อรรถกถา ปัญจุโปสถิกชาดก
ว่าด้วย นกพิราบ
ในอดีตกาล ณ ประเทศอันเป็นอันน่ารื่นรมย์ อยู่ระหว่างพรมแดนแคว้นทั้งสาม มีชายคนหนึ่งบวชเป็นฤๅษีอาศัยอยู่ในอาศรมกลางป่า ไม่ไกลจากที่อยู่ของฤๅษีมากนักมีคู่สามีภรรยานกพิราบคู่หนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่เชิงเขา และงูอาศัยอยู่ที่จอมปลวก ถัดไปไม่ไกลแถวป่าละเมาะมีหมาจิ้งจอกอาศัยอยู่ ใกล้กันมีป่าขนาดเล็กมีหมีอาศัยอยู่ สัตว์ทั้งสี่มักจะเดินทางไป ฟังเทศน์ธรรมยังอาศรมฤๅษีอยู่บ่อยครั้ง
วันหนึ่งคณะที่ฤๅษีอยู่ที่อาศรม จู่ๆก็มีสัตว์ทั้งสี่ เดินทางมาหาดาบส แล้วเอ่ยกับพระฤๅษีว่าพวกเขาทั้งสี่อยากจะบำเพ็ญตบะ ดาบสจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงมาพร้อมหน้าพร้อมตากันเช่นนี้
"เจ้านกพิราบ เพราะเหตุไรจึงขวนขวาย อดกลั้นความหิวกระหาย มาบำเพ็ญตบะ ล่ะ" "ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าบินไปกับนางนกพิราบ จู่ๆมีเหยี่ยวตัวหนึ่งใช้กงเล็บจับเข้าที่ตัวภรรยา
ก่อนที่จะงอยปากปักเข้าไปที่ร่าง สุดท้ายนางก็กลายเป็นอาหารมื้ออันโอชะของนกเหยี่ยวในที่สุด เมื่อนกหนุ่มเล่าจบน้ำตาค่อยๆไหลริน จึงใช้ปีกทั้งสองข้าง ปาดไปที่ดวงตาคู่โต "ฮึกๆ" "โถ..ความรักนี้ทำให้เราลำบากเหลือเกิน คราวนี้เรายังข่มความรักไม่ได้แล้ว จะไม่ขอออกไปหากินอีกต่อไป"
"เเล้วเจ้าล่ะงู ทำไมถึงมาเช่นกัน" ฤๅษีหนุ่มเอ่ยถาม เจ้างูมีสีหน้าเศร้าสร้อย "ข้าพเจ้ากัดโคจนถึงแก่ความตาย เมื่อวานกระผมออกหาเหยื่อจนเข้าไปยังหมู่บ้านใกล้ๆชายแดน ได้พบเข้ากับแม่โคสีขาวล้วนทั้งตัว ซึ่งเป็นของนายอำเภอ ขณะที่โคกำลังนั่งคุกเข่าแถวจอมปลวก
ขณะที่โคกำลังกินหญ้าอยู่ก็เอาเขาขวิดดินเล่นไปมา ข้าพเจ้าที่อยู่ไม่ไกลเกิดตกใจเสียงฝีเท้า จึงเลื้อยเข้าไปในจอมปลวก แต่ก่อนที่จะเข้าไปในรัง หางของข้าพเจ้าถูกเหยียบเข้า ด้วยความโกรธจึงกัดเข้าไปที่ขา ในที่สุดโคจึงสิ้นชีวิตลงตรงนั้น พวกชาวบ้านได้ยินข่าวว่าโคตายแล้ว ชาวบ้านต่างพากันร้องไห้ บูชาด้วยของหอมและดอกไม้ ครั้นเมื่อทุกคนกลับไปแล้ว ข้าพเจ้าเลื้อยออกมาดูหลุมศพ "เพราะความโกรธแท้ๆ ถึงได้ฆ่าโคตัวนี้ ทำให้ชาวบ้านพากันโศกเศร้า เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้รักษาศีล ด้วยคิดว่า ความโกรธอย่าได้มาถึงเราอีกเลย"
