อรรถกถา ปุฏภัตตชาดก
ว่าด้วย การคบ
ณ กรุงสาวัตถี มีพ่อค้าผู้มั่งคั่งคนหนึ่งทำการค้าขายกับพ่อค้าต่างเมืองย่านชนบท ในวันหนึ่งพ่อค้าและภรรยาชาวเมืองเดินทาง ออกไปยังเมืองฝั่งชนบท เพื่อไปพบกับคู่ค้าของตน ครั้นเมื่อทั้งสองเดินทางไปถึง พ่อค้าชาวบ้านกลับตอบปฏิเสธ เนื่องจากเขานั้นยังไม่มีเงิน ส่งผลให้เกิดไม่พอใจอย่างมาก "ข้าจะไปแล้ว" "เดี๋ยวก่อนสิท่าน ไม่รอกินข้าวหรือ" "ไม่ ข้าไม่หิว" พ่อค้าชาวตอบด้วยสีหน้ากระฟัดกระเฟียดก่อนจะเดินออกไป ระหว่างทางที่สามีภรรยา กำลังเดินทางกลับ มีนักเดินทางผ่านมาเห็นเข้า "ดูท่าคนทั้งสองน่าจะหิวน่าดู" "ท่านๆ" เสียงของชายหนุ่มนักเดินทางเอ่ยเรียก "มีอะไรหรือ" "ดูเหมือนท่านทั้งสองคนยังไม่ได้ทานข้าว" ก่อนที่นักเดินทางจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า ควานหาห่อข้าวพร้อมยื่นทางคู่สามีภรรยา "แบ่งเอาแล้วกันท่านกับภรรยาคนละครึ่ง" พ่อค้าชาวเมืองรับห่อข้าว "ขอบคุณท่านมาก" "งั้นข้าไปก่อนนะ" เมื่อพ่อค้าถือห่อข้าวในมือเรียบร้อยแล้ว หันไปทางภรรยาของตน "น้องหญิง ตรงนี้เป็นถิ่นโจร น้องจงล่วงหน้าไปก่อนเลย" "เจ้าค่ะ" ก่อนจะส่งภรรยาให้ล่วงหน้าไปก่อน จากนั้นจึงแอบเข้าข้างทางกินอาหารจนหมด แล้วถือห่อข้าวเปล่าๆ มาให้ภรรยาดู "น้องๆ นักเดินทางให้ห่อเปล่าๆมาไม่มีข้าวอะไรเลย" ด้านภรรยาเห็นดังนั้น ก็ได้แต่บ่นในใจ "ชั่งใจดำยิ่งนัก เรื่องแค่นี้ยังแบ่งไม่ได้เลย" ต่อมาสองสามีภรรยาเมื่อเดินทางผ่านไปทางหลังพระเชตวันมหาวิหาร "ท่านพี่ ข้าหิวน้ำจัง แวะก่อนได้ไหมอยากจะเข้าไปขอน้ำกิน" "ได้สิ"
ด้านพระศาสดากำลังประทับนั่ง คอยดูการมาของสามีภรรยา ทั้งสองได้เข้าพบพระศาสดา จึงเข้าไปถวายบังคม "อุบาสิกา สามีท่านเอาใจใส่ห่วงใยท่านดีอยู่หรือ""ข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์มีความห่วงใยต่อเขา แต่เขาไม่มีความห่วงใยต่อข้าพระองค์เลย วันนี้ขนาดข้าวครึ่งห่อยังแบ่งหม่อมฉันไม่ได้เลย" "อุบาสิกา ท่านเป็นผู้เอาใจใส่ห่วงใยสามีเสมอมา สามีของท่านนั้นไม่ห่วงใยท่านเลย แต่ถ้าคุณของท่านแล้ว จากนี้สามีจะมอบตำแหน่ง ของขวัญ และทรัพย์สินอีกมากมายให้" จากนั้นพระองค์จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าให้ฟัง
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี มีอำมาตย์คนหนึ่ง ทำหน้าที่ เป็นผู้สอนอรรถและธรรมของพระเจ้าพรหมทัต วันหนึ่งพระราชาทรงคิดระแวงลูกชายตน ว่าจะรอบฆ่าพระองค์ จึงเนรเทศออกจากเมืองเสีย ระหว่างนั้นไม่ว่าพระโอรสจะพยายามอธิบายอะไรแต่พระราชาไม่ฟังแม้แต่น้อย จนทั้งสองต้องเก็บข้าวของเตรียมตัวออกเดินทาง เช้าวันต่อมาพระโอรสยืนมองประตู ด้วยสายตาอาลัย ก่อนที่จะหันไปทางภรรยาของตน "ไปกันเถิดน้องหญิง" จากนั้นพระโอรสได้พาภรรยาของตนเดินทางออกจากเมืองไป ทั้งสองได้เดินทางไปยังแคว้นกาสี และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น
