อรรถกถา โสมนัสสชาดก
ว่าด้วย การใคร่ครวญก่อนแล้วทำ
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร กล่าวถึงพระเทวทัตพยายาม เพื่อจะปลงพระชนม์พระองค์ โดยมีใจความดังนี้
ในอดีตกาล มีพระราชาทรงพระนามว่า เรณุราช เสวยราชสมบัติในแคว้นกุรุ วันหนึ่งในเมืองอุตตรปัญจาลนคร มีคณะดาบส เดินทางเข้ามาพักอาศัยในพระราชอุทยาน ในวันรุ่งขึ้น ได้ออกบิณฑบาตรยังที่ต่างๆ จนกระทั่งถึงประตูทางด้านหลังของพระราชวัง
ขณะเดียวกันพระเจ้าเรณุราชทรงทอดพระเนตรเห็นหมู่ฤๅษีเข้า แว็บแรก เมื่อพระองค์เห็น ทรงเลื่อมใสในอิริยาบถ จึงตรัสสั่งทหารให้นิมนต์มานั่ง ณ ท้องพระโรง
"นมัสการพระคุณเจ้า ท่านมาจากที่ใดหรือ" เรานั้นมาจากป่าหิมพานต์ เนื่องจากบนโน้นเป็นหน้าฝน เลยไม่สามารถหาผลไม้ได้ จึงตัดสินใจลงมาในเมืองเพื่อออกบิณฑบาตร เมื่อหมดฤดูฝนแล้ว น่าจะกลับไปที่เดิม" เมื่อนักบวชเอ่ยจบ พระราชาก็กล่าวต่อทันที "ถ้าอย่างนั้นจำพรรษาที่ อุทยานได้ไหม" คณะบรรพชิตตอบตกลงโดยดี จากนั้นองค์กษัตริย์ได้เสด็จไปพระราชอุทยานพร้อมด้วยดาบส จากนั้นสั่งให้ทหารสร้างที่อยู่พระราชทานแด่ท่านฤๅษีทั้งหมด
นับแต่นั้นมา คณะดาบส มักจะเข้าไปในพระราชนิเวศน์เป็นประจำ จนเวลาผ่านไป ๓ เดือน ท่านมหารักขิตดาบส ได้กล่าวลาพระราชาว่า " ตอนนี้ป่าหิมพานต์น่าจะหมดฤดูฝนแล้ว วันนี้ตอนเที่ยงคณะอาตมภาพนั้นจะออกเดินทางกลับไปที่ป่าหิมพานต์ตามเดิม" "ถ้าอย่างนั้นกระผมขอกราบลาพระคุณเจ้าเลยครับ" จากนั้นกษัตริย์และคณะ ยืนส่งกลุ่มนักบวชอยู่หน้าประตูพระราชวัง ในระหว่างทางคณะบรรพชิตได้แวะพักข้างทาง
เหล่าดาบสจับกลุ่มนั่งสนทนาใต้ต้นไม้ใหญ่ "ถ้าพระราชาได้พระราชโอรส ก็จะเป็นการดีทีเดียวจะได้สืบราชสกุลต่อไป"
ท่านมหารักขิตดาบสได้ยินถ้อยคำของลูกศิษย์แล้ว จึงใคร่ครวญดูว่า พระราชาจะมีพระโอรสหรือไม่ จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า "ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านอย่าคิดวิตกไปเลย วันนี้เวลาใกล้รุ่ง เทพบุตรหนึ่งองค์จะจุติลงมา ปฏิสนธิในครรภ์แห่งอัครมเหสีของพระราชา"
ชฏิลโกงได้ยินดังนั้น ความคิดชั่วร้าย ก็โผล่เข้ามาในหัว ถ้าเราเอาคำทำนายนี้ไปบอกพระราชา "หึๆๆ สุดท้ายเราจะกลายเป็นบรรพชิตประจำสำนัก สบายไปตลอดชีวิต ช่างดีจริงๆ" จากนั้นก็แกล้งว่าเป็นไข้ลุกไม่ไหว ดาบสคนอื่นพยายามปลุก แต่เจ้าตัวยังคงนอนนิ่ง ไม่มีท่าทีลุกขึ้นแม้แต่น้อย เสียงไอดังขึ้น "เราปวดหัวหนักมากน่าจะเดินทางไม่ไหว พวกท่านเดินทางไปก่อนเลย เดี๋ยวถ้าดีขึ้น เราจะตามไป"
