อรรถกถา ปุณณนทีชาดก
ว่าด้วย การไม่ระลึกถึง
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี มีเด็กชายคนหนึ่งเกิดขึ้นในตระกูลปุโรหิต เมื่อเติบใหญ่จึงได้เข้าเรียนศาสตร์ต่างๆในเมืองตักกสิลา ครั้นบิดาล่วงลับไปจึงได้ตำแหน่งปุโรหิต เป็นผู้สอนอรรถธรรมให้แก่พระเจ้าพาราณสี
เมื่อเวลาผ่านไป ในกลางดึกคืนหนึ่ง มีกลุ่มอำมาตย์มาขอเข้าเฝ้า อำมาตย์ทั้งหมดเดินเข้าให้ห้องที่องค์กษัตริย์พักอยู่ "วันนี้มาพบข้าดึกดื่นเช่นนี้ มีอะไรหรือ" "หม่อมฉันมีเรื่องที่อยากทูลพระองค์พะย่ะค่ะ" "ว่ามา" "คือว่าท่านปุโรหิตนั้นมักจะเล่าเรื่องของพระองค์ ให้คนในพระราชวังฟัง" "เจ้าว่าอย่างไรนะ" พระราชามีสีหน้าตกใจ ไม่เชื่อในสิ่งที่กลุ่มอำมาตย์เอ่ย จนเหล่าอำมาตย์จำเป็นต้องเล่าเรื่องที่ตนได้ยินมาให้แก่พระราช "อย่างนั้นหรือ" ใบหน้าที่ก่อนหน้านี้บ่งบอกถึงความไม่เชื่อถือ กลับเริ่มแสดงถึงความผิดหวัง พระองค์ทรงนั่งฟังอย่างเงียบๆจนกระทั่งจบ "เรื่องทั้งหมดเป็นเช่นนี้พะย่ะข้า กระหม่อมเห็นว่าถ้ายังปล่อยไว้เช่นนี้ อาจจะส่งผลไม่ดีต่อพระองค์ในอนาคต" "ขอบใจพวกท่านมากที่บอกเรื่องนี้กับข้า พวกท่านกลับไปได้แล้ว" ในคืนนั้นองค์กษัตริย์ นอนคิดเรื่องต่างๆจนกระทั่งหลับไป
เช้าวันต่อมาพระราชทรงเรียกพบตั้งแต่เช้า แต่ก่อนคนที่ถูกเรียกจะเอ่ยปากถาม กษัตริย์ทรงแทรกขึ้น "ท่านปุโรหิต เอาความลับที่เราคุยกันไปเล่าให้คนในวังฟังหรือ" "เปล่าพะย่ะข้า" พระราชามีท่าทีไม่พอใจเมื่อได้ยินคำตอบของอาจารย์ "ท่านโกหกข้าใช่ไหม" ในขณะเดียวกันสีหน้าของท่านปุโรหิตกลับงุนงงในสิ่งที่พระราชาเอ่ยถาม "ทำไมพระองค์ถึงพูดเช่นนั้นล่ะ" "ป้าบ" เสียงตบเข่าด้วยความโกรธดังขึ้น "ยังปากแข็งอยู่อีกหรอ!" "เหตุใดทำไมพระองค์ถึงเชื่อเช่นนั้น" "ก็ท่านอำมาตย์เข้ามาทูลถามเรื่องที่เป็นความลับที่ข้าคุยกับท่านไง" "เจ้ามีเรื่องจะแก้ตัวอะไรอีกไหม" ใบหน้าที่ตอนนี้ถมึงทึง จ้องมาที่อาจารย์ยังจะกินเลือดกินเนื้อ "กระหม่อมไม่เคยเอาเรื่องของพระองค์ไปพูดกับใครเลย" "แล้วไอ้เรื่องเมื่อสองวันก่อนมันหลุดมาได้อย่างไร อีกฝั่งมีหูทิพย์หรือ " พระราชายังคงเค้นถาม "ท่านตอบข้ามาสิว่าหลุดออกมาได้ยังไง" ท่านปุโรหิตยังคงนิ่งเงียบ "หม่อมฉันไม่ทราบพะย่ะข้า" "ข้าเสียใจจริงๆ ท่านอาจารย์ รู้ใช่ไหมว่าความลับของกษัตริย์นั้น เป็นเรื่องสำคัญมาก" "เข้าใจพะย่ะข้า" "ในฐานะที่ท่านเคยเป็นอาจารย์ผู้สั่งสอนและคอยเตือนสติ ในส่วนนี้ข้าซาบซึ้งในน้ำใจท่านจริงๆ แต่เรื่องนี้คือความผิดที่ร้ายแรง เก็บข้าวของออกจากเมืองพาราณสีซ้ะ! ข้าให้เวลาถึงมะรืน ถ้าท่านยังไม่ออกไป ข้าจะสั่งให้ทหารโบยตีท่าน" พระราชาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ใบหน้าของพระองค์เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเฉกเช่นคนที่ถูกทรยศหักหลัง "พะย่ะข้า" อดีตปุโรหิต รับคำก่อนเก็บข้าวของพาภรรยาและบุตรออกเดินทาง ไปยังหมู่บ้านแถบแคว้นกาสีทันที
ระหว่างทาง "เราต้องไปจริงๆหรือท่านพี่" "อื้ม" ผู้เป็นสามีพยักหน้า "เพราะเหตุใดกันถึงพระองค์ทรงไล่ท่านออกมาเช่นนี้" "ไม่รู้เหมือนกัน" ผู้เป็นสามีตอบ "เหมือนน่าจะเข้าใจผิดนะ" "พี่ขอโทษเจ้าและลูกด้วยที่ทำให้ลำบาก" "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ น้องทนได้" จากนั้นครอบครัวอดีตท่านปุโรหิต ได้เดินทางตรงไปยังที่พักของตน
