อรรถกถา ปุจิมันทชาดก
ว่าด้วย ผู้รอบคอบ
ณ นครราชคฤห์ มีพระเถระรูปหนึ่ง อาศัยอยู่ในกุฏิที่สร้างอยู่ในป่า วันหนึ่งมีโจรขโมยทรัพย์ชาวบ้านวิ่งหลบหนีฝูงคนที่ออกติดตามไล่ล่าโจรคนนี้อย่างไม่ลดละ "ตึกๆ" เสียงเท้าโจรวิ่ง เข้าป่าไป "เฮ้ย โจรวิ่งหนีเข้าป่าด้านโน้น รีบตามไปเร็ว" ด้านโจรวิ่งกระหืดกระหอบ จนมาเจอเข้ากับกุฏิของพระเถระ ก่อนจะนอนคุดคู้อยู่บริเวณหน้าศาลา
เช้าวันต่อมา พระเถระเปิดประตู มาพบเข้ากับชายคนหนึ่ง จึงเอ่ยถามขึ้น "ท่านเป็นใครมานอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร" "เอ่อ....พอดีข้าพเจ้านั้นหนีคู่กรณีมาขอรับ พระคุณเจ้าช่วยกระผมด้วย" ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน พร้อมยกมือไหว้อย่างงกๆเงิ่นๆ ขณะเดียวกันสายตาพระเถระพลันไปสบเข้ากับ อัญมณีสีแดงวาววับที่อยู่ในกระเป๋า ด้วยเหตุนี้จึงพอเดาเหตุการณ์ได้ว่าความจริงแล้ว ชายตรงหน้าคือโจร "เจ้าขโมยอัญมณีมาใช่ไหม" "ปะ..เปล่า อันนี้ของข้าพเจ้า" ชายหนุ่มมีท่าทีลนลาน "เจ้ายังโกหกอีกหรอ หลักฐานทนโท่อยู่ขนาดนี้ เด็กเห็นยังรู้เลย กุฏิของข้าไม่ที่พักพิงกับโจร เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้ !" เมื่อโจรได้ยินดังนั้น จึงเดินจากไป ทิ้งแต่รอยเท้าหลงเหลือไว้บริเวณกุฏิ
ต่อมาไม่นานมีชาวบ้านหลายสิบคนถือคบเพลิง มาถึงที่อยู่ของพระเถระ ก่อนจะมีชาวบ้านตะโกนโหวกเหวก "นั่นรอยเท้าโจร" จากนั้นจึงเดินตามรอยเท้าไป แต่ในที่สุด เมื่อทั้งหมดคาดจากโจรเรียบร้อยแล้ว จึงพากันกลับบ้าน
วันรุ่งขึ้น พระเถระเที่ยวบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ ครั้นกลับจากบิณฑบาตแล้ว จึงเดินทางไปยังพระเวฬุวันวิหาร กราบทูลเรื่องแด่พระศาสดา "ไม่ใช่เธอเท่านั้นจะรังเกียจสิ่งที่ควรรังเกียจ แม้ในอดีตบัณฑิตทั้งหลายก็รังเกียจเช่นกัน" จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาเล่าซึ่งมาใจความว่า
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี มีรุกขเทวดาอยู่ตนหนึ่งสิงอยู่ที่ต้นสะเดากลางป่าช้า อยู่มาวันหนึ่ง มีโจรขโมยทรัพย์สินหนีเข้ามาโจรจึงเดินตรงเข้ามายังต้นไม้ใหญ่ ที่ทั้งสองเติบโตขึ้นอยู่เคียงข้างกัน ชายหนุ่มวางห่อผ้าไว้ที่โคนต้นสะเดาก่อนจะนอนหลับไป ในขณะนั้นรุกขเทวดายืนมองโจรที่ตอนนี้กำลังนอนหลับสบาย พร้อมกับสายหัวเบาๆ "ถ้าปล่อยนอนอยู่ตรงนี้ คงจะถูกชาวบ้านเจอเข้า บ้านของข้าคงถูกตัดนำไปเสียบ โจรผู้นี้เป็นแน่ พินาศ พินาศแล้วบ้านฉัน ต้องไล่คนๆนี้ไปให้เร็วที่สุดทำไงดีนะ" แต่แล้วจู่ๆก็มีไอเดียดีๆผุดเข้ามาในหัว ทำแบบนี้ดีกว่า
รุกขเทวดาค่อยๆโค้งตัวต่ำลง ก่อนเปล่งเสียงดังลั่น "ตื่นเดี๋ยวนี้!" ด้านคนที่กำลังนอนฝันหวาน สะดุ้งเฮือกผุดลุกขึ้น "ใคร? ใคร...." "ข้าอยู่นี่" ก่อนโจรจะหันไปตามเสียงคนพูด "ออกไป ถ้าไม่อยากตาย" รุกขเทวดาออกปากไล่ ด้วยอารามตกใจ จึงใช้มือรีบหอบถุงใส่เงิน ก่อนจะวิ่งหนีไป
ด้านเทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นอัสสัตถพฤกษ์ที่อยู่ข้างๆต้นสะเดา ยืนมองเพื่อนของตนที่กำลังไล่โจรจนหนีป่าราบ ก่อนเอ่ยถาม "เหตุใดท่านถึงต้องไล่โจรด้วยเล่า เดี๋ยวชาวบ้านก็มาถึงแล้ว" "อย่างแรกข้านั้นรังเกลียดคนเช่นนี้ ส่วนเหตุที่ข้าต้องไล่โจรคนนี้เพราะ เมื่อชาวบ้านมาเจอ บ้านของข้าคงจะต้องถูกตัดทำเป็นไม้เสียบเจ้าโจรแน่"
ขณะที่เทวดาเหล่ากำลังเจรจาปราศรัยกันอยู่นั้น ก็ปรากฏกลุ่มชาวบ้านถือคบเพลิงเดินตามรอยเท้ามาจนถึงต้นสะเดา รุกขเทวดาจึงกล่าวกับกลุ่มชาวบ้านว่า "ท่านทั้งหลาย โจรนั้นลุกหนีไปแล้ว " ชาวบ้านต่างพากันค้นหา แต่ในที่สุดก็ไม่พบ จนสุดท้ายต่างพากันแยกย้ายพากันกลับไป "บัณฑิตพึงรังเกียจสิ่งที่ควรรังเกียจ พึงป้องกันภัยที่ยังไม่มาถึงตัว พิจารณาดูโลกทั้งสองเพราะภัยในอนาคต"
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
เทวดาผู้บังเกิด ณ ต้นอัสสัตถพฤกษ์ในครั้งนั้น ได้เป็น พระสารีบุตร
ส่วนเทวดาผู้บังเกิด ณ ต้นสะเดาในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.