ด้านท่านมหารักขิตดาบส ได้ฟังดังนั้นก็รู้ได้ทันทีว่านักบวชผู้นี้ต้องการจะทำอะไร จึงกล่าวว่า "ถ้าท่านดีขึ้นแล้ว ก็จงตามพวกเรามาเถิด" จากนั้นก็พาหมู่ฤาษีเดินทางไปยังหิมวันตประเทศ
เมื่อคณะที่ตนมาด้วยเดินจากไปแล้ว ดาบสโกงรีบย้อนกลับมายังพระราชวังทันที พร้อมกับยืนอยู่ที่ราชทวาร สั่งให้ราชบุรุษกราบทูลพระราชาว่า ดาบสอุปัฏฐากของท่านมหารักขิตดาบสมาเฝ้า ครั้นพระราชาตรัสสั่งให้รีบนิมนต์เข้าไปเฝ้า จึงขึ้นสู่ปราสาท นั่งบนอาสนะที่ปูไว้
พระราชาทรงนมัสการพระดาบสแล้ว ประทับนั่ง "พระคุณเจ้ารีบมา ด้วยเหตุอันใดหรือ?"
เรื่องพระโอรส ที่พระองค์ทรงกังวลอยู่ "อาตมภาพตรวจดูด้วยทิพยจักษุแล้วพบว่า พระโอรสผู้สืบสันตติวงศ์ของพระราชาจะ ถือกำเนิดขึ้น เด็กคนนี้มีบุญมาก เห็นว่าเทพบุตรผู้มีฤทธิ์ จะจุติมาบังเกิด กลัวว่าคนที่ไม่รู้อาจจะทำลายพระครรภ์ให้พินาศเสีย เราต้องแจ้งแก่ท่านทั้งสองก่อน จึงรีบมาเพื่อต้องการถวายพระพรให้ทรงทราบ บัดนี้ พระองค์ทรงทราบแล้ว อาตมาภาพขอลาก่อนแล้วกัน"
พระเจ้าเรณุราชทรงยินดียิ่งนัก มีพระหฤทัยเลื่อมใส ตรัสว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระคุณเจ้าอยู่ต่อเถิด" จากนั้นนำดาบสโกงไปสู่พระราชอุทยาน จัดแจงสถานที่อยู่พระราชทานให้ และแล้วคำทำนาย ของดาบสโกงเป็นจริงพระมเหสีตั้งครรภ์และคลอดพระโอรสออกมาโดยตั้งชื่อว่า โสมนัสสกุมาร
ฝ่ายดาบสโกง หลังจากพักอยู่ในพระราชอุทยานเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มปลูกผักต่างๆ จำหน่ายขายแก่ชาวบ้าน รวบรวมทรัพย์ไว้กับตัว
จนกระทั่งเมื่อพระโพธิสัตว์มีพระชันษาได้ ๗ ปี ประเทศชายแดนเกิดจลาจล พระเจ้าเรณุราชตรัสสั่ง ให้พระกุมารเดินทางเข้าไปหาท่านทิพพจักษุดาบส แล้วให้ท่านบอกคำทำนาย เด็กชายทำตามอย่างว่าง่ายโดยเดินตรงไปยัง พระราชอุทยาน ความสัมพันธ์ระหว่างดาบสกับพระกุมารเป็นไปได้โดยดี จนกระทั่ง
วันหนึ่ง พระราชกุมารคิดว่าเราจะไปเยี่ยมเยียนท่านชฏิล จึงเสด็จสู่พระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นชฎิลโกง สองมือถือหม้อกำลังรดน้ำไร่ผักอยู่ ก็ทรงทราบว่า ชฎิลผู้นี้เป็นคนโกง ไม่บำเพ็ญสมณธรรมของตน มัวปลูกผักทำสวนครัว จึงทรงทักทายให้ชฎิลโกงนั้นได้อายว่า "ดูก่อนคฤหบดีพ่อค้าผัก ท่านกำลังทำอะไรอยู่?" ก่อนจะเสด็จกลับไปยังพระนครทันที
