อรรถกถา มัยหสกุณชาดก
ว่าด้วย การใช้ทรัพย์ให้เป็นประโยชน์
"กราบบังคม พะย่ะข้า" "เป็นอย่างไรบ้างขนมาหมดหรือยัง" "หมดแล้วพะย่ะข้า" "เฮ้อช่างน่าแปลกจริงๆ มีสมบัติขนาดนี้ทำไมถึงอาศัยในบ้านหลังเล็ก ใส่เสื้อผ้าเก่า แบบนี้น่าเสียดายจริงๆ"ขณะที่องค์กษัตริย์กำลังนั่งคิดอยู่นั้น "ท่านอำมาตย์ พรุ่งนี้เช้าหลังจากรับประทานข้าวเสร็จเราอยากจะเดินทางไปเข้าเฝ้าพระตถาคตซะหน่อย ท่านช่วยเตรียมรถม้าให้ข้าด้วยนะ" "พะย่ะข้า"
เช้าวันต่อมา เมื่อพระราชาทรงเสวยพระกระยาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ได้เสด็จตรงไปพระวิหารเชตวันทันที ทรงกราบสักการะพระศาสดาก่อนจะประทับนั่งนิ่ง จนพระตถาคต ได้เอ่ยถาม "ท่านมีอะไรหรือ ทำไมวันนี้ดูท่านแปลกๆ" "เอ่อ กระหม่อม มีเรื่องสงสัย พะย่ะข้า ข้าแต่พระผู้เจริญ เศรษฐีชื่อว่าอาคันตุกะ ในนครสาวัตถีถึงแก่กรรมแล้ว กระหม่อมให้คนขนทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของ มาที่พระราชวัง ใช้เวลาถึง ๗ วัน เศรษฐีนั้นแม้มีทรัพย์มาก แต่เขานั้นก็ไม่ได้ใช้สอยด้วยตนเองเลย และไม่ได้ให้คนอื่นด้วย ทรัพย์ของเขาจึงเป็นเหมือนสระโบกขรณีที่ผีเสื้อหวงแหนไว้ ชีวิตประจำวันของเขานั้นไม่ได้กินอาหารอันโอชะ ที่อยู่อาศัยก็ไม่ยอมดูแล คนตระหนี่อย่างนี้ ทำกรรมอะไรไว้จึงได้รับทรัพย์มาก และด้วยเหตุอะไรทำไมเขาถึงไม่ใช้สอย เอาแต่เก็บไว้เช่นนี้" พระศาสดาตรัสว่า "เศรษฐีคนนั้นนั่นเอง" จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาเล่าให้ฟังมีใจความดังนี้ว่า
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี มีเศรษฐีท่านหนึ่ง อาศัยอยู่ในเมืองพาราณสี ซึ่งเจ้าตัวนั้นไม่มีศรัทธา ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ช่วยเหลือใครเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว วันหนึ่งขณะที่เขากำลังเดินไปเฝ้าพระราชาอยู่นั้น ได้พบเข้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงพระนามว่าตครสิขี กำลังเดินไปบิณฑบาตเข้า
"พระคุณเจ้า ท่านได้อาหารบ้างหรือยัง" "ยังเลยท่านเศรษฐี อาตมภาพกำลังเดินไปเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือพระองค์ เชิญมากับกระผมหน่อยได้ไหมครับ" เมื่อเศรษฐีเอ่ยจบไม่ได้ฟังคำตอบของพระภิกษุเลยแม้แต่น้อย คำเชื้อเชิญแกมบังคับให้พระปัจเจกพุทธเจ้า เดินตามไปยังบ้านท่านเศรษฐีทันที
ณ บ้านของท่านเศรษฐี "เชิญทางนี้ขอรับ นั่งประทับบนแท่นได้เลย รอสักครู่เดี๋ยวกระผม นำภัตตาหารมาถวาย" "น้องหญิงๆเธอไปเอาภัตตาหารมาถวายพระภิกษุรูปนี้ด้วย" "ได้ค่ะท่านพี่" ผ่านไปไม่นานภัตตาหารรสเลิศนา ก็มาตั้งตรงหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้า บรรดาอาหารถูกบรรจุเต็มบาตร พระองค์ทรงรับภัตตาหารแล้ว ได้เสด็จออกจากบ้านของท่านเศรษฐีทันที
จากนั้นเศรษฐี ได้ไปเข้าเฝ้าพระราชา ขณะที่เศรษฐีกำลังเดินกลับมาที่บ้านของตนได้เจอพระภิกษุอีกครั้ง "ภัตตาหารที่กระผมใส่บาตรไป ท่านได้ฉันหรือยัง" "ฉันแล้วท่านเศรษฐี" ขณะนั้นสายตาก็มองเข้าไปในบาตรพลางรำพึงรำพันในความคิด "ถ้าเอาอาหารนี้ให้คนงาน คงจะทำงานให้ได้หลายวัน น่าเสียดายจังเเฮะ" เศรษฐีได้แต่บ่นในใจ จากนั้นพระภิกษุก็ได้เดินจากไป