หลายปีผ่านไป พระราชาก็ได้สิ้นพระชนม์ลง เมื่อพระโอรสได้ทราบข่าว จึงได้เดินทางกลับยังพาราณสีอีกครั้ง ระหว่างการเดินทาง จู่ๆก็มีเสียงเรียกจากชายแก่คนหนึ่ง "พ่อหนุ่ม พ่อหนุ่ม" พระโอรสหันไปตามเสียงเรียก "ลุงเรียกผมหรือ" "ใช่เจ้านั่นแหละ" "มีอะไรหรือครับ" "เปล่าหรอกลุงเห็นพ่อหนุ่มกับภรรยาเดินทางมาไกล เอานี่ไปลุงให้" "อะไรหรือครับ" "ไว้กินระหว่างทาง ลุงมีแค่ห่อเดียวแบ่งกับภรรยาแล้วกันนะ" "ครับเจ้าชายตอบ" ขณะเดียวกันอากาศขณะนี้ร้อนจัด พร้อมจะแผดเผาทุกอย่างให้มอดไหม้ "ร้อนจัง" พระโอรสปาดเหงื่อ ที่ไหลลงมาที่หน้าผาก น้องนั่งพักตรงนี้ก่อนเถิดพี่หิวแล้ว จากนั้นทั้งสองก็นั่งพักข้างๆบึงน้ำก่อนที่พระองค์จะค่อยๆ แกะห่อข้าวออกมา ก่อนกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย คนเป็นเพียงภรรยาได้แต่มองสามีหน้าละห้อย "เหตุใดทำไมท่านพี่ใจร้าย แค่ข้าวห่อนี้ยังเราไม่ได้เลย"
เมื่อผู้เป็นสามี กินข้าวจนอิ่มแล้ว ทั้งสองได้เดินทางต่ออีกครั้ง จนกระทั่งถึงเมืองพาราณสี ครั้นพระพระโอรสได้ขึ้นครองราชสมบัติในกรุงพาราณสีแล้ว จากนั้นจึงแต่งตั้งพระชายาในตำแหน่งอัครมเหสี มอบทรัพย์สินให้กับภรรยาสุดที่รักของตน และทั้งคู่จึงเคียงข้างกันอย่างมีความสุขจนกระทั่งแก่เฒ่า
ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ช่วงที่พระโอรสเดินทางมาถึงยังเมืองพาราณสีเป็นวันแรก พระองค์ทรงเข้ารับตำแหน่งพระราชาเมืองพาราณสี แต่ไม่ได้แต่งตั้งพระชายาเข้ารับตำแหน่งพระมเหสี จนกระทั่งหลายวันผ่านไปตำเเหน่งที่คู่บารมีกับพระราชายังคงเงียบ จนท่านอำมาตย์เกิดความสงสัย ขณะที่พระราชากำลังอยู่ในห้องพัก ท่านอำมาตย์ ได้เอ่ยขึ้น "พระองค์ยังไม่แต่งตั้งพระชายาขึ้นเป็นพระมเหสีหรือพะย่ะข้า" "ยัง อีกอย่างเรื่องนี่ไม่เห็นสำคัญเลย อยู่แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว" พระราชาทรงตรัสกับท่านอำมาตย์ "แต่ว่า กระคิดว่าในระยาวจะไม่ดีเอานะ" พระราชาเงยหน้าจากพระราชโองการ ก่อนใช้มือตบเข้าไปที่บ่าของท่านอำมาตย์ "ไม่เป็นอะไรหรอก ท่านคิดมากไปเอง "
ในคืนนั้นท่านอำมาตย์นอนครุ่นคิดเรื่องของพระชายา "จะทำอย่างใดดีถ้าอย่างเป็นเช่นนี้ต่อไปความสัมพันธ์ของท่านทั้งสองคงจะแตกหักในอนาคตแน่" "เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ พระเทวีนี้เป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆ ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน พระนางยังคงเคียงข้างสามีเสมอ"
