ชาดก 500 ชาติ
มหาสุวราชชาดก-ชาดกว่าด้วยความพอเพียง
เหตุอันเกิดในพุทธกาลผ่านมานั้นมีมากมายนัก ที่เป็นพระมหากรุณาธิคุณจากพระผู้มีพระภาคเจ้า ปรากฎการณ์หนึ่งที่มีอยู่ในพระไตรปิกฎก็คือ แบบอย่างความมัธยัสถ์ดำรงตนอย่างพอเพียงไม่ละโมบฟุ้งเฟ้อเกินจำเป็น ภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาครั้งนั้นต่างยึดถือเอาจริยาวัตรสมถะ
พอใจในสิ่งที่ตนเองมีของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติเป็นเนติแบบฉบับโดยทั่วกัน พระสุปฏิปันโนอันประพฤติดีจึงมีอยู่ทั่วไปทั้งชมพูทวีป ตัวอย่างที่ประจักชัดก็ยังพบเห็นในพระเชตวันมหาวิหารพระอารามที่งประทับจำพรรษานานที่สุดนี้
สงฆ์สาวกทุกรูปจะดำรงตนตามมีตามได้แค่เพียงพอต่อความจำเป็น ออกภิกขาจารได้ภัตตาหารเช่นไรมาก็ฉันตามนั้นมิได้ยึดเป็นเรื่องสำคัญให้จิตใจรุ่มร้อน “ อืม ฉันเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ฉันแล้วก็จะได้ปฏิบัติธรรมต่อ ”
ทั้งภิกษุที่บวชเรียนพรรษามาก และภิกษุที่บวชใหม่ในพุทธสมัยนั้นไม่ได้ต่างกัน ในวัตรปฏิบัติอันถือความพอเพียงเป็นหลักสมณะวัตร พระเกียรติคุณพระแห่งสมเด็จพระศาสดา ก็ยิ่งกำจรกำจายให้เป็นที่พึ่งพาทั้งเทวดาและมหาชนมากยิ่งขึ้นเกินคณานับ “ ฉันแต่พอดี เราต้องอยู่อย่างพอเพียงอย่างที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติไว้ ”
เมื่อมีภิกษุปฏิบัติจิตเข้าฌานชั้นสูงได้บรรลุสัจธรรมสู่อรหัตผลสู่อรหันต์มากมายหลายองค์ขึ้น สาธุชนทั้งหลายยิ่งสรรเสริญ ปฏิปทาอันสมถะพอเพียงที่พระพุทธองค์ทรงกระทำเป็นแบบฉบับไว้ “ สมาธิ(Meditation) สมาธิ พุทโธ พุทโธ หากเราปฏิบัติธรรมตามอย่างองค์พระศาสดา สักวันเราก็คงบรรลุธรรมได้ในที่สุด ”
ในธรรมสภาคราวหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงปรารภธรรม ข้อพอเพียงนี้ว่าสามารถช่วยให้ชีวิตมีสุขตามอัตภาพได้จริงแท้ พระองค์ทรงยกอดีตชาติของพญานกแขกเต้า ที่พอใจในต้นมะเดื่อของตนขึ้นเทศนาเป็นมหาสุวราชชาดก อธิบายความสำคัญแห่งวิถีชีวิตพอเพียงดังนี้
อดีตกาลครั้งกระโน้นไกลออกมา จากฝั่งแม่น้ำคงคาคือป่าใหญ่อันอุดมด้วยผลาผลมากมาย ยามต้นวสันต์พรรณพฤกษาจะแตกพุ่มอุ้มน้ำเขียวขจี ทั้งผืนป่าเป็นที่ชุมนุมของสกุณาทิชาชาติให้พากันยังชีพด้วยดอกและผลจากต้นไม้นั้น ๆ ตามธรรมชาติของตน ที่ชายป่าผืนใหญ่นี้ยังมีดงมะเดื่อยืนต้นอยู่หมู่หนึ่ง หลังการแตกช่อรับฤดูฝนมะเดื่อก็ออกผลแล้วค่อยทยอยสุกจนแดงเต็มกิ่ง
