อรรถกถา นันทิยมิคราชชาดก
ว่าด้วย พระยาเนื้อนันทิยะ
ณ พระวิหารเชตวัน พระศาสดาตรัสกับภิกษุผู้หนึ่งว่า "จริงหรือภิกษุ ที่เธอเลี้ยงดูชาวบ้าน?" "จริง พระพุทธเจ้าข้า" "แล้วคนที่เธอเลี้ยงดูเป็นใครช่วยบอกได้ไหม?" "เป็นมารดาบิดาของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า" "ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว แม้เกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน ก็ได้ให้แม้ชีวิตแก่มารดาบิดาทั้งหลาย" แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าโกศลครองราชสมบัติอยู่ในสาเกตนคร แคว้นโกศล พระโพธิสัตว์เกิดในกำเนิดเป็นเนื้อ โดยมีชื่อว่านันทิยะ
พระเจ้าโกศลได้ชอบล่าเนื้อ มักเสด็จไปล่าเนื้อทุกวัน จนกระทั้งออกประกาศให้ประชาชนหยุดทำสวน ทำนาแล้วออกตามพระองค์ไปล่าเนื้อในป่า จนเหล่าชาวบ้านมาประชุมปรึกษากันว่า "พ่อคุณเอ๋ย พระราชาพระองค์นี้ทรงทำการงดงานของพวกเรา แม้การครองเรือนคงจะล่มจมเป็นแน่ อย่างนี้เราจะทำอย่างไรดี" ขณะที่เหล่าชาวบ้านกำลังนั่งใช้ความคิดอยู่นั้นจึงมีชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้น "พวกเราควรล้อมสวนป่าอัญชัน เลยดีไหม " "ดีเลยๆๆ" เมื่อการประชุมจบลงทุกคนเห็นไปทางเดียวกัน ชาวบ้านต่างถือไม้ถือค้อน เข้าไปฟาดพุ่มไม้สร้างส่วนแห่งใหม่ล้อมทำเป็นคอกเหมือนวัว แล้วปิดประตูไว้ จากนั้นไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ
เมื่อจัดเตรียมสวนไว้แล้ว จึงเข้าป่าไปล้อมสถานที่ไว้ประมาณโยชน์หนึ่ง เนื้อชื่อนันทิยะพาพ่อแม่ไปนอนอยู่ที่พื้นดินในป่าดอนเล็กๆ แห่งหนึ่ง เหล่าชาวบ้านถือโล่และอาวุธ พากันล้อมดอนนั้นไว้ โดยเอาแขนเกี่ยวแขนกัน แล้วต้อนเนื้อฝูงหนึ่งพาไปสวนที่ชื่อว่าอัญชัน
เนื้อนันทิยะที่อยู่เนินใกล้ๆเห็นเหตุการณทั้งหมด ก็รู้ทันทีว่าอีกสักพักคงจะมาถึงตัวเราเเน่ จึงหันไปพ่อและแม่ของตน จากนั้นลุกขึ้นไหว้ แล้วขอขมาพ่อแม่ว่า "ข้าแต่พ่อและแม่ ถ้าคนเหล่านี้เข้ามาดอนนี้แล้ว คงจะเห็นพวกเราทั้ง ๓ ท่านพ่อท่านแม่ไปหาที่ซ่อนก่อนเดี๋ยวลูกเป็นตัวล่อเอง" ในที่สุดนันทิยะก็ถูกชาวบ้านจับได้ ถูกต้อนให้เข้าไปอยู่ในฝูงเนื้อ ชาวเมืองพากันต้อนเนื้อเข้าสวนก่อนจะปิดประตู จากนั้นทูลให้พระราชาทรงทราบแล้วไปสู่ที่ของตน
เวลาล่วงไปหลายวัน พ่อแม่อยากพบหน้าลูกชาย "ถ้าลูกยังมีชีวิตอยู่ คงกระโดดข้ามรั้วมาเยี่ยมพวกเราแน่นอน" เราจะส่งข่าวไปหาเขา แล้วยืนใกล้ทาง ขณะนั้นมีพราหมณ์คนหนึ่งเดินผ่านมา จึงถามเขาด้วยคำพูดของคนว่า "พ่อคุณ ท่านจะไปไหน?"
"ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ถ้าหากท่านไปป่าอัญชัน เมืองสาเกต ช่วยบอกลูกของฉัน ที่ชื่อว่านันทิยะ พ่อแม่ของเจ้าแก่แล้วและพวกเขาอยากจะพบเจ้า"
เมื่อพราหมณ์ไปถึงเมืองสาเกต แล้วรุ่งขึ้นก็เข้าไปในสวนแล้วถามว่า "ใครชื่อว่านันทิยะ" มีเนื้อตัวหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วยืนอยู่ใกล้พราหมณ์นั้น บอกว่า "ผมเอง" พราหมณ์บอกเรื่องนั้นให้ทราบแล้ว "ไม่ต้องห่วงผมจะไปแน่นอน แต่คงไม่กระโดดข้ามรั้วหรอก แต่ก่อนจะไป ผมคงต้องลาพระราชาก่อน เพราะเรากินน้ำ กินหญ้า ในที่ของท่านจะแอบไปก็คงจะไม่ดีสักเท่าไหร่ คงต้องไปกราบลาพระราชาเสียหน่อย และบอกกับฝูงเนื้อสหายทั้งหลายก่อน"
พราหมณ์ได้ฟังคำนั้นแล้วก็จากไป พระราชาเสด็จมายังสวน ณ กลางสวน พระราชาทรงโก่งลูกธนูด้วยหมายมั่นว่าว่า "เราจะยิงเนื้อ" นันทิยะไม่หนีไป เหมือนสัตว์ที่ถูกมรณภัยคุกคามยืนเอียงข้างที่อ้วนพีให้เป็นเป้า ไม่กระดิกเลย พระราชาไม่อาจปล่อยลูกศรออกไปได้ด้วยอำนาจของเมตตา
เนื้อทรายหนุ่มกล่าวว่า "พระองค์ทรงปล่อยลูกศรไม่ออกหรือ ขอพระองค์จงทรงปล่อยเถิด" "เราไม่สามารถปล่อยออกไปได้" "ถ้าเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงรู้คุณธรรมของผู้มีคุณธรรม" ขณะนั้นพระราชาทรงเลื่อมใสพระโพธิสัตว์ ทรงทิ้งธนู แล้วตรัสว่า "แม้ท่อนไม้ท่อนนี้ไม่มีจิตใจ ก็ยังรู้คุณธรรมของท่าน ฝ่ายข้าพเจ้าเป็นมนุษย์มีจิตใจหารู้ไม่ ขอจงให้อภัย" "ฉันให้อภัยเจ้า" "ส่วนฝูงเนื้อในอุทยานนี้จะทำอย่างไร?" "แม้สัตว์เหล่านี้ เราก็ให้อภัย"
พระโพธิสัตว์ให้พระราชทานอภัยแก่เนื้อในป่า นกที่บินอยู่ในอากาศ และปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำทุกตัวอย่างนี้แล้ว ได้ให้พระราชาทรงประดิษฐานอยู่ในศีล ๕ แล้วทูลว่า ข้าแต่มหาราช ธรรมดาพระราชาควรทรงละการลุอำนาจอคติ ไม่ทรงยังทศพิธราชธรรมให้กำเริบ ครองราชย์โดยธรรม
พระมหาสัตว์ได้แสดงราชธรรมที่กล่าวไว้อย่างนี้ โดยผูกเป็นคาถาไว้ทีเดียวว่า ขอพระองค์จงทรงตรวจดูกุศลธรรมเหล่านี้ที่สถิตอยู่แล้วในพระองค์ คือ ทาน ศีล การบริจาค ความซื่อตรง ความอ่อนโยน ความเคร่งครัด ความไม่พิโรธ การไม่เบียดเบียน ความอดทน ความไม่ผิดพลาด
ครั้นแสดงธรรมถวายพระราชาแล้ว ได้ทูลพระราชาให้ตีสุวรรณเภรีประกาศ เพื่อต้องการพระราชทานอภัยแก่มวลสัตว์แล้ว จึงได้มาหาพ่อแม่
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ประกาศสัจธรรมทั้งหลาย แล้วทรงประมวลชาดกไว้
ในที่สุดแห่งสัจธรรม ภิกษุผู้เลี้ยงมารดาบิดา ดำรงอยู่แล้วในโสดาปัตติผล
พ่อแม่ คือพระยามฤคในครั้งนั้น ได้แก่ ตระกูลมหาราช
พราหมณ์ได้แก่ พระสารีบุตร
พระราชาได้แก่ พระอานนท์
ส่วนนันทิยมฤคราชได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.