ชฎิลโกงคิดว่า "บัดนี้ พระราชกุมารนี้เป็นศัตรูเราเสียแล้ว ใครรู้เข้า ความเสื่อมเสียจะมาทำร้ายตัวเองแน่ เราควรกำจัดพระราชกุมารนั้นเสีย" ในเวลาใกล้ที่พระราชาจะเสด็จมายังพระราชยุทยาน ดาบสโกงทุบต่อยหม้อน้ำให้แตก ทั้งเกลี่ยหญ้าทิ้งเรี่ยราดไว้บนบรรณศาลา เอาน้ำมันทาตัว เข้าไปยังบรรณศาลา นอนคลุมโปงอยู่บนเตียง ทำประหนึ่งว่าถึงความทุกข์ร้อนอย่างใหญ่หลวง
ครั้นเสด็จในวันที่พระราชาเยี่ยมเยียนท่านทิพพจักษุดาบสทันทีที่เท้าของพระองค์เหยียบไปถึงประตูบรรณศาลา ทอดพระเนตรเห็นอาการวิปริต จึงเอ่ยถามขึ้นทันที "นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือพระคุณเจ้า" จึงเสด็จเข้าไปทอดพระเนตรเห็นชฎิลโกงนั้นนอนอยู่ ทรงลูบคลำเท้าทั้งสองของชฎิลโกง
"ใครมาตี มาด่าท่านหรือ ทำไมท่านจึงเสียใจ น้อยใจ เศร้าโศกอยู่ วันนี้มารดาบิดาของท่าน มาร้องไห้รบกวนประการใด หรือว่าวันนี้ ใครมารังแกท่าน"
ชฎิลโกงได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจ ลุกขึ้น "ขอถวายพระพร อาตมภาพดีใจมากที่ได้เห็นมหาบพิตร เรานั้นถูกพระราชโอรสของมหาบพิตรเบียดเบียน"
พระราชาทรงโกรธ เป็นอย่างมาก จึงสั่งให้เหล่าทหารฆ่าเจ้าชายโสมนัสสกุมารเสีย แล้วตัดเอาศีรษะมา เหล่าทหารได้ยินคำสั่งนั้นแล้วเดินตรงเข้าไปกราบทูลพระกุมารว่า "ท่านพ่อของพระองค์ สั่งให้พวกหม่อมฉัน ตัดศีรษะของพระองค์ พะยะข้า" "ทะ..ทะ..ทำไมกันละ" พระโอรสเอ่ยถามเสียงสั่น "ก็เพราะพึ่งเดินทางไปที่พระราชอุทยาน" เมื่อพระโอรสได้ยินดังนั้นก็เข้าใจได้ทันที น้ำตาค่อยๆเอ่อ บนดวงตาก่อนที่จะไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง พร้อมยกมือไหว้อ้อนวอนเหล่าทหาร "ขอให้เราได้พบท่านพ่อก่อนได้หรือไม่" ด้วยความสงสาร เหล่าทหารจึงยินดีที่จะให้พระโอรสเข้าเฝ้าพระราชา "แต่มีข้อแม้นะ กระหม่อมจะขอมัดเชือกที่มือทั้งสองข้างของพระองค์" "อื้มได้สิ"
ด้านพระโอรสเห็นพระราชบิดา จึงเอ่ยถามขึ้นมาทันที "ทำไมถึงสั่งให้คนไปฆ่ากระหม่อมเช่นนี้ พระองค์มีเรื่องเข้าใจผิดประการใด ช่วยบอกหน่อยได้ไหม" "ก็เจ้า พาบริวารเข้าไปทำร้ายท่านดาบสไม่ใช่หรือ พ่อนั้นเห็นสภาพท่านดูไม่ได้เลย" "เปล่านะ พะยะข้า ดาบสนั้นกล่าวคำเท็จ หลอกให้พระองค์หลงเชื่อ"
"ที่ท่านนักบวชทำเช่นนั้นเพราะลูกไปเห็น ขณะที่ปลูกผักทำรั้วล้อมดูแลเป็นอย่างดีถ้าไม่เชื่อทรงเรียกพ่อค้าขายผักทางประตูท้ายวังมาได้เลย"