หลายปีต่อมา ณ พระราชวังเมืองพาราณสี เย็นวันหนึ่งหลังจากองค์กษัตริย์ทรงงานเสร็จเรียบร้อย พระองค์เหม่อมองไปยังพื้นท้องพระโรงเบื้องล่าง ภาพวันเก่าสมัยอดีตปุโรหิตยังอยู่ผุดขึ้นมาในหัว "นี่ก็หลายปีแล้ว ท่านปุโรหิตจะเป็นไงบ้างนะ? ถ้าวันนั้นเราใจเย็นสักหน่อยก็คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ท่านปุโรหิตคนใหม่ทำงานได้ไม่ดีเท่าท่านเลย น่าเสียดายจริงๆ อยากให้ท่านอาจารย์กลับมาจัง ถ้าเราส่งทหารไปเรียกท่านอาจารย์กลับมา คงจะดูไม่ดีแล้วอย่างนี้จะทำอย่างไร"
พระองค์นั่งคิดนอนคิดอยู่หลายวัน จนตกตะกอนได้ "เอาว้ะพูดตรงๆไม่ได้ ก็อ้อมๆแล้วกัน" เช้าวันต่อมาพระราชาถือหนังสือขนาดเหมาะมือมาเล่มหนึ่ง เขียนคาถาลงไป จากนั้นต้มเนื้อกาจนสุก เมื่อของทั้งสองอย่างเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ทรงห่อด้วยผ้าขาว ก่อนประทับตราส่วนพระองค์ลงไป "เฮ้อเสร็จเรียบร้อยแล้ว" "ทหารช่วยเอาจดหมายไปส่งท่านอดีตปุโรหิตให้ข้าที" "พะย่ะข้า" "ท่านอาจารย์จะรู้ไหมนะ" ขณะเดียวกันทรงมองเหม่อออกไปยังหน้าต่างบานใหญ่ รอคอยอย่างมีความหวัง
เช้าวันต่อมา "ก๊อกๆ" "มีใครอยู่ไหม" "ใครรึ" "ผมคือองครักษ์ของพระราชาเมืองพาราณสี ท่านฝากของถึงท่าน" "โอ้...เช่นนั้นหรือ" อดีตท่านปุโรหิตอุทานอย่างประหลาดใจ จากนั้นทหารรักษาพระองค์ยื่นห่อผ้าสีขาวให้กับอดีตท่านปุโรหิต มือที่หยาบกร้านถือห่อผ้าที่อยู่ในมือ ก่อนบรรจงค่อยๆเปิดออก
ในหนังสือ ปรากฏคาถามีใจความว่า "ชนทั้งหลายพูดถึงแม่น้ำที่เต็มแล้วว่า การดื่มกินได้ก็ดี พูดถึงข้าวกล้าที่เกิดแล้วว่า กาซ่อนอยู่ได้ก็ดี พูดถึงคนที่รักกันไปสู่ที่ไกลว่า จะกลับมาถึงเพราะกาบอกข่าวก็ดี กานั้นเรานำมาให้ท่านแล้ว ขอเชิญบริโภคเนื้อกานั้นเถิด ท่านพราหมณ์"
"ชนทั้งหลายกล่าวว่าแม่น้ำที่กาดื่มได้ ได้กล่าวถึงแม่น้ำที่เต็มแล้วกาดื่มได้ เพราะแม่น้ำที่ไม่เต็มไม่เรียกว่า กาดื่มได้ เมื่อใด กายืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำสามารถยืดคอลงไปดื่มได้ เมื่อนั้น ท่านกล่าวแม่น้ำนั้นว่า กาดื่มได้"
"ข้าวกล้าอ่อนที่เกิดงอกงามสมบูรณ์ทุกชนิด ด้วยว่า ข้าวกล้านั้นเมื่อใดสามารถปกปิดกาที่เข้าไปภายในได้ เมื่อนั้นชื่อว่า กาซ่อนอยู่ได้"
"บุคคลเป็นที่รักจากไปไกลนานๆ ย่อมพูดถึงกัน เพราะได้เห็นกามาจับหรือได้ยินเสียงกาส่งข่าวว่า กากา พูดกันอย่างนี้ว่า บุคคลชื่อนี้คงจักมา เพราะกาส่งข่าว เนื้อนั้นเรานำมาให้ท่านแล้วเชิญท่านพราหมณ์รับไปบริโภคเถิด คือบริโภคเนื้อกานี้"
อดีตปุโรหิต ยิ้มอ่อนๆก่อนเอ่ย "พระราชาต้องการพบเรา" จากนั้นจึงเทียมวัวเดินไปเฝ้าพระราชา กษัตริย์พอพระทัยทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งปุโรหิตตามเดิม
ณ โรงธรรม ขณะที่พระศาสดากำลังนั่งสนทนากับคณะสงฆ์อาวุโส "ท่านทั้งหลายเรื่องสติปัญญานั้น ไม่ใช่แค่ปัจจุบันนั้น แต่ในอดีต แม้เมื่อก่อนตถาคตก็มีปัญญาฉลาดในอุบายเหมือนกัน"
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก.
พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็น อานนท์ ในครั้งนี้
ส่วนปุโรหิต คือ เราตถาคต นี้แล.