งดินโคลนนอกจากนั้นยังถูกควบคุมด้วย ราคะ โทสะ และโมหะ
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก
พระเจ้าคันธารราชในครั้งนั้น ได้เป็นปริพาชกในครั้งนี้
ส่วนพระเจ้าพาราณสี คือ เราตถาคต นี้แล