พระราชาจึงตรัสสั่งให้ราชบุรุษไปเรียกชาวบ้านขายผักมาซักถาม "ขอเดชะ เป็นความจริงพระพุทธเจ้าข้า พวกกระหม่อมซื้อผักและผลไม้จากมือของท่านดาบสรูปนี้จริงๆ"
จากนั้นพระราชกุมารโสมนัสส์ตรัสสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่พิสูจน์สิ่งของดูทำให้เห็นประจักษ์ บริวารของพระกุมารเข้าไปยังบรรณศาลาของดาบสนั้น แล้วค้นนำเอาห่อเงินที่ได้จากการขายผัก มาถวายยืนยัน แด่พระราชา เมื่อทรงทราบว่า พระโอรสไม่มีความผิด จึงตรัสว่า "ดูก่อนเจ้าโสมนัสสกุมาร เรื่องนี้เจ้าพูดได้จริง ดาบสผู้นี้มีของเก็บไว้หลายอย่าง ดาบสผู้นี้เป็นผู้ไม่ประมาท เก็บรักษาสิ่งของเหล่านั้นไว้ เพราะฉะนั้น ดาบสผู้นี้จึงชื่อว่า พราหมณ์ คฤหบดี" "ท่านพ่อ สำหรับนักบวชถือว่าผิดมหันต์ ท่านเห็นผิดเป็นชอบได้อย่างไร" "เฮ้อ" เจ้าชายถึงกับใช้มือลูบไปที่หน้าผาก "ท่านช่างเป็นกษัตริย์ที่โง่เขลาจริงๆ" พระโอรสเอ่ยอย่างท้อใจ ก่อนจะถอนหายใจอย่างช้าๆ
"ท่านพ่อถ้าอย่างนั้นกระผมขอออกบวชแล้วเข้าป่าหิมพานต์น่าจะดีกว่า" "ทำไมล่ะ"ผู้เป็นพ่อมีท่าทีตกใจ "ลูกไม่สามารถอยู่ในที่ ที่พระราชาเห็นผิดเป็นชอบได้" ก่อนพระทัยจะโศกเศร้าเล็กน้อย "ลูกรัก ขึ้นชื่อว่าการบรรพชาเป็นทุกข์ เจ้าอย่าบวชเลย จงเป็นพระราชาเถิด" แต่คำอ้อนวอนนั้นก็ไม่เป็นผล จนในที่สุด พระมหาสัตว์ถวายบังคมพระราชมารดาบิดา แล้วกราบทูลว่า "ถ้าหากว่า โทษผิดของข้าพระพุทธเจ้ามีอยู่ ขอให้ท่านพ่อท่านแม่ ได้โปรดยกโทษให้กระหม่อมเถิดด้วยเถิด" ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ต่อหน้า บิดาและมารดาของตน และออกบวชเป็นฤๅษีอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์
และแล้วเวลาก็ล่วงเลยผ่านไป ๙ ปีพระโพธิสัตว์มีพระชนมายุได้ ๑๖ ปี วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งระหว่างบรรพชิตกับเหล่าชาวบ้านขึ้นส่งผลให้ผู้คนต่างพากันโบยตีชฎิลโกงจนถึงสิ้นชีวิต ด้านพระมหาสัตว์ยังฌานและอภิญญาให้เกิดแล้วได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย แม้ในชาติก่อน พระเทวทัตนี้ก็พยายามฆ่าเราตถาคตอย่างนี้เหมือนกัน ดังนี้แล้วทรงประชุมชาดกว่า
ชฎิลโกหกในครั้งนั้นได้มาเป็น พระเทวทัต
พระมารดาได้มาเป็น พระนางสิริมหามายา
พระมหารักขิตดาบสได้มาเป็น พระสารีบุตร
ส่วนโสมนัสสกุมารได้มาเป็น เราผู้ตถาคต ฉะนี้แล.