อันผลมะเดื่อนี้คืออาหารสำคัญของนกแขกเต้า ทุกปีเมื่อปลายฝนยาวนานจนถึงฤดูร้อนผลมะเดื่อจากลูกอ่อนจะเปลี่ยนขนาดและสีสันทยอยสุกพร้อมกันทุกต้น ถึงเวลานี้จะมีพญานกแขกเต้านำพาฝูงอันเป็นบริวารมาอาศัยต้นมะเดื่อเพื่อจิกกินผลดำรงชีวิต และตอบแทนมะเดื่อทุกต้นให้ขยายพันธ์ออกไปด้วยการขับถ่ายเมล็ดลงทั่วป่า ต่างพึ่งพาเกื้อกูลดุจครอบครัวเดียวกัน
“ อุ้ย ผลมะเดื่อสุกแดงน่ากินเหลือเกิน เห็นแล้วน้ำลายไหล ขอบคุณต้นมะเดื่อมากนะที่ออกผลมาให้ทาน เราจะตอบแทนด้วยการขยายพันธ์ให้เอง ”
ในปีหนึ่งเกิดเหตุอาเพศจากโลกร้อนความแล้งเริ่มระอุคลุมป่าใหญ่จำนวนนกแขกเต้าก็อพยพหนีภัยทิ้งฝูงไปมากมายที่เหลือก็มีจำนวนน้อย เริ่มอัตคัดขาดแคลนผลมะเดื่อก็พากันบินตามฝูงไปอีก
“ โอ้ย หิว หิว หิว หิวจนแสบท้องไปหมดแล้ว ต้นมะเดื่อไม่เหลือผลให้เรากินอีกแล้ว ” “ ย้ายไปอยู่ที่อื่นกันเถอะพวกเรา ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปได้อดตายแห้งเหี่ยวไปพร้อมกับต้นมะเดื่อนี้แน่ ๆ เลย ” ครั้นลมร้อนพัดผ่านมาอีกระลอกเมื่อสัญญาณแห้งแล้งกันดานปรากฎชัดอีกอีกหน
ต้นมะเดื่อที่เคยเป็นหลักชัยให้ไออุ่นก็ถูกทิ้งอยู่เปลี่ยวเดียวดายสู้ลมร้อนของคิมหันตฤดูโดยไม่มีนกกามาร่วมครอบครัวเหมือนที่เคยเป็น “ เหงาจังเลยเราในที่สุดนกพวกนั้นก็ทิ้งเราไป คงเป็นเพราะเราไม่มีผลให้พวกเรากินดังเคยสินะ ” “ เหงาเหรอจ๊ะต้นมะเดื่อ ท่านไม่ได้อยู่เพียงลำพังหรอกเรานี่ไงที่จะอยู่เป็นเพื่อนท่าน ” “ โอ้ ขอบใจมากพญานกแขกเต้า ” ดังมีคำสรรเสริญว่ามหาบุรุษย่อมไม่ทอดทิ้งกันในยามยาก มะเดื่อใกล้ตายต้นหนึ่งจึงยังมีนกแขกเต้าจับเจ่าอยู่เป็นมิตรแท้มิได้ตีจากไปไหน บุรุษน้ำใจประเสริฐนี้คือ พญานกหัวหน้าฝูงนั่นเอง
“ แต่ท่านจะอยู่กับเราได้อย่างไรในเมื่อเราไม่มีผลให้ท่านได้กินได้อีกแล้ว ” “ ไม่เป็นไรหรอกไม่มีผลเราก็กินใบแทนได้ ท่านอย่าห่วงเลยนะ ” พญานกยังชีพด้วยผลแห้งของมะเดื่อจนหมดสิ้น ก็จิกกินใบที่ยังเหลือพร้อมทั้งเร่งปรับลดความเป็นอยู่ของตนให้ทนได้ต่อทุกขภิกขภัยไร้อาหารครั้งนี้ เมื่อใบมะเดื่อแห้งหลุดจากขั้วไปพญานกก็ใช้กิ่งก้านและเปลือกไม้ดำรงชีพต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้โชคชะตาและไม่คิดละทิ้งต้นมะเดื่อที่มีพระคุณแต่หนหลังดังบริวารตัวอื่น ๆ “ ตอนนี้ใบของเราก็หมดเสียแล้วท่านทิ้งเราไปหาที่อยู่อื่นที่อุดมสมบูรณ์กว่านี้เถอะ ”