"ส่วนข้าพเจ้าสุนัขจิ้งจอก" "เมื่อเดือนที่แล้วกระผมเที่ยวออกหาอาหาร ได้เห็นช้างที่นอนตายเข้า ด้วยความหิวโหยจึงกระโจนเข้าไปกัดที่งวง แต่รสชาตินั้นเหมือนกัดเข้าไปที่หิน ข้าพเจ้าเลยเปลี่ยนไปกัดงาแทน และสุดท้ายผมย้ายเปลี่ยนไปตรงท้องจนสุดท้ายจึงมุดเข้าไปทางทวารของช้างตัวใหญ่ เข้าไปในท้อง กัดกินเครื่องในอย่างเอร็ดอร่อย จนกระทั่งอิ่ม ยามเมื่อท้องตึงหนังตาก็หย่อน
ข้าพเจ้าจึงนอนหลับอยู่ในนั้น เมื่อเวลาผ่านไป ซากช้างที่นอนตากแดดตากลมก็ค่อยๆแห้ง ส่งผลให้ทวารปิดสนิท และสุนัขที่อยู่ในท้องอย่างผม ก็ติดอยู่ภายในเป็นเวลานาน จนร่างกายผ่ายผอม เมื่อเวลาผ่านไป ฝนเม็ดใหญ่ได้ตกลงมาอีกครั้ง จึงออกมาได้ "เพราะความโลภแท้ๆ ข้าพเจ้าต้องเกือบมาตายที่นี่ จากนี้เราจะไม่ขอหากินละ ก่อนเดินทางไปยังอาศรม บำเพ็ญตบะ เพื่อข่มความโลภของตน"
"และสุดท้ายเจ้าหมี" พระฤๅษีเอ่ยถามขึ้น "ข้าพเจ้านั้นดูหมิ่นถิ่นที่เคยอยู่ของตนออกจากป่า เดินไปยังหมู่บ้านชายแดนแคว้นมัลละ เมื่อกลุ่มชาวบ้านได้ยินข่าว ต่างถือธนูและพลอง
ไล่ตีจนข้าพเจ้าหัวแตกเลือดไหลอาบไปทั้งตัว" เจ้าตัวได้แต่ถอนหายใจก่อนเอ่ย "ทุกข์นี้เกิดเพราะอำนาจความโลภของข้าพเจ้าแท้ๆเลยสภาพเป็นเช่นนี้ จึงเดินเข้ามายังที่อาศรมของท่าน"
"พวกเจ้าเล่าเรื่องที่เจอมาจบแล้วใช่ไหม" "ครับ" สัตว์ทั่งสี่พยักหน้า "เราขอโทษพวกเจ้าทั้งสี่ด้วย" "เพราะเหตุใดท่านถึงเอ่ยคำขอโทษ" สัตว์ทั้งสี่ เอ่ยถามอย่างสงสัย "ก่อนหน้านี้ตัวของเรานั้นได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้า นั่งอยู่ในอาศรมของฉัน ท่านได้บอกให้ทราบทุกอย่าง ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ได้กราบไหว้ท่าน นอกจากนั้นก็ไม่ได้ถามถึงนามของท่านเลย เพราะเหตุนั้น ฉันจึงรักษาศีล ด้วยคิดว่าทิฏฐิมานะอย่าได้มาถึงฉันอีกเลย"
"เมื่อวันก่อน ขณะเมื่อเรากำลังนอนอยู่ในศาลา ได้มีพระปัจเจกพุทธเจ้ามายังอาศรมและนั่งอยู่บนอาสนะใต้ต้นไม้ เมื่อเราตื่นมาก็เห็นเข้า จึงเดินปรี่เข้าไปหาท่าน พร้อมกับด่าว่าอย่างเสียๆหายๆ ไอ้สมณะหัวโล้น มานั่งเหนือกระดานของข้าทำไม" ฤๅษีมีท่าทีรู้สึกผิดก่อนจะเล่าต่อ
