อรรถกถา กิมปักกชาดก
ว่าด้วย โทษของกาม
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันแล้วรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้
ได้ยินว่า กุลบุตรผู้หนึ่งบวชถวายชีวิตในพระพุทธศาสนา วันหนึ่ง เที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี เห็นหญิงนางหนึ่งแต่งกายหมดจดงดงาม เกิดกระสัน. ครั้งนั้น อาจารย์แลอุปัชฌาย์พาเธอ มายังสำนักของพระบรมศาสดา
.
พระบรมศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ จริงหรือที่ว่าเธอกระสัน. เมื่อเธอกราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า. ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่า เบญจกามคุณเหล่านี้ น่ารื่นรมย์ในเวลาบริโภค แต่ว่า การบริโภคเบญจกามคุณเหล่านั้นย่อมเปรียบได้กับการบริโภคผลกิมปักกะ (ผลไม้มีพิษชนิดหนึ่ง ลูกเท่าผลมะม่วง) เพราะเป็นตัวให้เกิดปฏิสนธิในนรกเป็นต้น ที่ได้ชื่อว่า ผลกิมปักกะสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่นและรส แต่กินเข้าไปแล้ว กัดไส้ทำให้ถึงสิ้นชีวิต ในครั้งก่อน คนเป็นอันมากไม่เห็นโทษของมัน ติดใจในสี กลิ่นและรส ต่างบริโภคผลนั้น พากันถึงสิ้นชีวิต.
อันภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น กราบทูลอาราธนา ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ อยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เป็นนายกองเกวียน คุมกองเกวียน ๕๐๐ เล่ม เดินทางไปสู่ชายแดนไกลๆ ถึงปากดง เรียกประชุมคนทั้งหลายตักเตือนว่า ในดงนี้มีต้นไม้ที่ชื่อต้นไม้มีพิษ ไม่ถามเราก่อนแล้ว อย่ากินผลาผลที่ไม่เคยกินมาก่อนเป็นอันขาด.
ฝูงชนเดินทางล่วงเข้าสู่ดง ได้เห็นต้นกิมปักกะ (ต้นไม้มีผลเป็นพิษชนิดหนึ่ง ลูกเท่าผลมะม่วง) ต้นหนึ่ง มีกิ่งโน้มลงเพราะหนักผล ลำต้น กิ่งและใบของมัน คล้ายกับต้นมะม่วงทั้งสัณฐาน สี กลิ่นและรส พากันกินผลไม้ ด้วยสำคัญว่าผลมะม่วง
บางพวกก็ว่า ต้องถามนายกองเกวียนก่อนแล้วจึงจักกิน ถือยืนรออยู่.
ครั้นพระโพธิสัตว์มาถึงที่นั้น ก็ร้องบอกพวกที่ถือยืนรอนั้นให้ทิ้งผลไม้เสีย บอกให้พวกที่พากันกินเข้าไปแล้วทำการสำรอก แล้วให้ยาพวกนั้นกิน พวกเหล่านั้นบางคนก็หาย แต่พวกที่กินเข้าไปก่อนพวกทีเดียว พากันสิ้นชีวิต.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์เดินทางถึงสถานที่ต้องการจะไปโดยสวัสดี ได้ลาภแล้ว กลับมาถึงสถานที่ของตนดังเดิม กระทำบุญมีให้ทานเป็นต้น แล้วไปตามยถากรรม.
พระศาสดาตรัสเรื่องนั้นแล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า
ผู้ใดไม่รู้โทษในอนาคต มัวเสพกามอยู่ ผลที่สุด กามเหล่านั้น ก็จะกำจัดบุคคลนั้นเสีย เหมือนผลกิมปักกะกำจัดผู้กินให้ถึงตายฉะนั้น ดังนี้.
ความไม่รู้คือไม่ทราบถึงโทษในกาลภายหน้า.
บุคคลใดซ่องเสพวัตถุกามและกิเลสกาม. กามเหล่านั้นจะยังบุรุษนั้น ผู้เกิดแล้วในนรกเป็นต้นในที่สุด กล่าวคือวิบากของตน ให้พัวพันอยู่ด้วยทุกข์มีประการต่างๆ
อุปมาอย่างเดียวกับผลกิมปักกะที่บุคคลบริโภคแล้วฉะนั้น. ผลกิมปักกะน่าชอบใจ เพราะถึงพร้อมด้วยสี กลิ่นและรสในเวลาบริโภค ทำให้คนที่ไม่เห็นโทษในอนาคต กินแล้วถึงความสิ้นชีวิตไปตามๆ กัน ฉันใด กามทั้งหลาย แม้จะน่าชอบใจในเวลาบริโภค ก็จะกำจัดเขาเสียในเวลาให้ผล ฉันนั้น.
พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมแล้วทรงประกาศสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันบรรลุโสดาปัตติผล บริษัทที่เหลือ บางพวกเป็นพระโสดาบัน บางพวกเป็นพระสกทาคามี บางพวกเป็นพระอนาคามี บางพวกได้เป็นพระอรหันต์.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
บริษัทในครั้งนั้น ได้มาเป็น พุทธบริษัท
ส่วนนายกองเกวียนได้มาเป็น เราตถาคต