อรรถกถา คามณิจันทชาดก
ว่าด้วย ลิงเป็นสัตว์ไม่รู้จักเหตุ
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ได้กล่าวถึงเรื่องราวการสรรเสริญปัญญาเริ่มจากคาถาว่า “นายํ ฆรานํ กุสโล” ซึ่งสะท้อนถึงความล้ำลึกในปัญญาของพระองค์
ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันว่า พระปัญญาของพระตถาคตนั้นยิ่งใหญ่เป็นยิ่งนัก ทั้งฉลาด ปราดเปรื่อง ขับไล่กิเลส ก้าวล่วงโลกนี้พร้อมเทวโลกด้วย พระศาสดาจึงถามว่า พวกเธอกำลังสนทนาอะไรกัน เมื่อทราบแล้ว พระองค์ทรงเล่าว่า “ภิกษุทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้เท่านั้นที่ตถาคตมีปัญญา แม้ในอดีตปัญญานี้ก็ส่องสว่าง” และทรงเล่าเรื่องราวของ “เจ้าชายอาทาสมุขกุมาร”
กาลครั้งหนึ่ง ในอดีตมีพระราชานามว่า ชนสันธะ ครองราชสมบัติในนครพาราณสี เจ้าชายอาทาสมุขนั้นเกิดมาในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีซึ่งเป็นบุตรแห่งราชา รูปโฉมของพระกุมารงดงามยิ่ง เหมือนพื้นแว่นทองคำด้วยความเกลี้ยงเกลา บริสุทธิ์
เมื่อพระชนมายุครบ ๗ ปี พระชนกได้สิ้นพระชนม์ลง แต่ก่อนนั้นได้ให้พระกุมารศึกษาพระเวททั้งปวง และได้รับการขนานนามว่า อาทาสมุขกุมาร ฝ่ายอำมาตย์เมื่อประชุมกันเห็นว่าพระกุมารยังเยาว์วัยเกินไปจึงมีแผนที่จะทดสอบ
ครั้งหนึ่ง อำมาตย์ได้นำลิงตัวหนึ่งที่สามารถเดิน ๒ ขา แต่งกายราวกับนักวิชาการไปทูลว่า “ขอเดชะ บุรุษผู้นี้เป็นอาจารย์แห่งการดูที่มีความเชี่ยวชาญในสมัยพระชนก”
เจ้าชายเพียงทรงแลดูทั้งบนล่างแล้วสังเกตเห็นว่า นี่เป็นลิงที่มีความหลุกหลิก ไม่มีความสามารถที่จะจัดการบ้านเมืองได้อย่างที่มนุษย์ทำ จึงตรัส ว่า “สัตว์ตัวนี้ไม่ใช่ฉลาดที่จะทำเรือนมีปกติ หลุกหลิกตระกูลสัตว์นี้มีอย่างนี้เป็นธรรมดา”
แต่เหตุการณ์ยังไม่จบเพียงเท่านั้น อำมาตย์ได้นำลิงตัวเดิมมาทดสอบอีกหลายครั้ง แต่งเป็นอำมาตย์บ้าง ผู้ดูแลคดีความบ้าง แต่เจ้าชายก็ยังมองออกและทรงกล่าวแต่ละครั้งว่า "สัตว์นี้เป็นลิง ขนแบบนี้ย่อมไม่ใช่ขนของสัตว์มีปัญญา"
สุดท้ายเมื่อผ่านการทดสอบอย่างฉลาดและไหวพริบเช่นนี้ เหล่าอำมาตย์จึงลงมติถวายราชสมบัติให้เจ้าชายอาทาสมุขครองราชย์เรื่องนี้สะท้อนถึงปัญญาอันเป็นธรรมะของพระโพธิสัตว์ ผู้ไม่เพียงแต่ฉลาดในการมองเห็นข้อเท็จจริง แต่ยังรักษาความสง่างามให้แก่บ้านเมือง
เมื่อเขาบอกว่าเขาจะไปเข้าเฝ้าพระราชา ทุกคนก็เริ่มกระซิบว่า “พระราชาของเราเนี่ย ฉลาดเป็นกรด!” พอนายคามณิจันท์ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะถาม "เมื่อก่อนเราได้ของมาสักการะ แต่เดี๋ยวนี้แม้แต่ใบไม้อ่อนสักกำมือก็ไม่มี! ท่านช่วยไปทูลถามพระราชาให้ทีว่า มันเกิดอะไรขึ้น?"