"ท่านเศรษฐีได้รับทรัพย์มาก เพราะปัจจัยที่ได้ถวายอาหารแก่พระตครสิขีปัจเจกพุทธเจ้า แต่ไม่อาจใช้สอยโภคทรัพย์ได้ เพราะไม่สามารถทำใจให้บริสุทธิ์ในขณะที่ถวายได้" "แล้วทำไมเขาจึงไม่มีบุตรหรือ พระพุทธเจ้าข้า" พระศาสดาตรัสตอบว่า "แม้เหตุแห่งการไม่มีบุตร เศรษฐีนั้นก็ทำไว้เหมือนกัน" จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาเล่าให้ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลเศรษฐีตระกูลหนึ่ง สองพี่น้องใช้ชีวิตร่วมกันมาจนกระทั่งเติบใหญ่ ผ่านไปไม่นานพ่อและแม่ได้เสียชีวิตลง ผู้เป็นพี่จึงได้รับสิทธิเป็นผู้ดูเเลมรดก ตรวจตราทรัพย์สินบิดามารดาทิ้งไว้ให้ จากนั้นจึงให้สร้างโรงทานไว้แถวประตูเรือนเพื่อเป็นมหากุศลต่อไป ผ่านมาไม่นานจึงได้ครองเรือนกับหญิงสาวผู้หนึ่ง
ต่อมาบุตรของพระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดขึ้น ท่านเห็นโทษในกามทั้งหลาย จึงมอบสมบัติในเรือนทั้งหมดให้น้องชายพร้อมทั้งลูกเมีย โดยให้โอวาทว่า จงอย่าประมาท ให้ทานเป็นประจำ จากนั้นจึงออกบวชเป็นฤาษี ฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้น แล้วอยู่ที่ป่าหิมพานต์
ด้านน้องชายอยู่กินกับอดีตภรรยาพี่ชาย จนมีลูกเพิ่มมาอีก ๑ คน ส่งผลให้คนเป็นพ่อกังวลว่า ถ้าลูกของพี่ชายเติบใหญ่ทรัพย์สมบัติของตน จะต้องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ด้วยความโลภ เจ้าตัวจึงพยายามหาทางฆ่าลูกของพี่ชาย อยู่มาวันหนึ่งผู้เป็นน้องชายได้ชวนลูกบุญธรรมไปอาบน้ำที่ท่า ระหว่างนั้นได้จับลูกพี่ชายของตนถ่วงน้ำจนแน่ใจว่าเสียชีวิตแล้ว
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย คนที่เป็นน้องชายทำเป็นไม่รู้เรื่อง เดินกลับบ้านเป็นปกติ ด้านพี่สะใภ้เมื่อเห็นหน้าสามีของตน จึงได้เอ่ยถาม "ลูกของฉันไปไหน?" "ลูกของเธอเล่นน้ำในแม่น้ำ แล้วเกิดจมน้ำเข้า ฉันพยายามช่วยแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงก็หาไม่เจอ" ผู้เป็นแม่ถึงกับใจสลาย น้ำตาที่ไม่เคยได้เห็นจากหญิงสาวผู้นี้ หลั่งรินออกมาไม่ขาดสาย
อีกด้านภายในป่าหิมพานต์เมื่อพระโพธิสัตว์ทราบเหตุนั้น แล้วคิดว่า เราต้องทำเรื่องนี้ในปรากฎความจริงให้ได้ จากนั้นฤๅษีลอยมาทางอากาศจนมาถึงเมืองพาราณสี ยืนที่ประตูเรือนของน้องชายนั้น "โรงทานที่ตั้งอยู่ตรงนี้หายไปแล้วสินะ"
ฝ่ายน้องชายของท่านได้ทราบว่าพี่ชายมาแล้ว ได้พาพระมหาสัตว์เข้ามาในบ้าน ถวายภัตตาหารที่ประณีต เมื่อดาบสฉันอาหารเรียบร้อยแล้ว จึงถามว่า"ลูกของเราหายไปไหนแล้ว ไม่เห็นออกมาให้เห็นหน้าเลย" "ตายแล้วครับท่าน" "ตายด้วยเหตุอะไร" "ผมไม่ทราบ น่าจะจมน้ำตาย" "แน่ใจนะ ว่าไม่รู้เรื่องจริงๆ อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะว่าทำอะไรลงไป เจ้าฆ่าลูกของฉันไม่ใช่หรือ แล้วสาเหตุคือ กลัวว่าลูกของพี่จะแย่งสมบัติใช่ไหม" ดาบสจ้องหน้าน้องชายนิ่ง ด้านน้องชายไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่เงียบ "เจ้านี่ รู้ไหมทำอะไรลงไป" จากนั้นดาบสแสดงธรรมแก่น้องชายแล้วให้เขาสร้างโรงทานอีกครั้งจาก นั้นได้ไปยังแดนหิมพานต์ มีฌานไม่เสื่อมถึงแก่กรรมแล้ว ได้เข้าถึงพรหมโลก
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงตรัสว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร อาคันตุกเศรษฐีไม่ได้บุตร ไม่ได้ธิดาเลย เพราะฆ่าบุตรพี่ชาย ด้วยเหตุดังนี้แล แล้วทรงประชุมชาดกไว้ว่า
น้องชายในครั้งนั้น ได้แก่ อาคันตุกเศรษฐี ในบัดนี้
ส่วนพี่ชายได้แก่ เราตถาคต นั่นเอง.