อรรถกถา มิคโปตกชาดก
ว่าด้วย คำพูดที่ทำให้หายเศร้าโศก
เช้าวันหนึ่ง ณ พระวิหารเชตวัน ได้เกิดเหตุการณ์โกลาหล เนื่องจากมีเสียงร้องไห้ ดังคร่ำครวญมาจากในห้อง "ปั้งๆ ปั้ง" เสียงทุบประตูดังขึ้นถี่ๆ พร้อมกับเสียงตะโกนถามจากพระภิกษุที่อยู่ด้านนอก "ท่านเป็นอะไรไหม" ก่อนจะมีเสียงตอบกลับจากคนที่อยู่ภายในว่า "ข้าไม่เป็นอะไร" ก่อนเสียงนั้นจะค่อยๆหยุดลง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลายเป็นที่ถกเถียง ส่งผลให้เรื่องดังกล่าวกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มภิกษุสงฆ์ในวงกว้าง
ณโรงธรรมสภา "ท่านเหตุการณ์เมื่อเช้านั้นเกิดจากอะไรขึ้น? ทำไมภิกษุชรารูปนั้น ถึงร้องไห้โวยวาย" "อืม เราก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก ได้ยินว่าท่านเสียใจเนื่องจากเณรที่บวชให้ แสดงท่าทีหมางเมิน ไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่ จึงเกิดอาการโมโหแล้วน้อยใจขึ้น" "ทำไมถึงต้องเสียใจขนาดนั้นด้วย" "เหมือนช่วยดูแลเณรนั้่นมานะ" "อ่อ เป็นอย่างนี้นี่เอง ตอนแรกนึกว่าเรื่องอะไร"
ในขณะเดียวกัน พระศาสดาเสด็จผ่านมาพอดี จึงตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลายพวกเธอนั่งสนทนาเรื่องอะไรกัน" "เมื่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้พระตถาคตฟัง พระองค์ได้เอ่ยขึ้นว่า "มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ภิกษุแก่นี้ เมื่อสามเณรนั้นตายแล้ว ก็เที่ยวร่ำไห้เหมือนกัน" แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาเล่าให้ฟัง มีใจความว่า
ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี มีชายผู้หนึ่งตัดสินใจออกบวช เป็นฤๅษีในป่าหิมวันตะเที่ยวหาผลหมากรากไม้ กินเป็นอาหาร จนวันหนึ่งดาบสผู้นี้ ได้ไปเจอกับแม่เนื้อทราย ที่นอนตายอยู่กลางป่า ถัดไปไม่ไกล มีลูกยืนเฝ้าแม่ของตนอยู่ เหมือนไม่รู้ว่า แม่นั้นจากโลกไปแล้ว ฤๅษีเอ่ยขึ้นอย่างสังเวชใจ "โถเจ้าหนูช่างน่าสงสารจริงๆ"
ขณะที่เอ่ยพึมพำ ก็ค่อยๆก้าวเท้าไปหาเจ้าทรายน้อยผู้นั้น ดวงตาคู่กลมโตจ้องมองมายังดาบสนิ่ง ด้านฤๅษีได้เอ่ยกับเจ้าลูกเนื้อว่า "ไปกับเราเถิด ฉันจะเลี้ยงเจ้าเอง" จากนั้นนักบวชได้พาลูกเนื้อทรายกลับมายังที่พักของตน
เมื่อเวลาผ่านไป ดาบสได้ดูแลเป็นอย่างดี จากลูกเนื้อตัวน้อย ก็ค่อยๆกลายเป็น เนื้อทรายที่มีรูปร่างงดงาม ด้วยความรักและผูกพันจึงทำให้ ดาบสเอ็นดูรักสัตว์ตัวนี้ เหมือนลูกเหมือนหลานของตน
อยู่มาวันหนึ่งลูกเนื้อได้เดินออกไปกินหญ้าไม่ไกลจากที่พักมากนัก ลูกเนื้อทรายกินได้หญ้ามากเกินไป ส่งผลทำให้อาหารไม่ย่อย จนเสียชีวิตลง ดาบสเที่ยวร่ำไห้ ฟูมฟาย "ลูกข้าฟื้นขึ้นมาสิ ลืมตาขึ้นมาสิ อย่าจากเราไปแบบนี้สิ"
ในเวลานั้นพอดีท้าวสักกเทวราชได้พิจารณาดูชาวโลก บังเอิญเห็นดาบสเข้า "ไม่น่าเลย" พระองค์บ่นพึมพำเบาๆ "จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้แล้ว" ก่อนจะเสด็จลงไปหาดาบสผู้นั้น
เสียงร้องไห้ยังคงดังไปทั่วป่า ก่อนจากมีเสียงหนึ่งดังขึ้น "ท่านดาบส" เสียงนั้นทำให้เจ้าตัวถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะหันไปทางเสียงเรียก ซึ่งบัดนี้ใบหน้าดาบส ที่เปื้อนไปด้วยน้ำมูกน้ำตา ผสมปนเปกันไปหมด "ดูไม่ได้เลยนะท่าน การร้องไห้เช่นนี้ ดูจะไม่สมควรเท่าไหร่นัก กับบรรพชิตที่ออกเรือนมาบวชเช่นนี้"
"ท้าวสักกะ เรานั้นเลี้ยงมากับมือ ระหว่างนั้นก็เกิดความผูกพัน เป็นธรรมดา แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เสียใจได้อย่างไร"
"ท่านดาบส เราขอถามหน่อย น้ำตาของท่านช่วยชุบชีวิตของเนื้อตัวนี้ได้หรือ" "ไม่" "แล้วอย่างนี้จะทำทำไม สิ่งนี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย" คำพูดจากท้าวสักกะ กระแทกเข้าที่ใจของฤๅษีอย่างจัง จนเจ้าตัวนั้นสะดุ้งตื่นจากความเศร้า
สีหน้าแช่นชื่นค่อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้า"เรานั้นขอบคุณท่านมากท้าวสักกะ ที่มาช่วยดับความเศร้าได้ เหมือนคนที่เอาน้ำมารดไฟให้ดับมอดลง"
"อาตมภาพเป็นผู้ถอนลูกศรออกได้แล้ว ปราศจากความเศร้าโศก ไม่มีความมัวหมอง อาตมภาพจะไม่เศร้าโศกร้องไห้ เพราะได้ฟังถ้อยคำของมหาบพิตร"
จากนั้นท้าวสักกะ ครั้นประทานโอวาทแก่ดาบส แล้วก็เสด็จไปเฉพาะยังสถานที่ของพระองค์
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
ดาบสในครั้งนั้น ได้มาเป็น ภิกษุแก่ ในบัดนี้
เนื้อในครั้งนั้น ได้มาเป็น สามเณร ในบัดนี้
ส่วนท้าวสักกะในครั้งนั้น ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.