อรรถกถาอโยฆรชาดกว่าด้วย
อำนาจของมัจจุราช
ในครั้งนั้น พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร ทรงเล่าถึงการออกมหาภิเนษกรมณ์ในอดีต โดยเปิดเรื่องด้วยคำว่า "ยเมกรตฺตึ ปฐมํ..." เพื่อให้พระภิกษุทั้งหลายเข้าใจว่า แม้ในชาติอดีต พระองค์ก็ได้ละทิ้งความสะดวกสบายแห่งราชสมบัติเพื่อแสวงหาสัจธรรมเช่นกัน
ย้อนกลับไปในครั้งนั้น เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติที่กรุงพาราณสี พระอัครมเหสีทรงครรภ์และได้รับการดูแลอย่างดี จนกระทั่งวันคลอดพระโอรสในยามใกล้รุ่ง แต่ในเวลานั้นก็มีนางยักษิณีที่หวังจะกินทารก ด้วยความอาฆาตแค้นตั้งแต่ชาติที่แล้ว
นางยักษิณีแปลงร่างเข้ามาใกล้พระราชวัง ฉวยโอกาสจับพระโอรสไปท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกของพระมเหสี แล้วทำเสียงเคี้ยวอาหารอันน่าหวาดหวั่น พระเจ้าพรหมทัตได้ยินเสียงทรงทราบว่าโอรสถูกยักษ์จับกินไป แต่ก็ทรงนิ่งเฉย เพราะไม่ทราบจะรับมืออย่างไร
ในครั้งที่สองและสาม พระมเหสีคลอดบุตรอีก แต่ก็ไม่พ้นเงื้อมมือของยักษิณี ครั้นพระโอรสองค์สุดท้ายถือกำเนิดขึ้น พระราชาจึงทรงปรึกษาขุนนางวิธีป้องกันภัย บุรุษคนหนึ่งเสนอให้สร้างตำหนักเหล็กครอบครองไว้ พระราชาทรงเห็นชอบ และตำหนักเหล็กนั้นก็ถูกสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ภายในเวลาเก้าเดือน
เมื่อถึงเวลา พระราชาจึงให้พระมเหสีและโอรสประทับในตำหนักเหล็ก ปลอดภัยจากยักษิณี และขนานพระนามโอรสว่า "อโยฆรกุมาร" เมื่อนางยักษิณีหมดอายุขัยไปเอง พระราชกุมารจึงเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์
กาลผ่านไป เมื่ออโยฆรกุมารอายุได้ 16 ปี พระราชาให้เขาออกจากตำหนักเพื่อเตรียมครองราชสมบัติ พระกุมารแปลกใจในความงามของเมืองซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน จึงทูลถามข้าราชการ และเมื่อทราบความจริงถึงชะตาชีวิตที่รอดจากเงื้อมมือยักษ์ พระกุมารก็รู้สึกเบื่อหน่ายในโลก และขออนุญาตบรรพชา
ในที่สุด ท่านกล่าวถึงความเป็นจริงในชีวิตว่า “ชีวิตนี้ก็เหมือนผลไม้ที่สุกแล้วต้องหล่น เหมือนร่างกายที่เปราะบาง เมื่อสิ้นลมก็ไม่เหลืออะไร ความทุกข์และความชราไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะได้ สิ่งนี้ทำให้ข้าพเจ้าต้องการเพียงแสวงหาความสงบในธรรม"
"ในโลกนี้ สรรพสิ่งไม่ว่าจะเกิดขึ้นในยามค่ำคืนหรือยามกลางวัน ต่างก็ต้องผ่านช่วงเวลาการเติบโต เช่นเดียวกับสรรพสัตว์ที่เริ่มต้นชีวิตในครรภ์แห่งมารดา เปรียบได้กับเมฆหมอกที่ถูกลมพัดกระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้า ซึ่งไม่สามารถคิดคาดได้ว่าจะกลับมารวมตัวที่เดิมอีกครั้ง"
"เฉกเช่นนั้น สรรพสัตว์ทั้งหลายก็เคลื่อนผ่านวัยไปอย่างมิหวนคืน จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ จนถึงการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา สรรพสิ่งในทุกช่วงวัยย่อมแตกดับไปตามวิถี มิใช่ว่าในวันหนึ่งเราจะสามารถยึดจับความแข็งแกร่งหนุ่มแน่นไว้ได้อีกต่อไป"
"ดังคำกล่าวถึงมหาเมรุราชอันยิ่งใหญ่ แม้เป็นภูผาสูงส่ง หากถึงคราวไฟบัลลัยกัลป์ ก็ยังละลายเหมือนขี้ผึ้งใกล้เตาไฟ สังขารใดเล่าจะต้านทานความเสื่อมสลายได้ หากมหามนุษย์นั้นตั้งใจนำธรรมะมาสอนเพื่อให้เข้าใจว่า สรรพสิ่งที่มีชีวิตก็ต่างเดินทางไปตามกาลเวลาและกฎธรรมชาติ"
ยามที่พระมหาสัตว์เจ้าแสดงธรรมถวายพระราชบิดาแล้ว ได้กราบทูลถึงความไม่ประสงค์ในราชสมบัติ ด้วยตระหนักถึงชรา พยาธิ และมรณะซึ่งรุกรานอยู่ในขณะนั้น จึงเลือกที่จะละทิ้งทั้งกามและสมบัติเพื่อเสด็จออกบรรพชา เปรียบเสมือนช้างหลุดพ้นโซ่ตรวน หรือสิงห์หนุ่มที่ทำลายกรงทองแล้ววิ่งสู่เสรีภาพ
เมื่อพระราชบิดาทรงเข้าใจถึงสัจธรรมและความไม่จีรัง จึงสละราชสมบัติพร้อมกับพระโอรส และเสด็จออกบรรพชา นำพาทั้งอำมาตย์ราชบริพารและชาวนครให้ละทิ้งความสุขในโลกีย์เพื่อตามเสด็จพระเจ้าพรหมทัต
ในขณะนั้นเอง ท้าวสักกเทวราชทรงทราบข่าว จึงส่งเทพวิสสุกรรมไปเนรมิตอาศรมขนาดใหญ่ไว้เพื่อบรรพชาสำหรับพระมหาสัตว์และบริษัท พวกเขาได้บรรลุธรรมและเข้าสู่หิมพานต์ด้วยใจอันสงบเบิกบาน นี่คือเรื่องราวแห่งการสละละซึ่งทางโลกเพื่อนำพาสู่พรหมโลกบัดนี้ถึงคราวของเราทั้งหลายที่ได้เรียนรู้ และจะนำโอวาทนี้สู่ชีวิตเพื่อตามรอยไปสู่ธรรมอันมั่นคงและความไม่หวนคืนของสังขาร
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในชาติก่อน ตถาคตก็ออกสู่มหาภิเนษกรมณ์อย่างนี้เหมือนกัน
แล้วทรงประชุมชาดกว่า
พระราชมารดาบิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็น มหาราชสกุล
บริษัทได้มาเป็น พุทธบริษัท
ส่วนอโยฆรบัณฑิตได้มาเป็น เราผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนี้เลย.