เข้าวันรุ่งขึ้น ท่านอำมาตย์เดินเข้ามาหา ว่าที่พระมเหสีในอนาคต ก่อนตรัสถาม "ช่วงนี้ครอบครัวของท่านเป็นอย่างไรบ้าง พระโอรสได้ขึ้นเป็นพระราชาแล้ว" "บ้านข้านะหรือ ไม่ได้เปลี่ยนไปนักหรอก" "เพราะเหตุใดล่ะ" "ท่านกำลังจะได้ขึ้นพระมเหสีแล้วไม่ใช่หรือ ใยครอบครัวของพระองค์ยังยากจนอยู่อย่างนี้" ว่าที่พระมเหสีได้แต่ถอนหายใจ "หึ..ขนาดห่อข้าวยังแบ่งให้ข้าไม่ได้เลย ท่านอำมาตย์รู้ไหม ระหว่างที่เดินทางมายังเมืองพาราณสี สามีของข้าได้ห่อข้าวมาหนึ่งห่อ ยังไม่แบ่งเลย แล้วข้าวของ ผ้าแพร ทรัพย์สมบัติจะให้ข้าหรือ" หญิงสาวได้แต่บ่นกระปอดกระแปดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ "โถท่านหญิง" "กระหม่อมขอถามเรื่องนี้ได้ไหม" "ว่ามาเลยท่าน" "ท่านกล้าพูดเรื่องนี้กับพระราชาไหม" "กล้าสิ" "ถ้าเช่นนั้น ไปกับหม่อมฉัน" "ไปเข้าเฝ้าพระราชากัน" "ได้" "ข้านั้นอัดอั้นมานานแล้ว แต่ก่อนข้านั้นหวังว่าสามี จะหันมาใส่กันบ้าง นี่ก็ผ่านไปหลายปีแล้ว ไม่เห็นแม้แต่วี่แวว พูดวันนี้ก็ดีเหมือนกัน"
จากนั้นท่านอำมาตย์และว่าที่พระมเหสีรอเข้าเฝ้าพระราชา ผ่านไปครู่หนึ่ง "อ้าว น้องหญิงมีเรื่องอันใดหรือ ถึงมาหาพี่เช่นนี้" เมื่อจบคำถามของพระราชา พระนางสวนกลับทันควันด้วยอาการของคนเคืองโกรธ น้อยใจผสมปนเปกันไปหมด "ท่านนั้นช่างใจจืดใจดำยิ่งนัก แค่ม้วนผ้า ข้าวสาร ก็ให้แก่ครอบครัวของน้องไม่ได้ รู้ไหมตอนนี้ครอบครัวของนั้นยากลำบากแค่ไหน" หญิงสาวตัดพ้อ "ดะเดี๋ยว" น้องหญิงพระราชาทำท่าจะลุกจากเก้าอี้ แต่ขณะนั้นท่านอำมาตย์ได้พูดแทรกขึ้น "ในอนาคตพระองค์จะได้ตำแหน่งอัครมเหสีไม่ใช่หรือ ข้านั้นได้ตำแหน่งก็จริง แต่ไม่มีการยกย่อง ดูแลเอาใจใส่จากสามี จะไปทำอะไรได้ ขนาดห่อข้าวยังไม่แบ่งให้เลย แล้วข้าจะไปหวังอะไรได้ล่ะท่าน" "ข้าแต่พระมหาราช เรื่องที่กระหม่อมพยายามจะคุยเรื่องพระมเหสีวันก่อน ที่ท่านยังบอกไม่เป็นไร ที่นี้ท่านทราบความรู้สึกภรรยาสุดที่รักหรือหรือยัง" พระราชานึ่งอึ้ง ก่อนเอ่ย "ข้าทำตัวแย่ต่อเจ้าถึงเช่นนี้เลยหรือ น้องหญิงจากนี้เป็นต้นไป พี่จะคอยดูแลให้ที่เหมือนกับเจ้าที่คอยอยู่เคียงข้างพี่มาตลอด" เมื่อพระองค์พูดจบก็ทอดพระเนตรไปที่ ภรรยาสุดที่รักของตน "น้องดีใจ ในที่สุดท่านพี่ก็หันมาสนบ้าง" "พี่ขอโทษ จากนี้ไปพี่จะดูแลเจ้าอย่างดี" พระราชาลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงไปยังภรรยาของตนทันที่ ทำท่าจะเข้าสวมกอด
"อะ..แอ้ม ในห้องนี้ยังมีคนอยู่ด้วยนะกระหม่อม" ท่านอำมาตย์เอ่ย พลันชายหญิงตรงหน้าถึงกลับหน้าแดงเรื่อ แต่ก่อนคนทั้งสองจะเอ่ยอะไร ท่านอำมาตย์กล่าวขึ้น "จะมีประโยชน์อะไรขณะที่พระเทวีประทับอยู่ที่นี่ แต่ไม่เป็นที่รักของพระราชา เพราะอยู่ร่วมกับผู้ไม่รักมักเป็นทุกข์
ธรรมดาว่าสัตว์เหล่านี้ย่อมคบผู้ที่ยอมคบด้วย รู้ผู้ที่ไม่อยากคบเขาก็ไม่อยากคบ
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม ทรงประชุมชาดก.
เมื่อจบสัจธรรม สามีภรรยาตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.
สามีภรรยาในครั้งนั้น ได้เป็น สองสามีภรรยาในครั้งนี้
ส่วนอำมาตย์บัณฑิต คือ เราตถาคต นี้แล.