อรรถกถา กุฏิทูสกชาดก
ว่าด้วย ลิงกับนกขมิ้น
ในครั้งที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน มีเหตุการณ์ที่พระศาสดาต้องทรงปรารภถึงภิกษุหนุ่มผู้ประพฤติตัวไม่สมควรต่อพระมหากัสสปเถระ ภิกษุหนุ่มรูปนี้มักแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทั้งยังชอบพูดจาโกหกและหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ การกระทำของเขาสร้างความเดือดร้อนแก่พระเถระและเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาในครั้งนี้ โดยเริ่มต้นด้วยพระพุทธดำรัสว่า “มนุสฺสสฺเสว เต สีสํ” ซึ่งมีความหมายว่า “ศีรษะนั้นสมควรเป็นของมนุษย์จริงๆ”
ในอดีตกาล ณ นครราชคฤห์ มีพระมหากัสสปเถระพำนักอยู่ในอรัญญกุฎีอันเงียบสงบ อรัญญกุฎีแห่งนี้ตั้งอยู่ในป่าอันสงบสุข เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมและบำเพ็ญเพียร ภิกษุหนุ่มสองรูปที่ผลัดกันดูแลพระเถระมีลักษณะนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง รูปหนึ่งเป็นผู้มีวัตรปฏิบัติงดงาม ขยันขันแข็ง และตั้งใจทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ส่วนอีกรูปหนึ่งกลับเป็นคนหัวดื้อ ไม่เต็มใจทำหน้าที่ของตนเอง แต่กลับชอบแสร้งว่าตนเองขยันขันแข็งเพื่อเอาหน้าต่อพระเถระ
วันหนึ่ง ภิกษุผู้มีวัตรงดงามต้องการเปิดโปงพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงาน เขาจึงต้มน้ำอาบและจัดเตรียมไว้ให้พระมหากัสสปเถระอย่างเรียบร้อย แต่จงใจทิ้งภาชนะเปล่าไว้ในซุ้ม ภิกษุหัวดื้อเมื่อเห็นเช่นนั้น รีบไปบอกพระเถระว่า “กระผมเตรียมน้ำอาบไว้แล้วขอรับ” พระเถระเชื่อคำพูดของเขาและไปยังซุ้มดังกล่าว แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าภาชนะสำหรับต้มน้ำว่างเปล่า ไม่มีน้ำอุ่นเตรียมไว้ พระเถระจึงกล่าวตักเตือนภิกษุหนุ่มว่า “เธอควรพูดเฉพาะสิ่งที่เธอทำจริงๆ การพูดสิ่งที่ไม่จริงเป็นบาป และจะนำความเดือดร้อนมาให้เธอในภายหลัง”
คำตักเตือนจากพระมหากัสสปเถระทำให้ภิกษุหัวดื้อเกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรง เขารู้สึกอับอายที่ถูกจับได้ว่ากล่าวเท็จ ต่อมาในวันรุ่งขึ้น เขาแกล้งปฏิเสธที่จะออกบิณฑบาตพร้อมพระเถระ โดยกล่าวอ้างว่าไม่สบาย จากนั้นเขาเดินทางไปยังบ้านของอุปัฏฐากที่คอยสนับสนุนพระเถระ และกล่าวเท็จว่า “พระเถระป่วย ไม่สามารถออกมาบิณฑบาตได้” เพื่อขออาหารสำหรับตนเอง เมื่อพระมหากัสสปเถระทราบเรื่อง ก็ได้กล่าวตักเตือนเขาอีกครั้งว่า “การกระทำเช่นนี้ไม่สมควร เธออย่าทำอีก”
อย่างไรก็ตาม ภิกษุหัวดื้อไม่ฟังคำเตือน กลับเก็บความโกรธไว้ในใจจนกลายเป็นความอาฆาต วันหนึ่ง ขณะที่พระมหากัสสปเถระออกไปบิณฑบาตตามปกติ เขาได้ฉวยโอกาสนี้เผาบรรณศาลาและทำลายของใช้ทั้งหมดของพระเถระ ก่อนที่จะหลบหนีไปจากอรัญญกุฎีอย่างเงียบเชียบ