"พระปัจเจกที่นั่งหลับตาอยู่ ค่อยลืมตาขึ้น ก่อนตรัส" "พ่อคนดีเหตุไร ถึงทำเช่นนี้ ท่านนั้นมีทิฏฐิมานะมากเกินไปลดเถิดสิ่งเหล่านี้จะส่งผลร้ายแก่ท่าน ตัวข้าพเจ้านั้นบรรลุปัจเจกพุทธญาณแล้วในชาตินี้ เรานั้นมีเรื่องที่จะบอกท่านคือ พระสัพพัญญูพระพุทธเจ้า ในชาติหน้าที่มีนามว่า สิทธัตถะ และมีอัครสาวกทั้งสี่ ท่านจะมัวแต่เป็นคนหยาบคาย เพื่ออะไรเล่า ไม่สมควรแก่ท่านเลย" แต่กระนั้นแทนที่เราจะสำนึกได้ กลับมีท่าทีเมินเฉยไม่แสดงความเคารพ ก่อนที่พระองค์จะเอ่ย ฤๅษีผู้นี้ไม่แม้แต่เคารพ มิหนำซ้ำไม่ถามด้วยว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไร" ก่อนที่พระองค์จะทรงเงียบไปสักครู่ก่อนตรัส"เธอไม่รู้ถึงความใหญ่หลวงและความใหญ่โตของเรา หากเธอมีความสามารถถึงก็จงลอยไปในอากาศเหมือนเราสิ" จากนั้นพระองค์ก็เหาะขึ้นไปในอากาศ โปรยฝุ่นที่เท้า ให้ลงในชฎาของฤๅษี และเดินทางไปสู่หิมพานต์ตอนเหนือดังเดิม ครั้นเมื่อฤๅษีเห็นพระปัจเจกพุทธญาณ ก็อ้าปากค้าง ตระหนักได้ว่าคนตรงหน้า นั้นคงจะเป็นจริงก่อน ข้านั้นหยาบคายจริงๆที่ทำเช่นนั้น"
เมื่อพระปัจเจกพุทธเสด็จไปแล้ว ดาบสถึงคิดได้ว่า ท่านผู้นี้เป็นสมณะเหมือนกัน มีสามารถลอยอากาศได้ "เรานั้นที่เชื่อว่าเก่งที่สุดติดอยู่ในทิฏฐิมานะ กลับมิได้กราบเท้าพระองค์ ที่กรุณามาเตือน มีอีกเรื่องหนึ่งที่เราไม่ได้ถามคือ เราจะเป็นพระพุทธเจ้าได้เมื่อไร "
"ศีลและความประพฤติเท่านั้นที่เป็นใหญ่ในโลกนี้ แต่ว่าทิฏฐิมานะของเราจะพาไปหานรกได้ ตอนนี้เรายังข่มมานะนี้ไม่ได้ จะไม่ออกไปหาผลไม้"
พระฤๅษีและสัตว์เหล่านั้น ต่างพากันไปที่อยู่ของตนนั่งบำเพ็ญตบะ พระฤๅษีมีฌานไม่เสื่อมคาย เมื่อสิ้นชีวิตได้ไปเกิดเป็นในพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า สัตว์พวกนั้นตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน ได้ไปสวรรค์ตามๆ กัน
ณ พระวิหารเชตวัน พระศาสดาที่ตอนนี้นั่งประทับเหนือพระที่นั่งท่ามกลางบรรดาพระภิกษุสงฆ์ในธรรมสภา ทอดพระเนตรดูด้วยพระหฤทัยอันอ่อนโยน ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย พวกเธอพากันบำเพ็ญ หรือพระเจ้าพระเจ้าข้า พวกเธอกระทำดีแล้ว การบำเพ็ญนี้เป็นเชื้อสายแห่งหมู่บัณฑิตแต่ครั้งก่อน ที่จริงบัณฑิตแต่ครั้งก่อนพากันบำเพ็ญเพื่อข่มกิเลสมีราคะ
นกพิราบในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอนุรุทธะ
หมีได้มาเป็น พระกัสสปะ
หมาจิ้งจอกได้มาเป็น พระโมคคัลลานะ
งูได้มาเป็น พระสารีบุตร
ส่วนดาบสได้มาเป็น เราตถาคต แล.