อรรถกถา กาฬพาหุชาดก
ว่าด้วย ลิงหลอกเจ้า
ณ พระเวฬุวันวิหาร พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่เหล่าภิกษุผู้เคารพนอบน้อม ขณะนั้น เหล่าภิกษุได้สนทนากันถึงเรื่องของพระเทวทัต ผู้เคยมีลาภสักการะมากมาย แต่ด้วยความโลภและโทสะ ลาภสักการะเหล่านั้นก็สูญสิ้นไปในที่สุด พระพุทธองค์เสด็จมาและตรัสถามว่า “พวกเธอสนทนากันเรื่องอะไร?”เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูล พระพุทธองค์ตรัสว่า “มิใช่เพียงในชาตินี้เท่านั้น แม้ในอดีต พระเทวทัตก็เคยเสื่อมลาภเพราะความโลภเช่นนี้”
ในอดีตกาล ณ เมืองพาราณสี พระเจ้าธนัญชัยทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์โปรดสัตว์เลี้ยงและให้ความเมตตาต่อทุกชีวิต หนึ่งในสัตว์ที่พระองค์ทรงโปรดปรานมากที่สุดคือ วานรเผือกสองพี่น้อง ได้แก่ ราธะ ผู้พี่ผู้สุขุม รอบคอบ และ โปฏฐปาทะ ผู้น้องที่มีจิตใจร้อนแรงและมักแสดงออกตามอารมณ์ วานรสองพี่น้องถูกจับโดยพรานป่าผู้ชาญฉลาดและนำมาถวายพระราชา พระองค์หลงใหลในรูปลักษณ์อันงดงามของวานรทั้งสอง จึงเลี้ยงดูอย่างดีในกรงทองคำ ให้อาหารเลิศรส เช่น ข้าวตอกคลุกน้ำผึ้งและน้ำผสมน้ำตาลกรวด ลาภสักการะของพวกมันจึงยิ่งใหญ่เกินกว่าสัตว์ใดในวัง
วานรทั้งสองเป็นที่รักของผู้คนในราชสำนักและได้รับการยกย่องอย่างสูง จนกระทั่งวันหนึ่ง…กาฬพาหุ วานรผู้มาทีหลัง พรานป่าคนหนึ่งนำวานรตัวใหม่มาถวายพระราชา มันเป็นลิงดำตัวใหญ่ ชื่อว่า กาฬพาหุ ด้วยรูปร่างอันกำยำและพฤติกรรมที่ดูน่าเกรงขาม มันกลายเป็นที่โปรดปรานของพระราชาในทันที
ลาภสักการะที่เคยมอบให้วานรเผือกสองพี่น้องกลับถูกยกให้กาฬพาหุแทน วานรเผือกทั้งสองเริ่มถูกละเลย โดยเฉพาะโปฏฐปาทะ ผู้ไม่อาจทนเห็นสภาพนี้ได้ วันหนึ่ง ขณะโปฏฐปาทานั่งจ้องกาฬพาหุที่กำลังรับอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เขาพูดขึ้นด้วยเสียงขมขื่นว่า “พี่ราธะ ดูสิ ข้าวตอกคลุกน้ำผึ้งที่เคยเป็นของเรา บัดนี้กลับตกไปอยู่ในมือของเจ้าลิงดำลามกนั่น เราจะทนอยู่ที่นี่ไปทำไม มาเถอะพี่ เรากลับป่าไปใช้ชีวิตอิสระดีกว่า!” ราธะมองน้องชายด้วยความเห็นใจและกล่าวอย่างสงบว่า “น้องรัก โลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน ลาภและยศย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาล เจ้าอย่าเศร้าโศกเลย”
โปฏฐปาทาส่ายหน้าและกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “แต่พี่! ข้าไม่อาจทนเห็นมันลำพองใจเช่นนี้ได้ ทำอย่างไรเราจึงจะได้เห็นมันถูกขับไล่ออกจากราชวัง?” ราธะยิ้มเล็กน้อยและตอบว่า“โปฏฐปาทา เจ้าจงอดทนเถิด กาฬพาหุนั่นไม่อาจซ่อนนิสัยแท้จริงของมันได้นานหรอก มันจะทำลายตัวเองในที่สุด”
เป็นจริงดั่งคำราธะกล่าว หลังจากนั้นไม่กี่วัน กาฬพาหุเริ่มแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว มันกระดิกหู กลอกตา และทำเสียงน่ากลัวต่อหน้าพระราชกุมารตัวน้อยในวัง พระกุมารหวาดกลัวและส่งเสียงร้องด้วยความตกใจข่าวนี้ถึงพระราชาในไม่ช้า พระองค์ทรงกริ้วและรับสั่งให้ขับไล่กาฬพาหุออกจากวังทันทีเมื่อกาฬพาหุถูกขับไล่
ลาภสักการะที่เคยเสื่อมถอยของวานรเผือกทั้งสองกลับคืนมาอีกครั้ง โปฏฐปาทายิ้มอย่างมีความสุขและกล่าวกับราธะว่า“พี่ราธะ เจ้าพูดถูก สุดท้ายแล้ว สิ่งใดที่ไม่ใช่ของแท้ ย่อมไม่ยั่งยืน” ราธะตอบด้วยเสียงนุ่มนวล “โปฏฐปาทา ความริษยาไม่เคยนำความสุขมาให้ เราควรยอมรับธรรมชาติของโลกและดำเนินชีวิตด้วยความสงบ”
พระพุทธองค์ทรงสรุปนิทานนี้แก่ภิกษุทั้งหลายว่า“โลกธรรมแปดประการ ลาภ เสื่อมลาภ ยศ เสื่อมยศ สุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา ย่อมเกิดขึ้นและดับไป ไม่มีสิ่งใดที่ยั่งยืน ดังนั้น พึงเจริญปัญญาและดำรงตนในความสงบเถิด”
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
ลิงกาฬพาหุในครั้งนั้น ได้เป็น พระเทวทัต
วานรโปฏฐปาทะในครั้งนั้น ได้เป็น พระอานนท์
ส่วนวานรราธะในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล