อรรถกถาอสังกิยชาดกว่าด้วย
เมตตากรุณาทำให้ปลอดภัย
พระบรมศาสดาทรงประทับ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ได้ทรงเล่าถึงเรื่องราวอุบาสกชาวเมืองสาวัตถีผู้หนึ่ง ที่มีจิตใจบริสุทธิ์และได้รับพลังจากเมตตากรุณาในการปกป้องทั้งตนเองและคนรอบข้าง
อุบาสกนั้นเป็นโสดาบันเดินทางกับกองเกวียนขบวนหนึ่ง ขณะพักแรมกลางป่า เขาได้เดินจงกรมสงบจิตใต้ต้นไม้ใหญ่ ขณะนั้นพวกโจรราว 500 คนวางแผนจะโจมตีกองเกวียน แต่เมื่อเห็นอุบาสกที่กำลังเดินจงกรม คิดว่าเป็นยามเฝ้าและรอให้หลับก่อนค่อยบุก จึงได้ตั้งมั่นอยู่โดยรอบ รอเวลาผ่านไปจนทั้งคืนโจรก็ไม่ได้โอกาส จนต้องล่าถอยไปอย่างเงียบๆ
เมื่อรุ่งเช้า อุบาสกได้กลับมายังพระนครสาวัตถี เข้าเฝ้าพระศาสดาพร้อมถามว่า “ข้าแต่พระองค์ ผู้รักษาตนเอง จะสามารถปกป้องผู้อื่นได้หรือไม่?” พระศาสดาทรงตรัสตอบว่า “ผู้รักษาตนคือผู้รักษาผู้อื่น และผู้รักษาผู้อื่นก็คือผู้รักษาตนเอง”
พระองค์จึงเล่าถึงเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงในอดีต ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ได้บวชเป็นฤๅษีและเดินทางไปกับกองเกวียนในป่าแห่งหนึ่ง ขณะที่พักแรม มีโจรกลุ่มหนึ่งคิดปล้นขบวนเกวียน แต่เมื่อเห็นฤๅษีผู้สงบสำรวมเดินจงกรมอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ โจรกลับลังเลและรอให้ฤๅษีหลับก่อนค่อยบุก แต่ฤๅษีก็ยังคงเดินสงบไปตลอดคืนจนโจรต้องยอมถอย
ในตอนเช้า ชาวกองเกวียนพากันมาขอบคุณและถวายสักการะแก่ฤๅษี พระโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า “ความกลัวเกิดขึ้นแก่คนที่มีทรัพย์ แต่เราผู้ไร้ทรัพย์มีแต่เมตตาและกรุณา จึงปราศจากภัยทั้งในเมืองและป่า”
พระศาสดาทรงจบพระธรรมเทศนาโดยสรุปว่า เมตตากรุณาคือพลังแห่งความสงบปลอดภัย สุดท้ายกองเกวียนในครั้งนั้นได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนพระดาบสก็ไม่ใช่ใครอื่น คือเราตถาคตในชาตินี้
พระโพธิสัตว์ ครั้นแสดงธรรมด้วยคาถานี้ด้วยประการฉะนี้ อันมนุษย์เหล่านั้นผู้มีใจยินดีแล้ว สักการะบูชาแล้ว เจริญพรหมวิหาร ๔ ตลอดชีพไปเกิดในพรหมโลกแล้ว.
พระบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า
ชาวเกวียนในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัท
ส่วนพระดาบสมาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.