หลังเหตุการณ์นี้ การกระทำของภิกษุหัวดื้อกลายเป็นที่เล่าขานในนครราชคฤห์ เขาได้รับการตำหนิอย่างรุนแรงจากชาวบ้านและคณะสงฆ์ แม้เขาจะหลบหนีไปได้ แต่กรรมที่เขาก่อไว้ยังคงติดตามตัวเขาไป เมื่อสิ้นชีวิต เขาก็ไปบังเกิดในอเวจีมหานรก อันเป็นผลของกรรมที่เขาได้กระทำต่อพระเถระและทรัพย์สินของสงฆ์
เมื่อเหตุการณ์นี้ถูกนำมากล่าวถึงในนครสาวัตถี พระศาสดาได้ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “การเดินทางร่วมกับคนพาล ย่อมสร้างความเดือดร้อน การอยู่เพียงลำพังย่อมดีกว่า” พร้อมทั้งตรัสคาถาว่า “บุคคลเมื่อจะเที่ยวไป ถ้าไม่ประสบคนที่ดีกว่า หรือคนเช่นกับตน พึงทำการเที่ยวไปผู้เดียวให้มั่นไว้ เพราะความเป็นสหายในคนพาลย่อมไม่มี”
จากนั้นพระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าเรื่องในอดีตเพื่อเป็นตัวอย่างเพิ่มเติมว่า ในอดีตกาล ณ หิมวันตประเทศ มีนกขมิ้นตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในรังที่ตนสร้างขึ้นอย่างมั่นคง รังของนกขมิ้นตั้งอยู่บนต้นไม้สูง ท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์
วันหนึ่งในฤดูฝน มีลิงตัวหนึ่งถูกฝนและความหนาวจนสั่นสะท้าน นั่งกัดฟันอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้รังของนกขมิ้น นกขมิ้นเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยความหวังดีว่า“ดูก่อนวานร ท่านมีมือ มีเท้า มีศีรษะเหมือนมนุษย์ เหตุใดจึงไม่สร้างที่อยู่อาศัยของตนเองเล่า?”
ลิงได้ยินเช่นนั้นก็โต้กลับว่า“ดูก่อนนกขมิ้น แม้เราจะมีมือเท้าเหมือนมนุษย์ แต่เราไม่มีปัญญาอันประเสริฐเช่นมนุษย์ ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่มีบ้าน”
นกขมิ้นได้ยินดังนั้น จึงกล่าวด้วยความหวังดีต่อไปว่า “ท่านผู้มีจิตไม่มั่นคง ชอบประทุษร้ายผู้อื่น ย่อมไม่มีความสุขในชีวิต ท่านควรเปลี่ยนนิสัยเสีย และสร้างที่อยู่ไว้เพื่อป้องกันความหนาวและลมเถิด”
อย่างไรก็ตาม ลิงกลับไม่สำนึกในคำเตือนของนกขมิ้น แต่กลับโกรธแค้น คิดว่าตนเองถูกดูถูก ลิงจึงวางแผนแก้แค้น เมื่อเห็นนกขมิ้นบินออกไปหาอาหารในวันรุ่งขึ้น ลิงได้ปีนขึ้นไปบนต้นไม้และทำลายรังของนกขมิ้นจนแหลกละเอียด นกขมิ้นเมื่อกลับมาเห็นรังของตนถูกทำลายก็ได้แต่บินหนีไปยังที่ปลอดภัย
พระศาสดาทรงสรุปว่า ลิงในครั้งนั้นคือภิกษุหัวดื้อในปัจจุบัน ส่วนนกขมิ้นก็คือพระองค์เอง ซึ่งได้เคยเตือนสติด้วยความปรารถนาดี แต่คนพาลย่อมไม่ฟังคำเตือนและยังคงกระทำผิดซ้ำ ๆ จนต้องรับผลกรรมของตนในที่สุด
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
ลิงในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุผู้เผากุฎีในครั้งนี้
ส่วนนกขมิ้นในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.