“ เราจะทิ้งท่านไปไม่ได้หรอกท่านมีพระคุณกับเรา ไม่เป็นไรหรอกใบหมดเราก็กินกิ่งไม้เปลือกไม้ได้ อร่อยไปอีกแบบ ” จนกระทั่งฤดูกาลอันทารุณได้ทำลายปลายกิ่งก้านและทำลายสภาพเปลือกไม่มิให้เป็นอาหารอีกต่อไป “ ท่านพญานก ท่านไปเสียเถิดบัดนี้เราไม่เหลืออะไรให้ท่านได้กินเป็นอาหารแล้วหากท่านยังอยู่กับเราต่อไปก็มีแต่จะอดตาย ไม่ต้องห่วงเราหรอก ชีวิตเราจะอยู่ได้นานอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ”
“ เราจะไม่ไปที่ไหนทั้งนั้น เมื่อไม่มีอะไรกินเราก็จะไม่กิน หากท่านต้องตายเราก็จะตายกับท่าน ” ความเป็นไปอันสันโดษมักน้อยดังนี้เป็นที่รุ่มร้อนขึ้นแก่บัลลังก์ท้าวสักกะเทวราชในทันที ท้าวเธอเพ่งทิพยเนตรแลเห็นพญานกแขกเต้าแล้วบังเกิดอยากทดสอบจิตใจให้ถึงที่สุด “ สุชาดาเอ๋ย จงคอยดูเถิดพญานกนี้จะถือสันโดษในความพอเพียงได้สักแค่ไหนกัน ” “ ท่านจะลองใจนกตัวนี้ดูใช่ไหมเพค่ะ ”
ด้วยฤทธิ์ธาของเทวราชท้าวสักกะก็บันดาลให้ต้นมะเดื่อเฉพาะต้นที่พญานกแขกเต้าอยู่อาศัยเกิดเปลี่ยนแปรโดยพลัน “ โอม ด้วยอำนาจแห่งเราต้นมะเดื่อต้นนั้นจงแห้งลง ๆ และตายไปในที่สุด ” ทันใดนั้นลำต้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วลำต้นถูกบันดาลให้แห้งกรอบและเกิดแตกร้าวเป็นช่อง เมื่อลมพัดจะมีเสียงกระโชกดังน่ากลัวทั้งยังมีเศษไม้ถูกลมพัดฟุ้งออกมาไม่หยุดหย่อน
“ โอ้ย โอ้ย เราจะทนไม่ไหวแล้วนะ ตัวเราผุกร่อนจนจะยืนแทบไม่ไหวแล้ว ลำต้นเราก็แตกเป็นโพรง ไปเถอะเจ้านก ทิ้งเราไปเถอะ ” ลำต้นมะเดื่อขยายช่องแตกเป็นรูขนาดใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นจนน่ากลัว “ ไม่นะ ไม่ ท่านต้องไม่เป็นไรนะ เราจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน หากท่านต้องล้มลงเราก็จะล้มไปกับท่าน เราจะอยู่กับท่านจนสิ้นชีพของเราเอง ” พญานกแขกเต้าก็ยังยึดมั่นคำสัญญาไม่ได้จากไปไหนคงกินผงไม้ที่ลมพัดมาจากรูแตกของลำต้นมะเดื่อ
ประทังชีวิตต่อไป และแล้วมะเดื่อต้นใหญ่ก็พ่ายแพ้ต่อแรงลมเข้าในวันหนึ่ง อดีตอันเคยเขียวขจีเต็มไปด้วยผลสุกไว้เลี้ยงนกกาก็เหลือแต่สภาพต่อไม้ผุ ๆ ต่อหนึ่ง “ บัดนี้แม้ท่านจะเหลือเพียงต่อเราก็ยังจะอยู่กับท่าน เราจะไม่ทิ้งท่านไปไหน ” วิถีชีวิตและสัจจะพอเพียงดังนี้มีความมั่นคงดั่งสุเมรุมาศ ท้าวสักกะเทวราชก็สุดจะทนดูได้อีก ท่านท้าวและชายาสุชาดาจึงจำแลงร่างเป็นหงส์ทอง