ต่อมาพระยานาคตนหนึ่งเห็นนายคามณิจันท์ก็เลยเอ่ยทัก "เขาว่าพระราชาของท่านเก่งไม่เบานี่นา! แต่ลองดูสระน้ำของเราเถอะ เมื่อก่อนมันใสเหมือนแก้วเลย แต่เดี๋ยวนี้ขุ่นจนไม่เห็นอะไรเลย ท่านช่วยถามพระราชาหน่อยสิว่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้?”
ถัดไปไม่นาน ดาบสผู้บำเพ็ญตนในอารามใกล้พระนครก็ถามเขาเหมือนกัน "ท่านได้ยินไหมว่า พระราชาของเรานี่เป็นบัณฑิตตัวจริงเสียงจริง? เมื่อก่อนผลไม้ในอารามของพวกเราอร่อยมาก แต่เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นเฝือนฝาดไปหมด พอจะช่วยทูลถามได้ไหมว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้?”
พอไปถึงใกล้ประตูพระนคร พราหมณ์คนหนึ่งเห็นนายคามณิจันท์ก็เข้ามาถาม "ท่านกำลังจะไปเฝ้าพระราชาใช่ไหม? ถ้างั้นช่วยถือสารพวกเราด้วยเถอะ เมื่อก่อนความรู้ที่พวกเราเรียนมาก็จำได้หมด แต่เดี๋ยวนี้เหมือนน้ำที่ไหลออกจากหม้อทะลุ เรียนเท่าไหร่ก็ลืมหมดเลย ช่วยถามพระราชาหน่อยเถอะ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้?”
เมื่อรวมสารจากทุกคนแล้ว นายคามณิจันท์จึงมุ่งหน้าไปเฝ้าพระราชา และขณะนั้นพระราชาก็ทรงนั่งบัลลังก์ตัดสินคดีอยู่พอดี พอเห็นหน้าเก่าอย่างนายคามณิจันท์ พระราชาก็ทรงจำได้ทันที "นี่เจ้าหายไปไหนมาเสียนานล่ะ? มานี่เพราะมีธุระอะไรหรือเปล่า?"
นายคามณิจันท์เลยเล่าเรื่องคดีความเรื่องโคที่ถูกพาตัวมาเข้าเฝ้า และยังถือโอกาสทูลถามสารที่ได้รับมาด้วย พระราชาทรงไต่ถามแต่ละเรื่องและตอบทุกปัญหาด้วยปัญญาล้ำลึก เมื่อจบการสนทนา พระราชาก็ทรงประทานทรัพย์สมบัติมากมายให้นายคามณิจันท์ และมอบหมายให้เขากลับไปบอกข่าวดีแก่คนทั้งหลาย ตามสารที่เขาได้รับมาจากพราหมณ์, ดาบส, พระยานาค และรุกขเทวดา ในที่สุด นายคามณิจันท์จึงเดินทางกลับบ้าน ด้วยยศศักดิ์ที่สูงส่งและความภาคภูมิใจ
พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีปัญญามาก ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็มีปัญญามากเหมือนกัน
ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ชนเป็นอันมากได้เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์.
นายคามณิจันท์ในกาลนั้น ได้เป็น พระอานนท์ ในบัดนี้
ส่วนพระเจ้าอาทาสมุขในกาลนั้น คือ เราตถาคต ฉะนี้แล.