ณ บัดนั้น สองพญาหงส์ทองโผร่างจากฟ้าลงมาสู่ป่าใหญ่ ร่อนลงมาหาตอไม้มะเดื่อเพื่ออนุเคราะห์แก่พญานกแขกเต้ามิได้ช้า “ นั่นไงน้องหญิงต้นมะเดื่อต้นนั้นแหละ ” “ น่าสงสารพญานกแขกเต้าจังเลยเพค่ะ ” แต่เพื่อไขปริศนาอยากรู้คติธรรมของพญานกผู้มักน้อยไม่ละโมบ หงส์ทองก็แสร้งแนะนำให้ละทิ้งตอมะเดื่อไปเสีย “ ท่านพญานกแขกเต้าท่านจะมาเสียเวลากับตอไม้ผุ ๆ นี้ทำไม เพียงบินข้ามป่าแล้งนี้ไปทางทิศบูรพาก็มีป่าใกล้คงคานทีที่สมบูรณ์ ” “ นั่นนะสิ นกแขกเต้าคอแดงเอ๋ย ไฉนรอความตาย อยู่กับตอไม้ไร้ประโยชน์นี้เล่า หากท่านบินไปทางโน้นท่านก็จะได้อยู่กับเพื่อน ๆ ท่านอีกมากมาย ” “ ท่านพญาหงส์ใครเป็นเพื่อนในยามทุกข์ยากผู้นั้นเป็นสัตบุรุษ ต้นมะเดื่อนี้เคยเลี้ยงดูเรามาก่อนดุจญาติมิตรของเราเช่นกัน เรามิต้องการรอดชีวิตอยู่เท่านั้นจึงไม่อาจละทิ้งเขาไปเพราะเหตุไร้ผล ให้บริโภคดังงเดิมได้ มันไม่ยุติธรรมเลย ”
คุณธรรมอันประเสริฐนี้ทำให้ท้าวสักกะและนางสุชาดาปรากฎร่างขึ้นแทนหงส์ทองเพื่ออนุเคราะห์พญานก “ เพื่อตอบแทนจิตใจที่ดีงามนี้เราขอสรรเสริญด้วยพรข้อหนึ่ง ท่านจงเลือกขอเอาเถิด ” “ บอกความประสงค์ของท่านมาเถิดเราทั้งสองจะบันดาลให้ตามที่ท่านขอ ” “ ชีวิตเราเติบใหญ่ได้ด้วยต้นไม้นี้ ท่านจงคืนความยิ่งใหญ่อุดมสมบูรณ์ด้วยใบและผลแก่ต้นไม้นี้เถิด จะได้เป็นที่พึ่งแก่เหล่าสกุณาและสัตว์อื่นต่อไป ”
ท้าวสักกะกล่าวสาธุกาลแก่กุศลจิตของพญานกแขกเต้าแล้ว ทรงบันดาลให้ผืนดินชุ่มชื้นขึ้นปรากฎละอองหมอก ห่อหุ้มพื้นเป็นปริมณฑล เกิดไม้ยืนต้นเหยียดสูงแตกกิ่งออกใบเขียวสะพรั่งในบัดดลนั้น “ เราฟื้นแล้ว เราได้ชีวิตใหม่อีกครั้งแล้ว ขอบคุณมากท่านพญานกแขกเต้า ”
จากป่าที่เคยแห้งแล้งก็กลายเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ดุจอยู่ในฤดูพรรษา “ สาธุ ขอท่านผู้เป็นใหญ่ในหมู่เทพ พร้อมเหล่าเทพทั้งหลายจงเป็นผู้มีสุขเหมือนดั่งข้าพระองค์เป็นสุขที่เห็นต้นมะเดื่อยืนต้นผลิผลได้ในวันนี้เถิด ” เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสชาดกจบแล้ว ทรงย้ำให้เห็นถึงประโยชน์ของการถือสันโดษไม่โลภเกินจำเป็น ทรงประกาศอริยสัจสี่เป็นอเนกปริยาย
ในพุทธกาลสมัย พญานกแขกเต้า เสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้า